" ยูเอ็น" จัดสดุดีถวายพระเกียรติ "ในหลวง ร. 9"
และประกาศให้วันที่ 5 ธ.ค.ของทุกปี เป็น “ วันดินโลก ”
ภาพประทับใจ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก จัดการประชุมพิเศษเพื่อสดุดีและถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และมีการยืนถวายอาลัยแด่พระองค์
นายปีเตอร์ ธอมป์สัน ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) นำกล่าวไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ยกย่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ และนำยืนสงบนิ่ง 1 นาที ตัวแทนผู้นำจากหลายประเทศทั่วโลก กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อคนไทย และกล่าวสดุดีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
วันที่ 28 ต.ค. 2559 เวลา 10.00 น. ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา หรือประมาณเวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (ยูเอ็น) มีการประชุมเพื่อสดุดี ถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเปิดให้ผู้แทนประเทศต่างๆ ขึ้นกล่าวสดุดี การจัดประชุมเช่นนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่มีขึ้นไม่บ่อยนัก
การประชุมพิเศษเพื่อถวายสดุดีดังกล่าวจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที โดยประธานสมัชชาสหประชาชาติจะเริ่มกล่าวสดุดีเป็นคนแรก ตามด้วยประธานของภูมิภาคต่างๆ 5 ภูมิภาค และ น.ส.ซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำสหประชาชาติ โดยนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก จะเป็นผู้กล่าวถวายสดุดีเป็นคนสุดท้าย ทั้งนี้ มีการถ่ายทอดสดการประชุมดังกล่าวให้รับชมผ่านเว็บแคสต์ขององค์การสหประชาชาติ http://webtv.un.org/ ในวันและเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติหรือ UN ได้กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็น “ วันดินโลก ” เพื่อสดุดีพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ทรงตระหนักในการพัฒนาดินอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และมีประโยคหนึ่งที่ในหลวงทรงเคยตรัสว่า “ อย่าจำตัวฉัน แต่ให้จำประโยชน์ที่ฉันทำ ” ซึ่งเราชาวไทยรู้ดีว่า พระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์
นายปีเตอร์ ธอมป์สัน ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ( UNGA) ตัวแทนจากประเทศฟิจิ ได้เริ่มกล่าวสดุดีเป็นคนแรก ระบุว่า ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพระบรมวงศานุวงศ์ และประชาชนชาวไทย ต่อการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งถือเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกถึง 70 ปี ซึ่งเป็นที่รักของประชาชนชาวไทย และคนทั่วโลก
จากนั้น ประธานการประชุม ได้ให้สมาชิกยืนขึ้นเพื่อแสดงความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเวลา 1 นาที
ต่อมา ผู้กล่าวสดุดีเป็นคนที่ 2 คือ นายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ โดยนายบันได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ตลอดจนรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น นายบันกล่าวว่า เขาได้มีโอกาสเข้าเฝ้า ระหว่างการเดินทางเยือนประเทศไทยในปี 2550 ได้เข้าร่วมและพบเห็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น องค์การสหประชาชาติขอน้อมรำลึกและแสดงความเสียใจต่อการสวรรคตของพระองค์
นายบันยังได้กล่าวยกย่องว่าทรงดำเนินโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนหลายโครงการ และสหประชาชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลแห่งความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์ ในปี 2549 และเป็นรางวัลที่สหประชาชาติมอบให้เป็นครั้งแรกของโลก
ตามด้วยประธานของภูมิภาคต่าง ๆ 5 ภูมิภาคทั่วโลก ขึ้นกล่าวสดุดี อาทิ นางซามานธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำสหประชาชาติ ซึ่งผู้ที่ได้ฟังคำกล่าวสดุดีเทิดพระเกียรติของเธอ ต่างพูดว่าเป็นคำสดุดีที่กินใจมาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เคยตรัสไว้ "อย่าจำตัวฉัน แต่ให้จำประโยชน์ที่ฉันทำ" พร้อมยกย่องพระปรีชาสามารถในโครงการแก้มลิง แก้ปัญหาอุทกภัย เป็นการแปลเป็นภาษาไทยที่สำนักข่าวอิศรานำมาเผยแพร่ ผมขอนุญาตนำมาให้พวกเราได้ร่วมกันรำลึกในพระเกียรติของพระองค์ท่าน ซึ่งถ่ายทอดจากมุมมองของคนต่างชาติได้อย่างงดงามยิ่ง...ดังนี้
