พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมาเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในเวทีการประชุมสุดยอดระดับผู้นำด้านผู้ลี้ภัยซึ่งประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐเป็นผู้ริเริ่มขึ้นและได้เชิญพล.อ.ประยุทธ์เข้าร่วมประชุม ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 20 กันยายน โดยพล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้คนกว่า 65 ล้านคนทั่วโลกที่ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 21 ล้าน เป็นผู้หนีภัยเข้าสู่ยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ และกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงของประเทศแรกรับ ซึ่งไทยก็ตกอยู่ในสภาวะนั้นเช่นกัน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลไทยและประชาชนคนไทยมีความเอื้ออารี และให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยจากประเทศเพื่อนบ้านมาแล้วกว่าล้านคน ปัจจุบัน ไทยให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยการสู้รบชายแดนตลอดมา จากเดิมห้าแสนคนจนเหลือหนึ่งแสนคนในปัจจุบัน ทั้งนี้ ไม่นับรวมผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติและหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลไทยออกมาตรการต่างๆ เพื่อเพื่อนมนุษย์เหล่านี้ โดยปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมาย จัดงบประมาณราว 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือร้อยละ 0.05 ของจีดีพีสำหรับค่ารักษาพยาบาล การศึกษา และให้ความช่วยเหลือหากเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา ไม่ต่างไปจากคนไทย นอกจากนี้ ไทยกำลังพิจารณาจัดทำระบบคัดกรองให้เป็นมาตรฐานสากล เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของ การตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ และอนุญาตให้เหยื่อค้ามนุษย์และพยานสามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมายจนกว่าคดีจะสิ้นสุด โดยอาจขยายระยะเวลาให้อยู่และทำงานต่อได้อีกไม่เกินสองปีเพื่อผลทางคดี
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า รัฐบาลยังให้การศึกษาและฝึกอาชีพแก่คนในพื้นที่พักพิง เพื่อให้กินดีอยู่ดีเมื่อกลับประเทศ รวมทั้งออกสูติบัตรแก่เด็กผู้หนีภัยทุกคน และกำลังหารือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อส่งผู้หนีภัยกลุ่มนำร่องที่สมัครใจกลับบ้าน ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข อีกทั้งไทยกำลังพิจารณาพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย เพื่อไม่ส่งบุคคลกลับไปสู่อันตราย