Social :



สมภารวัดทุ่งใหญ่ ผู้หยั่งรู้ชะตาตัวเอง

25 เม.ย. 59 16:30
สมภารวัดทุ่งใหญ่ ผู้หยั่งรู้ชะตาตัวเอง

สมภารวัดทุ่งใหญ่ ผู้หยั่งรู้ชะตาตัวเอง

สมภารวัดทุ่งใหญ่ ผู้หยั่งรู้ชะตาตัวเอง

            เป็นที่ทราบกันว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิ่งที่มนุษย์เราทุกคนจะต้องประสบ และเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนที่สุดในชีวิตของเรา แต่ก็คงจะไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้แน่ชัด  ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตนเมื่อไหร่ รู้กันเพียงแต่ว่า จะต้อง แก่ เจ็บ และตาย โดยเฉพาะการตายเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะกำหนดรู้ได้ แต่ท่ามกลางความยามเย็นเช่นนั้น ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งสามารถกำหนดรู้วันตายของตัวเองได้ คือรู้ว่าตัวเองจะมรณภาพเวลาไหน และเพราะเหตุใด ท่านที่ผมกำลังจะกล่าวถึงมีชื่อว่า หลวงพ่อชาย ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งไหม้    อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ท่านมีชีวิตอยู่ในโบกคนละรุ่นคนละยุคกับผม เราจึงมีโอกาสได้พบปะกัน แต่นั่นมิได้หมายความว่าเราจะมิได้ทราบเรื่องราวของกันและกันเลย จริงอยู่แม้ผมจะไม่มีโอกาสได้พบเห็นท่าน แต่ก็ได้รับทราบเรื่องราวของท่านอีกทั้งยังได้เห็นหลักบานความเป็นจริงอันนั้นของท่าน

            สมัยผมยังเป็นเด็ก จำได้ว่ามีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้เล่าเรื่องมหัศจรรย์ของพระภิกษุรูปหนึ่งให้ฟังว่า มีพระภิกษุรูปหนึ่งท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดในป่า ต่อมาท่านถูกำเสือร้ายตัวหนึ่งกัดเอามรณภาพ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านรู้ดีว่า วันนั้นตัวเองจะต้องถูกเสือร้ายตัวนั้นกัดถึงแก่ความตายแน่ๆ เพราะว่ามันเป็นผลกรรมที่ท่านเคยทำไว้กับมัน ปรากฏว่าวันนั้นท่านถูกเสือร้ายกัดเอามรณภาพจริง ๆ ท่ามกลางความอารักขาอย่างเหนียวแน่นของบรรดาญาติโยม

MulticollaC

            ต่อมาไม่นานญาติท่านนั้นเสียชีวิตลงด้วยโรคชรา แต่เรื่องราวที่ท่านเคยเล่าให้ฟังหาได้สูญหายไปพร้อมกับการดับสลายของร่างกายของท่านไม่ มันถูกเก็บไว้ในความทรงจำของผม แต่ก็ถูกำเก็บไว้ในนั้นนานทีเดียวกว่าจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จนนานจนกระทั่งกาลเวลาได้เปลี่ยนสภาพเด็กชายคนหนึ่งมาเป็นหนุ่มแน่นในวันนี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้มีขาวบ้านคนหนึ่งได้เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังอีก ด้วยเหตุที่ว่าเรื่องเก่ายังตกค้างอยู่ในความทรงจำ เมื่อได้ทราบเรื่องเพิ่มเติมเข้า ความอยากรู้อยากเห็นบังเกิดขึ้นทันที ผมจึงพยายามสืบหารายละเอียดของเรื่อง จึงได้ทราบว่า ท่านผู้นั้นมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ  100 กว่าปีแล้ว และท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งไหม้อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผมคิดว่าควรจะไปที่นั่น เพื่อให้เห็นด้วยตารู้ด้วยหูตัวเองสักครั้ง แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า วัดนั้นอยู่ในที่กันดาร หนทางไปมาลำบาก แต่นั่นหาใช่อุปสรรคที่จะมาขวางกั้นความอยากรู้อยากเห็นของผมได้ไม่ เมื่อมีโอกาสผมจึงเดินทางไปเยือนที่นั้นทันที และก็ไม่ผิดหวัง สิ่งที่ได้ไปรู้ไปเห็นมาสนองความอยากรู้อยากเห็นของผมได้สมปรารถนา