นี่เป็นหนึ่งในหลายวันที่ฉันรู้สึกว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศเจ้าภาพซึ่งเป็นที่ตั้งของสหประชาชาติ ขึ้นมากล่าวในวาระสำคัญนี้
ในนามของสหรัฐอเมริกา ฉันขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจากหัวใจต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ และประชาชนชาวไทย ต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นมิตรและหุ้นส่วนตลอดชีพของสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังทรงมีความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ที่ลึกซึ้งกับชาติของเราด้วย
พระราชบิดาและมารดาของพระองค์ทรงพบกันในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ในขณะที่กำลังศึกษาด้านการแพทย์ พระราชบิดาของพระองค์ทรงศึกษาที่ฮาร์วาร์ด พระมารดาทรงศึกษาที่วิทยาลัยซิมมอนส์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประทับอยู่ที่นี่ขณะยังทรงพระเยาว์เท่านั้น แต่ทุกวันนี้การดำรงอยู่ของพระองค์ยังคงรู้สึกได้อย่างมากทีเดียวในเมืองเคมบริดจ์
ฉันสามารถกล่าวเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปาก เพราะก่อนที่ฉันจะมารับตำแหน่งหน้าที่ในรัฐบาลประธานาธิบดีโอบามา ฉันเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่ Kennedy School of Government สังกัดมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในเมืองเคมบริดจ์ เวลาเดินไปทำงานและตอนขากลับ ฉันผ่านจัตุรัสภูมิพลที่อยู่ติดกับเคนเนดี้สคูลเป็นประจำ มันเป็นจัตุรัสที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงที่ประสูติของพระองค์
เวลาเดินผ่านจัตุรัสภูมิพล จะเห็นอยู่เสมอว่ามีคนไทยนำดอกไม้เข้าถวายสักการะพระองค์ และถ่ายรูปกับแท่นศิลาที่มีแผ่นจารึกพระนามของพระองค์ ในเคมบริดจ์ยังมีอีกหลายแห่งที่มีลักษณะคล้ายกับที่จตุรัสภูมิพล อย่างใกล้ๆ กันที่โรงพยาบาลบริแกมแอนด์วีเมนส์ เป็นสถานที่ที่ครั้งหนึ่งพระมารดาของพระองค์เคยทรงงาน แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่ไม่มีคนไทยแวะเวียนไปมา พวกเขานำของขวัญ ดอกไม้ หรือข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือไปมอบให้กับทางโรงพยาบาล นี่เป็นการแสดงความจงรักภักดีที่คนไทยมีต่อพระองค์
เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า ทรงปรารถนาให้คนระลึกถึงพระองค์อย่างไร พระองค์ทรงตอบว่าไม่เป็นห่วงว่าประวัติศาสตร์จะจารึกพระองค์ว่าอย่างไร พระองค์ตรัสดังนี้
“ หากพวกเขาต้องการเขียนเกี่ยวกับข้าพเจ้าในเรื่องที่ดี พวกเขาควรเขียนว่าข้าพเจ้าได้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ไว้อย่างไรบ้าง ”
ในสายพระเนตรของพระองค์ การทำสิ่งที่เป็นประโยชน์หมายถึงการหาทางคลี่คลายปัญหาที่พสกนิกรเดือดร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพสกนิกรที่ยากไร้และอยู่ชายขอบ และวิธีเดียวที่จะรู้ว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์ และเข้าใจถึงปัญหาที่พสกนิกรกำลังประสบอยู่ คือการเสด็จพระราชดำเนินออกไปยังถิ่นที่พสกนิกรของพระองค์อาศัยอยู่ ดังนั้น พระองค์จึงได้เสด็จฯ ไปยังภูมิภาคต่างๆ ในประเทศของพระองค์ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูมิภาคที่ยากจนและทุรกันดาร โดยในช่วงที่ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงริเริ่มโครงการพระราชดำริเพื่อการพัฒนาหลายพันโครงการ
ในการเสด็จฯ ไปเยี่ยมพสกนิกรในภูมิภาคต่างๆ พระองค์ทรงเข้าไปหาพวกเขาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นชาวประมง เกษตรกรชาวสวนยาง หรือชาวนาผู้ปลูกข้าว หรือนักเรียนประถม ครั้นเมื่อพระองค์ทรงโปรดฯ ให้บรรดาข้าราชการเข้าเฝ้า พระองค์มีพระราชดำริเลือกให้ผู้ที่ทำงานในระดับรากแก้วที่จัดว่าเป็นแก่นของสังคมเข้าเฝ้า เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและการเกษตร ครู ตำรวจ
พระองค์ทรงเป็นมากกว่าผู้เฝ้าสังเกตสิ่งต่างๆ อย่างพิถีพิถัน การทำสิ่งที่เป็นประโยชน์หมายถึงการรู้จักหาทางแก้ปัญหาที่พระองค์เผชิญอยู่ให้ลุล่วงไป และทรงสอนคนไทยให้เรียนรู้การแก้ปัญหาด้วยตัวเอง พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถหลายด้าน ตลอดรัชสมัย พระองค์ทรงรับการถวายจดทะเบียนสิทธิบัตรเกือบ 40 ฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นผลงานที่พระองค์ทรงประดิษฐ์ ทดลองและปรับปรุงแก้ไขด้วยพระองค์เอง ส่วนใหญ่เป็นผลงานที่มีพระราชปณิธานเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาที่พสกนิกรผู้ยากไร้ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน นี่เป็นเรื่องที่พิเศษและโดดเด่นยิ่งนัก
