ช่วงหนึ่งในวัยเด็ก ผมใช้ชีวิตอยู่ที่หาดใหญ่ คือใน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในช่วงกำลังก่อสร้าง ยังไม่เจริญหูเจริญตาอย่างในปัจจุบันหรอก ตอนนั้นผมอยู่ในวัยกำลังเล่นกำลังซน จึงเที่ยวเล่นซุกซนไปตามประสา ที่แห่งหนึ่งที่ผมชอบไปเที่ยววิ่งเล่นซุกซน คือ ในสำนักสงฆ์โคกนาว ซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งถนนกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์สำนักสงฆ์โคกนาวสมัยนั้นยังรกครึ้มไปด้วยแมกไม้ เพราะสำนักสงฆ์แห่งนี้แต่เดิมเป็นเพียงสุสานฝังศพเท่านั้น แต่เมื่อมีพระรูปหนึ่งมาปักหลักทำกรรมฐานอยู่ บรรดาอุบาสกอุบาสิกาในถิ่นนั้น ก็เลยพร้อมใจกันถวายเป็นสำนักสงฆ์ และตั้งใจว่าต่อไปจะวัดได้พัฒนาขึ้นเป็นวัด แต่แล้วก็ไม่สามารถจะตั้งเป็นวัดได้ เนื่องจากเนื้อที่ของสำนักสงฆ์มีน้อย ไม่เข้าเกณฑ์ตามที่กรมศาสนาวางระเบียบไว้บรรยากาศภายในวัดสมัยนั้นเงียบสงบจนดูวังเวงน่ากลัวมาก แต่ที่พวกผม (หมายถึงพวกผม
ละเด็ก ๆรุ่นเดียวกัน) ชอบไปเที่ยว ก็เพราะว่าที่นั่นมีพระใจดี พูดคุยสนุกอยู่รูปหานึ่ง ท่านมีขนมแจกพวกเด็ก ๆ ทุกวัน พระรูปานั้นก็คือ พระอาจารย์ตั้ง ผลธัมโม ซึ่งบัดนี้ได้มรณภาพไปแล้ว ละทิ้งไว้แต่คุณงามความดีให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึง และทางสำนักสงฆ์ก็ได้ทำรูปเหมือนของหลวงปู่ท่านไว้ เพื่อให้ผู้ที่เคารพนับถือท่านได้ไปกราบไหว้บูชา
ความทรงจำในวัยเด็กของผมได้ซึมซับหลายสิ่งหลายอย่าง จากที่นั่นไว้มากพอสมควร และแน่นอนในบรรดาความทรงจำที่ผมรับไว้ได้นั้น ต้องมีคุณงามความดีและเรื่องราวของหลวงปู่ตั้งท่านอยู่ด้วยเป็นแน่ อีกอย่างหนึ่งที่ผมจดจำได้ไม่แพ้เรื่องราวของหลวงปู่ตั้งท่านอยู่ด้วยเป็นแน่ อีกอย่างหนึ่งที่ผมจดจำได้ไม่แพ้เรื่องราวของหลวงปู่ตั้ง ก็คือเรื่องศพของแม่ชีรูปหนึ่ง ซึ่งบรรจุว้าในในโกศในสุสานเก็บศพหลังวัด
ที่ผมจดจำเรื่องนี้ได้ดี ก็เพราะว่าสมัยนั้นเป็นที่ฮือฮากันว่าศพแม่ชีรูปนั้นมหัศจรรย์ยิ่ง คือ แม้ตายไปนานแล้ว แต่ศพยังไม่เน่าเปื่อย แถมผมและฟันยังงอกยาวยิ่งขึ้น ๆ เหมือนกับคนยังมีชีวิตอยู่ ครั้งนั้นมีผู้คนเดินทางมาจากที่ต่างๆ มากมาย เพื่อมาดูความมหัศจรรย์ที่ศพของแม่ชี ซึ่งบรรจุไว้ในท่านั่งขัดสมาธิในโกศ หน้าโกศติดกระจกให้มองเห็นศพภาพในได้ชัด และก็เป็นดังคำล่ำลือจริงๆ พวกเขาได้เห็นกันว่า ศพแม่ชีมีผมและฟันงอกยาวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคนยังมีชีวิตอยู่จริง ๆพวกเราจึงย้ายสนามเล่นจากในวัดมาป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ที่ตั้งโกศใส่ศพแม่ชี เมื่อมีคนมาดูกันหลายๆ คน เราก็จะตามไปดูด้วย แต่ถ้าไม่มีใครมาถึงเรามีกันหลายคนก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะในบรรดาพวกเราล้วนกลัวผีขึ้นสมองกันทุกคน