            วัดทุ่งไหม้ ที่ผมได้ไปเห็นในวันนั้น ยังเป็นวัดป่าที่คงความเป็นธรรมชาติไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะกลายเป็นวัดร้างมาหลายปีแต่ปัจจุบันก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นวัด มีพระอยู่จำพรรษาประจำอีกครั้ง

            ณ ที่นั่น...ผมได้ทราบเรื่องราวเพิ่มเติมจากคนเฒ่าคนแก่ใกล้ ๆ นั้นว่า พระภิกษุที่ผมกำลังให้ความสนใจอยู่นั้น ท่านมีชื่อว่า “ชาย” เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดนี้ ชาวบ้านจึงเรียกท่านว่า “สมภารวัดทุ่งไหม้” พร้อมกันนั้นคนเฒ่าคนแก่ก็ยังได้เท้าความเกี่ยวกับท่านสมภารชายให้ฟังว่า

            ก่อนที่จะบวชนั้น สมภารชายท่านก็เป็นชาวบ้านที่นั่งเองสมัยที่ท่านยังหนุ่มได้ร่ำเรียนวิชาคาถาอ่าคมกับหมอเก่งทางไสยศาสตร์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนใกล้ ๆ นั้นเหมือนกัน และเมื่อท่านมีครอบครัว (แต่ไม่มีบุตร ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด) ก็เกิดมีเสือร้ายตัวหนึ่งเที่ยวอาละวาดกินผู้คนและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านละแวกนั้น ชาวบ้านได้รับความเดือนร้อนกันทั่วหน้า และในที่สุดชาวบ้านตัดสินใจรวมทีมกันออกล่าเสือร้ายตัวนั้น และในครั้งนั้นอาจารย์ของสมภารชายก็ร่วมเดินทางไปด้วย และตัวท่านสมภารชายเองก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย ขบวนล่าเสือออกเดินทางรอนแรมไปหลายที่ ผจญภัยกับสัตว์ร้ายต่างๆ นานามากมาย โดยเฉพาะเจ้าเสือร้ายกำลังถูกตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตาม ได้พบและประมือกับมันหลายครั้ง และความร้ายกาจของมันทำให้ผู้ร่วมเดินทางจบชีวิตลงหลายคน และในที่สุดฝ่ายออกล่าก็เพลี้ยงพล้ำต่อเสือร้ายตัวนั้น ชีวิตเกือบหมดเหลือพรานป่าซึ่งเป็นเพื่อนของอาจารย์สมภารชาย อาจารย์สมภารชาย และตัวสมภารชายเองเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าขบวนล่าเสือจะไม่สามารถดับชีวิตมันได้ตามต้องการ แต่ก็ได้ทำร้ายมันบาดเจ็บปางตาย โดยเฉพาะจากฝีมือของอาจารย์สมภารชาย และตัวสมภารชาย

            เมื่อกลับมาจากออกล่าเสือได้ไม่เท่าไหร่ อาจารย์ของสมภารชายก็เสียชีวิตด้วยโรคร้าย ซึ่งติดมาจากป่า (คงจะเป็นไข้มาลาเรีย) และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง เมียของสมภารชายก็เสียชีวิตลงด้วยโรคฝีดาษในท้อง (น่าจะเป็นมะเร็งในท้อง) ท่านเสียใจมากจึงตัดสินใจบวช และเอาที่ทางซึ่งเคยเป็นที่อยู่ที่ทำกินของตนและเมียทำเป็นวัด ให้ชาวบ้านทำขนำให้จำพรรษาอยู่ที่นั่น จนชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงช่วยกันบุกเบิกแผ้วถางบริเวณนั้นช่วยกันสร้างเสนาสนะขึ้นทำเป็นวัด โดยเรียกกันว่า “วัดทั่งไหม้”(น่าจะเขียนว่าม่าย เพราะชาวบ้านบางคนบอกว่า คำว่าไหม้ หมายถึงการเป็นม่าย อาจจะเป็นตัวสมภารชายนั่นเองที่เป็นม่าย เพราะเมียท่านตาย)

            สมภารวัดทุ่งไหม้ เป็นผู้รอบรู้วิชาคาถาอาคมมาก่อน และเมื่อบวชก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมบรรลุคุณอันวิเศษ คือสามารถหยั่งรู้ชะตากรรมของตัวเองได้ เมื่อท่านมีอายุมากเข้า ท่านก็ทราบได้โดยญาณว่าตัวท่านเองใกล้จะสิ้นอายุขัยแล้ว และรู้ด้วยว่าจะสิ้นวันไหน ด้วยเหตุใดท่านจึงเรียกประชุมบ้านแล้วแจ้งให้ทราบว่าท่านจวนจะมรณภาพแล้ว ชาวบ้านพากันสงสัยว่าทำไมท่านจะมรณภาพเร็ว ทั้งที่อายุก็ยังไม่มากนัก อีกอย่างร่างกายก็ยังแข็งแรงดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ท่านจึงอธิบายให้ทราบว่า ท่านได้ทำกรรมไว้กับเสือตัวที่ท่าน และชาวบ้านออกล่าเมื่อคราวมันมาอาละวาดแถว ๆ นี้ ท่านทำร้ายมันบาดเจ็บปางตาย ตอนนี้เสือตัวนั้นหายดีแล้ว และมันกำลังจะมาทวงผลกรรมครั้งนั้นคืน คือจะมาเอาชีวิตของท่านเป็นการแก้แค้น

            ชาวบ้านทราบดังนั้นก็พากันหวั่นวิตกกันทั่วหน้า จึงพร้อมใจกันปกป้องท่าน โดยพยามยามหาทางป้องกันภัยจากเสือร้ายตัวนั้น พวกเขาช่วยกันอย่างเต็มที่ พวกหนึ่งลงมือขุดคูรอบกุฏิท่านสมภาร เพื่อมิให้เสือข้ามเข้ามาได้ พวกหนึ่งลงมือทำเครื่องมือทำอาวุธเตรียมรับสู้เสือร้าย โดยการเผาเหล็กทำเป็นคาบศิลา บ้างก็ตีดาบ ตีมีด โดยทำกันในวันนั้นเอง และเมื่อใกล้ถึงวันที่ท่านสมภารบอกว่าท่านจะมรณภาพแน่แล้ว พวกเขาก็พร้อมกันมาอยู่ยามเฝ้าอารักขาท่าน ผลัดกันทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนก็ก่อไฟรอบ ๆกุฏิท่านสมภารดูสว่างไสวประดุจกลางวัน และผู้ชายวัยฉกรรจ์พร้อมด้วยอาวุธหลายคนก็อยู่ยามเตรียมรับมือเสือร้าย