ตัวอย่างเช่นโครงการแก้มลิง ที่เป็นแนวคิดในพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นประจำในประเทศไทย พระองค์ทรงได้แนวคิดมาจากความทรงจำในวัยเยาว์ที่ทรงสังเกตเห็นว่าลิงเอากล้วยส่วนหนึ่งไปเก็บที่กระพุ้งแก้มจนเต็ม แล้วมันถึงค่อยนำมากินต่อในภายหลัง ซึ่งนี่เป็นที่มาของโครงการสร้างฝายเก็บกักน้ำตามจุดต่างๆ หรือการเก็บน้ำส่วนเกินในช่วงที่ฝนตกหนัก เพื่อนำไปใช้สำหรับการชลประทานในภายหลัง ทุกวันนี้ระบบแก้มลิงยังคงมีใช้อยู่ทั่วประเทศไทย โครงการพระราชดำริหลายอย่างของพระองค์ เป็นการผสมผสานการอนุรักษ์กับการพัฒนาบุคคล แนวคิดของพระองค์ล้ำหน้าไปหลายสิบปีก่อนหน้าที่จะมีการตระหนักว่า ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญต่อความเป็นอยู่ของชุมชนในระยะยาว
เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2503 พระองค์ได้เสด็จเยือนสหรัฐฯ ตามคำกราบทูลเชิญของดไวต์ ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีในสมัยนั้น พระองค์ได้รับการทูลเกล้าเรียนเชิญให้กล่าวต่อหน้ารัฐสภาสหรัฐฯ ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง 32 พรรษา
พระองค์มีพระราชดำรัสว่า การที่ทรงตอบรับคำทูลเชิญเสด็จเยือนสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า “ ข้าพเจ้ามีความปรารถนาแบบมนุษย์ธรรมดาที่จะได้เห็นสถานที่เกิด ” ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จฯ ไปที่เคมบริดจ์ พระองค์ตรัสด้วยว่า เสด็จฯ เยือนเพื่อยืนยันถึงสัมพันธไมตรีที่พิเศษและคุณค่าร่วมกันระหว่างชาติของเราทั้งสอง พระองค์ตรัสดังนี้
“ มิตรไมตรีของรัฐบาลหนึ่งที่มีต่ออีกรัฐบาลหนึ่งเป็นเรื่องสำคัญ แต่มิตรไมตรีของประชาชนชาติหนึ่งต่อประชาชนอีกชาติหนึ่งต่างหาก ที่เป็นหลักประกันสำหรับสันติภาพและความก้าวหน้า ”
พระองค์มีพระราชดำรัสต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า สำหรับคนไทยมีธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่ง คือเรื่องพันธะความผูกพันในครอบครัว พระองค์ตรัสดังนี้
“ คนในครอบครัวหวังว่า สมาชิกในครอบครัวจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ การให้ความช่วยเหลือมีคุณงามความดีในตัวเองอยู่แล้ว ผู้ให้ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะได้ยินคำกล่าวยกย่องทุกวัน หรือไม่มุ่งหวังสิ่งใดตอบแทน ถึงกระนั้นก็ตามผู้รับก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ ซึ่งเขาเองก็จะปฏิบัติตามข้อผูกพันในครอบครัวต่อไปเช่นกัน ”
พระองค์ตรัสถึงความผูกพันและความเอื้ออาทรระหว่างสมาชิกในครอบครัวไทย หากมองย้อนกลับไป จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงนำพระราชดำรัสไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตของพระองค์อย่างสะดวกพระทัย ชีวิตที่ทรงบำเพ็ญพระองค์ตลอดเวลาเพื่อประโยชน์สุขต่อผู้ที่เดือดร้อน ชีวิตของการเป็นผู้ให้และบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพสกนิกรของพระองค์ทุกวัน พระองค์ไม่มุ่งหวังคำสรรเสริญเยินยอ ไม่มุ่งหวังสิ่งใดตอบแทน เพราะว่ามันเป็นเรื่องของพันธะความผูกพันที่บุคคลหนึ่งมีต่อครอบครัว และพระองค์ทรงเห็นว่าพสกนิกรไทยทุกคนเป็นครอบครัวของพระองค์ คนไทยช่างโชคดียิ่งนักที่มีพระองค์เป็นสมาชิกร่วมครอบครัวของพวกเขา และเราช่างโชคดีเหลือเกินที่จะได้เรียนรู้การดำเนินชีวิตตามรอยพระบาทของพระองค์ ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่
นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก กล่าวขอบคุณผู้แทนภูมิภาคต่างๆ ที่ขึ้นกล่าวสดุดี และระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนามนุษย์โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง และเป็นที่มาของโครงการพระราชดำริกว่า 4 พันโครงการ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน นำไทยจากประเทศด้อยพัฒนาขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
... topicza.com ต้องขอบคุณตัวแทนจากสหรัฐอเมริกาในนามประชาชนตัวเล็กๆ คนหนึ่งของในหลวง รัชกาลที่ 9 มา ณ ที่นี้ด้วย ที่ทำให้พระเกียรติของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ไปทุกมุมโลกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม