“ แก่นตะวัน ” พืชเศรษฐกิจทางเลือก ที่เกษตรกรไม่ควรมองข้าม
“ แก่นตะวัน ” เป็นพืชที่ได้รับการขนานนามให้เป็น “ สุดยอดสมุนไพรมหัศจรรย์ ” เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาสารพัดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทานเพื่อลดน้ำหนัก โรคเบาหวาน ช่วยในเรื่องการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ ป้องกันอาการภูมิแพ้และการแพ้อาหาร กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียม และธาตุเหล็ก เป็นต้น ซึ่งแก่นตะวันยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าแก่นตะวันจะเป็นที่ต้องการของตลาดไปทั่วโลก และนับว่าเป็นข่าวดีของเกษตรกรที่วันนี้เราสามารถปลูกแก่นตะวันให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพได้แล้วในผืนแผ่นดินไทย
จากการทดลองปลูก “ แก่นตะวัน ” หรือ “ แห้วบัวตอง ” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “ เยรูซาเล็ม อาร์ติโชค ” ( Jerusalem artichoke) บนพื้นที่สูงในแปลงทดลองของสถานีวิจัยเพชรบูรณ์ ในพื้นที่
แก่นตะวันเป็นพืชหัว ตระกูลเดียวกับทานตะวันและดอกบัวตอง ซึ่งถ้าใครมีโอกาสได้เห็นเวลาที่มันออกดอก จะเห็นว่าคล้ายดอกบัวตองมาก คือดอกจะมีสีเหลืองและบานได้ทั่วประเทศ ส่วนหัวนั้นเป็นที่ต้องการและกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ถ้าเป็นพันธุ์ของอเมริกาหรืออังกฤษนั้นหัวจะโตและกลมเหมือนกับมันฝรั่ง แต่เมื่อถูกนำมาปรับปรุงพันธุ์ในไทยจะกลายเป็นแง่งคล้ายขิง แต่ผลผลิตและคุณภาพที่ได้นับว่าใกล้เคียงพันธุ์ของต่างประเทศมาก เพียงแต่ว่าเมื่อมันเป็นแง่งคล้ายขิงแล้ว ก็จะมีข้อเสียตรงที่ว่าอาจจะปอกเปลือกลำบากไปสักนิด แต่อันที่จริงเพียงแค่เราล้างน้ำให้สะอาดก็สามารถทานสดๆ ทั้งเปลือกได้เลย ซึ่งรสชาติจะคล้ายๆ กับแห้วและมันแกวของบ้านเรานั่นเอง
สาเหตุที่ทำให้ส่วนหัวของแก่นตะวันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะที่ส่วนหัวของ “ แก่นตะวัน ” จะมีสารอินนูลิน ( Inulin) ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลฟรักโตสโมเลกุลยาว จึงนับเป็นพืชพรีไบโอติกที่มีเส้นใยสูงมาก หากรับประทานเข้าไป สารดังกล่าวจะไปช่วยดักจับยึดไขมันในเส้นเลือด ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ หรือ LDL ที่เรารับประทานเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป โดยขับทิ้งออกทางอุจจาระ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี สำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดความอ้วน แก่นตะวันจึงเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่คุณไม่ควรพลาด
กว่าจะได้ “ หัว ” แก่นตะวัน... ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
แก่นตะวันไม่ได้ปลูกเฉพาะที่เพชรบูรณ์ ขอนแก่น เท่านั้น แต่สามารถปลูกได้ทั่วทั้งประเทศไทย อย่างไร่แก่นตะวัน ที่ อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าแก่นตะวันสามารถให้ผลผลิตที่มีคุณภาพป้อนสู่ตลาดจนได้กำไรงามๆ มาหล่อเลี้ยงครอบครัวได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
การปลูกต่อครั้งนับตั้งแต่วันลงหัวจนแก่นตะวันเจริญเติบโตเต็มที่ จะใช้ระยะเวลาประมาณ 120-130 วัน หรือประมาณ 4 เดือนเท่านั้น พอครบ 90 วัน ดอกก็จะเริ่มเบ่งบานเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าจวนจะถึงเวลาเก็บหัวของแก่นตะวันได้แล้ว พอบานเสร็จแล้วต้นก็จะโรยลงมา ถึงแม้จะให้น้ำอย่างไรใบก็จะเริ่มโรยเพราะหมดอายุขัยของมันแล้ว ซึ่งเกษตรกรก็จะทำการถอนต้นแก่นตะวันต่อไป แก่นตะวันหนึ่งต้นจะให้ผลผลิตหัวสดประมาณ 2-3 กิโลกรัมเลยทีเดียว
แก่นตะวันแม้มีต้นกำเนิดในแถบหนาวเย็น แต่สามารถปลูกได้ดีในเขตร้อนอย่างบ้านเรา สามารถปรับตัวให้เข้ากับภูมิอากาศที่แตกต่างกันมากได้ มีความแข็งแรง ทนทาน มีสรรพคุณทางอาหารและยามากมาย หรือจะใช้ส่งเป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอลสำหรับแก๊สโซฮอล์ก็ได้เช่นกัน ที่สำคัญปลูกและดูแลรักษาง่าย เจริญเติบโตเร็ว มีอายุสั้น ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีอย่างปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลงในการเพาะปลูกเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เป็นเพราะใบและลำต้นที่มีขนกระจายอยู่ทั่ว ช่วยป้องกันการกัดกินของแมลงได้เป็นอย่างดี ส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้รับประทานกันอย่างปลอดภัย
ถึงแม้ว่าพืชหัวอย่างแก่นตะวันจะเป็นพืชชนิดใหม่ในบ้านเรา แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งที่เกษตรกรสามารถทดลองปลูกได้ไม่ยาก หรือสำหรับผู้ที่สนใจจะทำเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้หล่อเลี้ยงครอบครัวหรือชุมชนแล้ว “ แก่นตะวัน ” คงเป็นอีกตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม...
เรียบเรียงโดย topicza.com