            แล้ววันหนึ่งท่านสมภารบอกกับญาติโยมว่า “วันนี้อาตมาต้องถึงแก่มรณภาพแน่แล้ว เสือร้ายตัวนั้นมันจะเอาชีวิตอาตมาภายในค่ำคืนนี้แหละ” ชาวบ้านทราบอย่างนั้นก็ตกใจใหญ่ เพิ่มความอารักขาเหนียวแน่น พวกอยู่เวรอยู่ยามก็เข้มงวดมากขึ้น  ถึงกับไม่ยอมหลับยอมนอนกันทั้งกลางวันกลางคืน แต่ในคืนนั้นเองก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น อยู่ ๆ ทุกคนก็เผลอหลับไปพร้อมๆ กัน โดยนอนรายรอบอยู่หน้ากุฏิท่านสมภารนั้นเอง ท่านสมภารก็นั่งสมาธิอยู่ในห้อง แต่เพียงครู่เดียวชายผู้อยู่ยามคนหนึ่งก็ได้ยินเสียง...โฮก...ดังมาจากในห้องท่านสมภาร เขาจึงผลุนผลันเข้าไปดู คนอื่น  ๆ ก็ตามเข้าไปติด ๆ ภาพที่เห็นทำให้ทุคนตกตะลึง ท่านสมภารนอนร่างอาบเลือดแดงฉานอยู่บนที่นอน เสือร้ายตัวนั้นก็ยังไม่หนีไปไหนแต่พอชาวบ้านโผล่เข้าไปมันก็กระโดดหนีไปทางหน้าต่าง ท่านสมภารมรณภาพลงในคืนนั้นจริงๆ ชาวบ้านเสียอกเสียใจกันใหญ่ช่วยกันจัดการฌาปนกิจศพท่านสมภารที่หน้ากุฏิท่านนั้นเอง หลังจากนั้นสถูปเล็กๆ บรรจุอัฐิของท่านไว้ที่นั่น ด้วยความเสียใจและไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พวกชาวบ้านจึงย้ายวัดไปสร้างใหม่ในที่ห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งเล่ากันว่ามีหมอ (กลางบ้าน) คนหนึ่งชื่อบุญได้อุทิศให้ วัดนั้นจึงได้ชื่อว่า “วัดนาหมอบุญ” และมีชื่อทางราชการว่า “วัดเจริญบุญเขต” วัดนี้เจริญเรื่อยมาตราบจนปัจจุบันนี้ ส่วนวัดทุ่งไหม้ถูกปล่อยให้ร้างเป็นป่าดงดิบอยู่นาน จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2480  มีพระรูปหนึ่ง ชื่อพระเขียดได้มาปักกลดพัก และเกิดชอบใจในความสงบก็เลยอยู่ประจำที่นั่นชาวบ้านเห็นดังนั้นก็พร้อมใจกันฟื้นฟูพั��'นาวัดขึ้นมาใหม่ จึงได้เป็นวัดตราบเท่าปัจจุบัน

            พร้อมกับคำบอกเล่าเหล่านั้น ผมยังได้พบหลักฐานประกอบคำบอกเล่าหลายอย่าง เป็นต้นว่า คูน้ำรอบกุฏิ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีแต่ตื้นเขินและแคบ แต่ก็ยังมีน้ำล้อมรอบพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละประมาณ 1เส้น ตรงกลางเป็นพื้นราบเรียบ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเคยเป็นที่ตั้งกุฏิของท่านสมภาร และสิ่งที่ยืนยันความจริงอันนั้นของชาวบ้านอีกอย่างก็คือ สถูปบรรจุอัฐิของท่านสมภารชาย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เมื่อผมไปถึงสถูปนั้นถูกทำลายไปแล้วเพราะชาวบ้านต้องการจะสร้างศาลาใหม่บนสถูปเก่า เรื่องมันก็เนื่องจากว่าเมื่อประมาณปี 2516 วิญญาณสมภารชายได้เข้าทรงชาวบ้านคนหนึ่ง และได้บอกกล่าวเรื่องราวของวัด พร้อมทั้งบอกลักษณะของท่านให้ทราบ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันสร้างรูปเหมือนตามคำบอกลักษณะ (โดยผ่านร่างทรง) ของท่านขึ้น และได้เอาอัฐิของท่านซึ่งบรรจุอยู่ในสถูป เอามาบรรจุใหม่ในฐานรูปเหมือน และได้ทุบทำลายสถูปเก่าเพื่อปรับพื้นที่สร้างศาลาตั้งรูปเหมือน ซึ่งตรงกับสถูปเก่านั่นเอง และข้าง ๆ ศาลาตั้งรูปเหมือนของท่านก็พบเศษเหล็ก เศษทั่งที่ใช้ในการตีเหล็กและทำดาบ

            นี้คือเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่เคยมีตัวตนจริง ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงตำนานเป็นนิทานที่เล่าสืบทอดต่อ ๆ กันมา เป็นเรื่องจริงที่มีพยานหลักฐานปรากฏให้พิสูจน์ตราบจนทุกวันนี้.

 

 

            

โพสต์โดย : sitbn