กาลเวลาผ่านพ้นไปเป็นสิบ ๆ ปี บัดนี้ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลิกกลัวผีแล้ว (ยกเว้นตอนอยู่คนเดียวเงียบๆ) แต่เรื่องราวของศพแม่ชีที่สำนักสงฆ์โคกนาวยังไม่สิ้นกระแสล่ำลือ เพียงแต่ซางซาลงไปนิดหน่อยเท่านั้น ยังมีผู้คนไปดูอยู่ไม่ขาดระยะ บางคนไปดูมาแล้วครั้งหนึ่ง นานวันเข้าก็อยากจะไปดูอีก เพื่อจะดูว่าผมและฟันงอกยาวขึ้นจริงๆ หรือเปล่า โดยเขาจะจดจำภาพในครั้งแรกที่เห็นแล้วนำมาเปรียบเทียบกับภาพที่ไปเจอในครั้งหลัง ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้วิธีนี้พิสูจน์
ผลของการพิสูจน์ปรากฏว่าเป็นดังคำกล่าวคำร่ำลือจริงๆ ศพแม่ชีที่ผมเห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก มีผมยาวกว่าแม่ชี (โกนหัว) ธรรมดานิดหน่อยเท่านั้น และฟันในปากก็มีไม่กี่ซี่ หักหายไปตามวัยชราก่อนตายของแม่ชีท่าน แต่การไปเยี่ยมครั้งล่าสุด ผมต้องตกตะลึงเมื่อปรากฏว่าผมบนหัวของแม่ชียาวขึ้นเป็นปรกบ่าแล้ว ซ้ำยังดำสนิท จะที่ปากมีฟันงอกเต็มปากแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง ที่มีอยู่จริง ที่มีอยู่จริงและในปัจจุบันความจริวนี้ก็ยังคงปรากฏอยู่ จะมหัศจรรย์หรือไม่ก็แล้ว แต่จะคิดถึง สำหรับผมพาให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ผมพยายามคิดหาเหาตุในทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนหลายข้อ แต่ทุกข้อถูกปฏิเสธในทางเป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น จะว่ามีใครเอาศพไปใส่ฟันปลอมก็ใช่เหตุ จะคิดว่ามีคนเอาน้ำยาย้อมผมมาย้อมผมก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน หรือคิดให้เป็นเรื่องธรรมดาว่า ศพที่ค้างไว้นาน ๆ ก็จะมีผมมีฟันงอกขึ้นเอง และร่างกายไม่เน่าเปื่อย ก็ไม่เคยเห็น เคยเจอแต่เก็บไว้เพียงไม่ถึงปีก็เหลือแต่กระดูก ผมเผ้าหายไปหมด ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเช่นนี้เลย
ผมคิดจะเอาเรื่องนี้มาเขียนเล่าสู่กันฟังมาช้านานแล้ว เป็นครั้งแรกที่จับงานเขียนก็แทบจะว่าได้ แต่เนื่องจากว่าขาดหลักฐานและเหตุผลมาสนับสนุนและยังไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของแม่ชีท่านนั้น จึงอดใจสืบหาอยู่นาน เนื่องจากว่าหาดใหญ่เป็นเมืองใหญ่ เป็นแหล่งธุรกิจ ผู้คนจึงหมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ ผู้ที่อยู่ติดถิ่นมาช้านานจริง ๆ หาแทบไม่ได้เลย ผู้คนส่วนใหญ่เดินทางมาจากต่างถิ่น มาทำมาหากินอยู่ที่นั้น พวกเขาเหล่านี้จึงไม่ทราบความเป็นมาของแม่ชีดีพอ ทราบเท่า ๆ กับที่ผมทราบ คือได้เห็นและได้ฟังเพียงคำร่ำลือต่อ ๆ กันมาเท่านั้น ผมจึงไม่สามารถสืบสาวราวเรื่องจากใครได้ แต่ถึงอย่างไร ทุกครั้งที่ผมแวะไปที่สำนักสงฆ์โคกนาว ก็พยายามสืบถามผู้รู้อยู่เรื่อย ๆ หมายจะนำเรื่องนี้มาเปิดเผยสู่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย
แล้วความพยายามของผมก็ประสบผล เมื่อได้เจอกับท่านเจ้าสำนักรูปใหม่ซึ่งท่านเป็นหลานแท้ๆ ของเจ้าสำนักรูปเก่า ท่านคือพระอธิการสิ่ง ฐิตธัมโม ท่านเจ้าสำนัก (สงฆ์)ได้แนะนำให้ผมไปติดตามสืบถามเรื่องนี้ได้จาก พระอาจารย์ทอง สุสังวโร แห่งสำนักปฏิบัติธรรมป่ากอ อำเภอนาม่อน จังหวัดสงขลา เพราะพระอาจารย์รูปนี้เป็นผู้ที่แม่ชีอุปถัมภ์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ความเป็นมาของแม่ชี ท่านผู้นี้ทราบดีที่สุดและอาจจะเป็นผู้เดียว (ที่ยังมีชีวิตอยู่) ที่ทราบเรื่องราวนี้ดี
ผมจึงจับรถตะบึงไปยังสำนักปฏิบัติธรรมป่ากอทันที เมื่อไปถึงก็ได้พบพระอาจารย์ทอง สมความตั้งใจ พระอาจารย์ทอง สุสังวโร เป็นพระสายวิปัสสนา ที่น่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งรูปหนึ่ง ท่านอาจจะเป็นรูปเดียวในประเทศเรา ที่สมาทานไม่พูดคุยกับผู้หญิงและปฏิบัติได้เช่นนั้นมาตลอด ๕๐ กว่าปี ที่ครองเพศบรรพชิตมา พร้อมกันนั้นท่านก็ยังสมาทานถือมังสาวิรัติมาตลอดชีวิตบรรพชิตของท่าน ปัจจุบันท่านมีอายุ ๘๐กว่าปีแล้ว แต่ร่างกายยังดูกระฉับกระเฉง แข็งแรง ผิวพรรณก็ดูสดใสอย่างเช่นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลทั้งหลาย น้ำเสียงพูดคุยของท่านนุ่มนวลส่งถึงความเมตตาในจิตใจ
แม่ชีคนนี้ ชื่อ เนียร เป็นชาวสงขลาโดยกำเนิดเกิดในจวนท่านเจ้าเมืองสงขลา (ไม่แน่ใจในสมัยที่ใครเป็นเจ้าเมือง) เพราะมีพ่อเป็นคนครัวของท่านเจ้าเมือง และแม่ก็เป็นข้าบริพารอยู่ในจวนของท่านเจ้าเมืองสมัยนั้น แม่ชีเนียรเป็นลูกคนโตของพ่อ แต่เป็นลูกคนรองของแม่ เพราะแม่ของท่านเคยมีลูกกับสามีเก่ามาคนหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะมาแต่งงากันคนครัวของท่านเจ้าเมือง ในวัยเยาว์แม่ชีมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาก จึงเป็นที่โปรดปรานของท่านเจ้าเมืองและคุณหญิงยิ่งนัก ถึงกับเรียกติดปากว่า “อีลูกหมา” ตามความรักของผู้เฒ่าสมัยนั้น เด็กหญิงเนียรลืมตามามองโลกได้ ๒ ปี ก็มีน้องชายคลานตามหลังออกมาอีกคนหนึ่ง ๒ พี่น้องจึงเติบโตขึ้นมาภายในอาณาบริเวณจวนของท่านเจ้าเมืองสงขลา แต่พอน้องชายของท่านอายุได้๗ ขวบ พ่อของท่านก็เสียชีวิตลงด้วยโรคลมปัจจุบัน ในขณะที่นั่งขูดเกร็ดปลาอยู่ในห้องครัว แม่ชีจึงกำพร้าพ่อมาตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ ท่านเจ้าเมืองและคุณหญิงจึงไห้ความเมตตาชุบเลี้ยงลูกกำพร้าทั้งสองมาจนเติบใหญ่ และได้อบรมสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติตามธรรมเนียมของชาววัง เช่น ให้ใช้คำว่า “ใต้เท้า” กับเจ้านาย ใช้คำว่า “บ่าว” กับตัวเอง ให้รู้จักวิธีเข้าหาเจ้านายอย่างมีมรรยาท และสอนให้ไหว้พระสวดมนต์ ตักบาตรรพระ เข้าวัดทำบุญตั้งแต่ยังเยาว์วัย แม่ชีอุปนิสัยหนักแน่นในศีลในธรรมมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ท่านถือมังสวิรัติ และสมาทานไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนไม่ขาดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
เมื่ออายุล่วงได้สิบกว่าปี เด็กหญิงเนียรก็สามารถปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูในจวนได้เป็นอย่างดี รู้จักใช้คำ “ใต้เท้า” กับเจ้านาย และใช้คำว่า “บ่าว” กับตัวเอง รู้จักวิธีเข้าไปหาเจ้านายอย่างมีมรรยาท ตอนนั้นในจวนของท่านเจ้าเมืองเลี้ยงนกไว้ดูเล่นหลายตัว เพราะท่านเจ้าเมืองโปรดปรานนกยิ่งนัก เด็กหญิงเนียรได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลและให้อาหารพวกนกเหล่านั้น
วันหนึ่งท่านเจ้าเมืองได้ให้อาหารนกเอง แล้วก็ออกไปว่าราชการ คุณหญิงไม่ทราบ ด้วยความเป็นห่วงนกจึงเข้ามาดู และถามเด็กหญิงเนียรว่า “ใครให้อาหารนกแล้วหรือยัง” ด้วยเหาตุว่าตอนนั้นเด็กหญิงได้เลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง เป็นแมวคราว (แมวคราวคือแมวพันธุ์ธรรมดานี่เองแต่สีหม่น คือขาวปนดำ) และตอนนั้นเด็กหญิงเนียรกำลังถึงเรื่องแมวอยู่พอดี จึงเผลอตอบไปว่า “แมวคราวให้กินแล้ว”
คุณหญิงถามทาสคนอื่นได้ความว่า ท่านเจ้าเมืองเป็นคนให้อาหารนกเอง ก็โกรธเด็กหญิงยิ่งนัก เพราะถือว่า เด็กคนนี้เหิมเกริมใหญ่หาญเอาท่านเจ้าเมืองมาล้อเล่น ถึงกับเรียกว่า “แมวคราว” การเรียกใครว่าแมวคราว ภาษาท้องถิ่นภาคใต้สมัยนั้นคือว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างแรง เพราะเปรียบได้ว่าเป็นผู้เก่งทางด้านประจบสอพลอเจ้านายดังแมวคลอเคลียเจ้าของ จึงออกปากขับไล่เด็กหญิงเนียรกับแม่และน้องชายออกจากจวนไป (คุณหญิงคนนั้นคงเป็นคนเอาแต่ใจตามแบบฉบับของภริยาเจ้าขุนมูลนายผู้มากอำนาจทั่วไป)
แม่ของเด็กหญิงเนียรจึงต้องอพยพลูกทั้งสองออกจากจวนของท่านเจ้าเมือง ได้ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ที่แถวๆ ชานเมืองสงขลานั่นเอง ทำการทำงานรับจ้างหาเลี้ยงลูกไปตามประสา จนกระทั่งเด็กหญิงเนียรเติบโตขึ้นเป็นสาวเต็มตัวใครๆ ต่างพากันออกปากชมว่า เด็กสาวคนนี้มีหน้าตางดงามยิ่งนัก อีกทั้งมรรยาทก็อ่อนช้อย สมกับที่ได้อบรมมาจากจวนผู้ดี จึงมีชายหนุ่มในตระกูลสูงมาสนใจกันมากมาย
