คงไม่มีใครคาดคิดว่ามหันตภัยร้ายอย่าง “มะเร็ง ” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วน จะสามารถรักษาได้ด้วยยาเสพติดให้โทษอย่าง “กัญชา” ที่ทำลายชีวิตคนไม่น้อยไปกว่ามะเร็งเช่นกัน เพราะเท่าที่ทราบกัน ผู้เสพกัญชาส่วนใหญ่มักมีอาการจิตเสื่อม ระบบการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลาย หากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายอ่อนแอ และติดโรคได้ง่าย แถมกัญชายังถูกบัญญัติให้เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 พร้อมมีบทลงโทษสำหรับผู้ครอบครองและผู้เสพอีกด้วย
“ เมื่อก่อนมีการวิจัยผิดว่ากัญชาทำให้เป็นมะเร็ง ซึ่งงานวิจัยล่าสุด มีการใช้กัญชารักษามะเร็งได้ รวมถึงใช้รักษาหอบหืดได้อีกด้วย” นพ.สมยศกล่าว
ขณะที่ นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา ว่า การนำกัญชาไปใช้ทางการแพทย์ในต่างประเทศ ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาวิจัยระดับพลีคลินิก คือในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง รวมถึงระดับคลินิกคือ ทดลองในคน ซึ่งแม้พบว่าสารสกัดจากกัญชาช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในอวัยวะ เช่น ตับ ปอด เต้านม และสมองในสัตว์ทดลอง แต่ขณะนี้ยังไม่มียาที่สกัดจากกัญชาโดยตรง
ขณะที่ทางองค์การอาหารและยา (อย.) เภสัชกรสมชาย ปรีชาทวีกิจ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เ ปิดเผยว่า จากกระแสข่าวเกี่ยวกับการใช้กัญชารักษาโรคมะเร็งนั้น ทาง อย. ขอชี้แจงว่า กัญชาจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ห้ามมีผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะอนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาจากกัญชาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยทางวิชาการในคนที่สามารถยืนยันว่ารักษามะเร็งได้