อยู่มาวันหนึ่ง ผู้เป็นแม่ใช้ท่าน (แม่ชีเนียรเมื่อยังเป็นสาวไปขอพลูจากเพื่อนบ้านคนหนึ่ง บังเอิญท่านไปพบภาพอันแสนเวทนาของลูกผู้หญิงเข้า คือ ภาพหญิงออกลูกตายทั้งกลม (ตายขณะที่ลูกยังค้างอยู่ที่ปากช่องคลอด ) ทำให้ท่านเกิดความหวาดกลัวขึ้นอย่างแรง ถึงกับสาบานในใจว่าชาตินี้จะไม่ขอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเด็กขาด เพราะกลัวจะมีท้อง และคลอดลูกตายอย่างน่าอนาถเช่นนั้น ท่านจึงไม่ได้รับคำจะแต่งงานกับชายหนุ่มคนไหน แม้พวกเขาเหล่านั้นจะเพียรพยายามกันอย่างไร ท่านยืนกรานปฏิเสธอยู่เช่นนั้น
แต่ด้วยความห่วงใยในชีวิตลูกผู้หญิงของผู้เป็นแม่ ซึ่งถือมาแต่โบราณว่าหญิงสาวไม่ได้แต่งงานจะพาลลำบากในภายหน้า จึงรุกเร้นให้ท่านแต่งงงานเป้ฯฝั่งเป็นฝาไปเสีย ครั้งแรกๆ ท่านก็ปฏิเสธ แต่หลาย ๆ ครั้งเข้าก็ไม่อยากจะให้ผู้เป็นแม่ขัดเคืองใจจึงตัดสินใจแต่งงานกับนายช่างชาวต่างประเทศคนหนึ่งซึ่งเดินทางมาควบคุมการสร้างทางรถไฟสมัยนั้น แต่มีข้อแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กันเช่นสามีภรรยาทั่วไป คือจะไม่มีเพศสัมพันธ์กัน ความอยากได้สาวงามมาครอบครอง นายช่างคนนั้นจึงตกปากรับคำทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจว่าจะรักษาคำมั่นสัญญาได้ แต่หลังจากแต่งงานใหม่ๆ เขาก็ตั้งมั่นอยู่ในคำสัญญาเป็นอย่างดี ในขณะที่ท่าน (แม่ชี)ก็เฝ้าภาวนาบนบานศาลกล่าวขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ นานา ตลอดจนครูหมอมโนราห์ เพราะตระกูลฝ่ายแม่นับถือครูหมอมโนราห์(ครูหมอมโนราห์ เป็นเจ้าอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านในภาคใต้ให้การยอมรับนับถือ เป็นตระกูล ๆ ไป) ขอให้นายช่างรีบกลับประเทศไป แล้วคำอธิฐานของท่านก็สัมฤทธิ์ผล เพราะหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นานนายช่างชาวต่างประเทศคนนั้นมีอันต้องรีบกลับประเทศไป (ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสงครามหรือสมัครใจกลับเอง)นายช่างต้องการจะให้ท่านติดตามไปด้วย แต่ท่านยืนกรานปฏิเสธจนนายช่างคนนั้นยอมกลับแต่โดยดี และได้ทั้งทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่สร้างขึ้นในประเทศสยามไว้ให้เป็นมรดกของท่าน
จากมรดกจำนวนมหาศาลที่สามีทิ้งไว้ทำให้ท่านเป็นเศรษฐีน้อยๆ คนหนึ่งในเวลาไม่นาน แต่ท่านก็ตกอยู่ในฐานะหญิงม่ายในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย โดยเฉพาะม่ายสามีทิ้งแบบนั้น ด้วยความเกรงว่าจะถูกชายอื่นเหยียดหยาม ท่านจึงตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นครู ชื่อ “คล้าย” เป็นชาวอำเภอระโนด แต่ก่อนแต่งงานก็มีข้อตกลงเหมือนเดิม คือไม่มีเพศสัมพันธ์กัน ให้ถือมัสวิรัติ ให้ไหว้พีระสวดมนต์ทุกวันเหมือนท่านครูคล้ายก็ตกลง แต่ยื่นข้อต่อรองว่า ถ้าตนปฏิบัติได้เช่นนั้นล่วง ๓ ปีไปแล้ว ก็ต้องยอมใจตนบ้าง ท่านคิดว่าเวลา ๓ ปี ครูคล้าย ซึ่งเป็นคนชอบดื่มเหล้าเมายาเป็นอาจิณ คงจะไม่สามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้หรอก จึงได้ตกปากรับคำ แต่ครูคล้ายก็สามารถปฏิบัติตนดังที่ให้สัญญากันไว้จริง ๆ เมื่อครบ ๓ ปี ก็ทวงสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อกัน ท่านก็พยายามหาทางหลบหลีกอยู่เรื่อยมา จนในที่สุดก็หลบหนีออกจากบ้านมาอาศัยกับเพื่อน แต่อยู่ได้ไม่นานก็เกิดเป็นไข้อย่างแรง และในไปว่า มีคนมาบอกว่า “นี่แหละเป็นเพราะไม่รักษาคำสัตย์” พอฟื้นจากไข้ ท่านจึงกลับไปกราบเท้าขอโทษครูคล้าย พร้อมกับวิงวอนขอร้องให้เลิกสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อกันเสีย แต่ครูคล้ายไม่ยอมโดยบอกว่าตนอดทนปฏิบัติตามสัญญาจนครบ ๓ปี ก็เพื่ออยากจะได้นางมาเป็นภรรยาจริงๆ แล้วเมื่อครบตามสัญญานางมาบิดพลิ้วเช่นนี้ ตนจะมองหน้าใครได้ จึงใช้วิธีข่มขู่ต่างๆ นานา ใช้กำลังทำร้ายบ้าง ใช้ปืนขู่บ้าง ท่านก็ต่อสู้โดยการใช้มีดซุยที่เตรียมไว้ป้องกันตัวแทงสวนเข้าไป โดนครูคล้ายบาดเจ็บ แต่ก็ไม่มารถหยุดยั้งความพยายามของครูคล้ายได้ ครูคล้ายทำร้ายร่างกายท่านได้รับบาดเจ็บจนสลบไป และตัวครูคล้ายเองก็ได้รับบาดเจ็บพอ ๆกัน จึงถูกนำส่งโรงพยายามพร้อม ๆ กัน
อยู่รักษาตัวพอฟื้นและมีเรี่ยวแรงขึ้นมา ท่านก็หนีออกจากโรงพยาบาลไปเพื่อจะหลบหนีครูคล้าย ส่วนครูคล้ายพอแผลหายเป็นปกติแล้ว ก็คิดกลับใจเลิกล้มความพยายาม กลับไปแต่งงานใหม่ที่จังหวัดพัทลุง และไม่มาข้องแวะกับท่านอีกเลย จนกระทั่งตายจากกัน
ท่านหลบหนีอยู่พักหนึ่งก็เกิดล้มเจ็บลงอย่างหนักอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ อาการหนักกว่าทุกครั้งก่อนมากหาหมอมารักษาจนสิ้นหมอชำนาญแล้วก็ยังไม่หาย บางครั้งถึงกับเป็นลมสลบไสลไม่รู้สึกตัวไปทีละ ๒-๓ วัน จนกระทั้งคืนหนึ่งนอนหลับฝันไปว่า ตัวเองถูกนำไปที่อุโบสถ์วัดกลาง (วัดมัชฌิมาวาส จ.สงขลา) ซึ่งเคยใช้เป็นที่ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการสมัยก่อน ในฝันปรากฏเหมือนกับว่า มีชายร่างใหญ่หน้าตาหน้ากลัวคนหนึ่ง ทำการสอบสวนโดยบอกว่านี่คือผลจากการบิดพลิ้วคำสัญญาของตัวเอง และถามว่าจะรักษาชีวิตตัวเองหรือทรัพย์สมบัติ (หมายถึงทรัพย์สมบัติที่สามีเก่าทิ้งไว้ให้) ถ้ารักษาทรัพย์สมบัติก็ต้องสละชีวิต แต่ถ้าจะรักษาชีวิตก็ต้องสละทรัพย์สมบัติเหล่านั้นให้หมด ท่านตอบว่า รักษาชีวิตไว้และจะขอสละทรัพย์สมบัติเหล่านั้นให้หมด เพื่อเป็นการไถ่โทษ เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา อาการไข้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหายเป็นปกติแล้วท่านก็ปฏิบัติตามที่ได้รับปากไว้ในความฝันจริง ๆ คือบริจาคทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ไปจนหมดสิ้น สมบัติก้อนสุดท่านใช้ไปเพื่อการจัดพิธีรำมโนราห์โรงครู เพื่อแก้บนที่ได้บนบานไว้กับครูมโนราห์(การรำมโนราห์โรงครูเป็นวิธีแก้บนอย่างหนึ่งของผู้นับถือครูหมอมโนราห์ซึ่งนิยมทำกันในเดือน ๖)และงานรำมโนราห์โรงาครูนี่เอง พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตมงคลการพระมารดาของพระองค์เจ้าเฉลิมพล ฑิฆัมพรพร้อมกับพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรเสด็จไปภาคใต้ ได้เสด็จไปดูการรำมโนราห์ดรงครูครั้งนี้ด้วย และได้พบกับนางเนียรก็รู้สึกถูกชะตากันก็เลยตรัสสนทนาด้วย และได้ให้การยกย่องเป็นพระสหายคนหนึ่ง พร้อมทั้งยังเสด็จตรัสสั่งพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ให้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระมารดาต่อไป คือเมื่อเสด็จไปภาคใต้ ก็ให้ถามข่าวถึงนางเนียร พระองค์เจ้าฯ ก็ปฏิบัติตามเสมอ
หลังจากเสด็จพิธีรำมโนราห์โรงครู และบริจาคทรัพย์สมบัติที่มีอยู่หมดสิ้นแล้ว ท่านก็กลายเป็นผู้อนาถาไร้ที่พึ่งพิง จึงตัดสินใจบวชเป็นนางชีเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงชีวิตไปวันๆ จนกระทั่งได้พบกับพระอาจารย์เซ่ง (ไม่ทราบฉายา) ซึ่งเป็นพระอาจารย์สายวิปัสสนา ผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งของคนสมัยนั้น เมื่อได้พบกับพระอาจารย์เซ่ง แม่ชีท่านก็เกิดเลื่อมใสในตัวของพระอาจารย์เซ่งอย่างมาก จึงติตามท่านไปปฏิบัติกรรมฐานอยู่ที่วัดฟีฟายซึ่งอยู่ใกล้ เมืองสงขลา และที่สัดนั่นเองแม่ชีได้พบกับพระภิกษุทอง สุวังสโร ศิษย์ผู้ติดตามของพระอาจารย์เซ่ง เกิดต้องชะตากัน แม่ชีเลยปวารณาตัวเป็นโยมอุปัฏฐากจากพระอาจารย์ทอง ตั้งแต่นั้นมา
ครั้นมาอยู่ในสำนักของพระอาจารย์เซ่งแล้ว แม่ชีท่านก็มุ่งมั่นปฏิบัติกรรมฐานอย่าเอาจริงเอาจัง เป็นผู้ตั้งมั่นในศีลอย่างบริสุทธิ์ ถือมังสวิรัติเรื่อยมา สวดมนต์ไหว้พระทำภาวนากิจไม่ขาดจนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยชรา จึงย้ายมาอยู่ที่วัดถาวร (วัดนี้เป็นวัดจีนนิกาย อยู่ในเมืองหาดใหญ่ อยู่มาๆ ก็เกิดเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตามประสาคนชรา ได้พระภิกษุทองผู้ที่ตนเคยให้การอุปัฏฐากบำรุงคอยดูแลให้การเอาใจใส่ตอบแทน จนกระทั่งท่านล้มป่วยหนักขึ้นพระอาจารย์ทองเห็นว่าท่านใกล้จะถึงกาลกิริยาแล้ว จึงโทรเลขไปถึงพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร เพราะเป็นคำสั่งของพระองค์ท่านฯ ว่า เมื่อแม่ชีเจ็บไข้ไม่สบาย หรือต้องการความช่วยเหลืออะไร ก็ให้ส่งข่าวให้ทราบ แต่ตอนนั้นปรากฏว่าพระองค์เจ้าฯ เสด็จไปต่างประเทศ จึงไม่สามารถจะเสด็จไปดูอาการทัน
แม่ชีจึงจบชีวิตลงด้วยความสงบ ที่วัดถาวรนั่นเอง ขณะนั้นอายุ ๘๐ ปีกว่าๆ (ในปี พ.ศ.๒๕๐๕) แต่ก่อนจะสิ้นลมหายใจท่านสั่งไว้ว่าห้ามทำฌาปนกิจศพของท่าน ให้ทำโกศเก็บไว้ที่ไหนก็ได้ แล้ว ๓ ปีค่อยมาดูอีกครั้ง
พระอาจารย์ทองก็รับปาก และปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเมื่อเสร็จพิธีบำเพ็ญบุญกุศลตามประเพณีแล้วก็ได้จ้างให้ช่างปูนก่อโกศสำหรับบรรจุศพของท่านขึ้นที่สุสานวัดถาวร ซึ่งแยกมาตั้งต่างหากอยู่ที่หลังสำนักสงฆ์โคกนาว และได้เก็บศพท่านไว้ที่นั่น แล้วพระอาจารย์ทองเองก็ออกธุดงค์ไปที่ต่างๆ จนกระทั่งครบ ๓ ปีก็กลับมาดูศพของแม่ชีตามที่ท่านสั่งไว้ ปรากฏว่าเห็นผลและฟันงอกยาวขึ้น และศพยังไม่เน่าเปื่อย เรื่องก็เลยฮือฮาตั้งแต่บัดนั้นตราบจนบัดนี้
โกศใส่ศพแม่ชีที่ผมเห็นตอนเป็นเด็ก เป็นเพียงโกศซีเมนต์ที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ เก็บศพแม่ชีในท่านั่งขัดสมาธิไว้ ไม่ได้ตบแต่งยอดโกศแต่อย่างใด และรอบฐานโกศก็เต็มไปด้วยพงหญ้ารกเรื้อตามธรรมชาติ แต่โกศใสศพแม่ชีที่ผมไปเห็นครั้งหลังปรากฏว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ใส่ยอดทาสี (ตามที่เห็นในภาพ) รอบๆ ก็ลาดพื้นซีเมนต์ไว้สืบถามพระสงฆ์ในสำนักสงฆ์โคกนาวได้ความว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๖ (อาจจะคลาดเคลื่อน บ้างเล็กน้อย) พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ได้เสด็จไปเยี่ยมและจัดให้มีพิธีรำโนราห์โรงครูขึ้นหน้าโกศใสศพแม่ชี แล้วรับสั่งให้ช่างจัดการลาดพื้นซีเมนต์รอบๆ โกศ แต่โกศที่เปลี่ยนใหม่นั้นไม่แน่ใจว่าพระองค์เจ้าจัดการให้เปลี่ยนหรือว่าทางวัดจัดการเปลี่ยนเอง
ท่านทั้งหลายได้อ่านเรื่องนี้แล้วสนใจจะไปดูด้วยตัวเอง หรือใครมีโอกาสเดินทางไปหาดใหญ่อยากไปดูด้วยตัวเอง ก็ขอเชิญได้ที่สุสานวัดถาวร ซึ่งตั้งหลังสำนักสงฆ์โคกนาว (คนละด้านกำแพง) เป็นที่น่าเสียดายที่กระจกซึ่งติดไว้หน้าโกศมีตะไคร้จับ จนทำให้ดูมัวหมอง ไม่สามารถจะถ่ายภาพศพแม่ชีข้างในมาให้เห็นได้ชัด แต่ถ้าไปดูด้วยตัวเองจะเห็นได้ชัดเจน และถ้าท่านได้มีโอกาสไปดู ก็อย่าลืมจดจำไว้ วันที่ท่านไปเหานครั้งแรกผมยาวขนาดไหน เผื่อท่านมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนครั้งที่สองอีก จะได้นำมาเปรียบเทียบว่ายาวขึ้นจริงหรือเปล่า ถ้าใครสนใจก็ขอเชิญได้เลย วัดนี้ไปไม่ยาก เพราะตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ถามคนแถวๆ นั้นรู้จักดี ใครสนใจก็เชิญเถอะครับ.