“ เกาะพยาม ไม่เห็นมีอะไร น้ำก็ไม่ใส ทรายก็ไม่ขาวเหมือนทะเลทางใต้ที่อื่น ทำไมนึกถึงทะเลระนองต้องพูดถึงแต่เกาะพยาม ” นี่คือความคิดของฉันที่มีต่อเกาะนี้มาตลอดเหมือนเป็นความรู้สึกไม่ปลื้มอยู่ในใจลึกๆ ด้วยตัวเองเที่ยวทะเลมาเยอะ เคยเจอแต่ทะเลสวยน้ำใส สีฟ้า หาดทรายขาว ทำให้เมื่อเห็นภาพ เกาะพยาม ยังไม่ค่อยมีความรู้สึกอยากไปเท่าไหร่ จะเรียกว่าคงเป็นเพียงเกาะเดียวที่ขึ้นชื่อในทะเลใต้ที่ยังไม่เคยไปเพราะตั้งใจไว้เที่ยวในอันดับท้ายๆ แต่แล้วก็มีเหตุให้ฉันต้องไประนองโดยบังเอิญ ไหนๆก็ไปแล้วแวะเที่ยว เกาะพยาม ซักหน่อย และในที่สุดเมื่อมีโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเองก็ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ทั้งหมด จากที่คิดมาตลอดว่า เกาะพยาม ไม่มีอะไร ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เกาะนี้มีอะไรมากเหลือเกิน ครั้งหนึ่งในชีวิตของการไปเที่ยวทะเล ถ้าไม่ได้มาที่นี่คงรู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก รีวิวนี้จะมาบอกเล่าเรื่องราวท่องเที่ยวเกาะพยามในมุมมองของฉัน ที่เคยได้สัมผัสมา
ควรใช้เวลาเที่ยวกี่วันสำหรับ เกาะพยาม ถึงจะเรียกว่าได้สัมผัสบรรยากาศแบบเต็มที่ 3 วัน 2 คืน คือ ช่วงเวลาที่พอเหมาะ การเดินทางไปเกาะพยามเริ่มที่ท่าเรือเทศบาลตำบลปากน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองระนองใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีเท่านั้น จากท่าเรือไปยังเกาะพยามจะต้องนั่งเรือข้ามไปเกาะ มีเรือที่ให้บริการ 2 แบบ นั่นคือ เรือธรรมดาใช้เวลาเดินทางชั่วโมงครึ่ง ราคาคนละ 200 บาท และเรือสปี๊ดโบทใช้เวลา 30 นาที ราคาคนละ 350 บาท สำหรับรอบเวลาของเรือทั้งไปและกลับสามารถเข้าไปดูได้ที่ ข้อมูลเกาะพยาม http://www.paiduaykan.com/province/south/ranong/khophayam.html
เพื่อความรวดเร็วในการเดินทางฉันเลือกเดินทางโดยเรือสปีดโบ๊ทรอบสุดท้ายจากระนอง คือเวลา 14.30 น. เพียง 30 นาที ก็มาถึงท่าเรือฝั่งเกาะพยาม ตรงจุดนี้เรียกว่า ท่าเรืออ่าวแม่หม้าย
น้ำทะเลที่อ่าวแม่ม้ายฝั่งท่าเรือน้ำใสใช้ได้เลยทีเดียว อ่าวเม่ม้าย ถือว่าเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเกาะพยามทั้งหมด เพราะจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ไม่ว่าจะร้านค้า ร้านอาหาร มอเตอร์รับจ้าง หรือร้านมอเตอร์ไซต์ให้เช่า รวมถึงเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทชื่อดังบนเกาะพยาม เดอะบลูสกาย รีสอร์ท บนเกาะพยามมีหลายอ่าว หลักๆ เรียงตามลำดับความใกล้ ได้แก่ อ่าวแม่ม้าย อ่าวเขาควาย อ่าวใหญ่ อ่าวกวางปีบ อ่าวที่ค่อนข้างใหญ่และมีที่พักให้เลือกเยอะก็คือ อ่าวเขาควาย และอ่าวใหญ่ แต่ละอ่าวตั้งอยู่ไม่ไกลกันมาก สามารถเดินทางถึงกันด้วยมอเตอร์ไซต์ใช้เวลาเพียง 10-15 นาที เท่านั้น เป็นการเที่ยวเกาะที่ฉันรู้สึกว่าสะดวกสุดๆ อย่างเกาะสมุยแต่ละหาดค่อนข้างอยู่ไกลกันพอสมควร ถนนหนทางก็ไม่ได้ร่มรื่น น่าขับรถเหมือนถนนบนเกาะพยาม
ไม่ไกลจากท่าเรืออ่าวแม่ม้ายเป็นที่ตั้งของวัดเกาะพยาม เป็นวัดที่เพียงแห่งเดียวบนเกาะซึ่งเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านที่นี่ มีเอกลักษณ์คือ หากเรานั่งเรือมาจะเห็นพระอุโบสถกลางน้ำสวยเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล วัดนี้ฉันแวะไปไหว้ในวันสุดท้ายก่อนกลับ
ชุมชนบริเวณท่าเรืออ่าวแม่ม้าย ค่อนข้างคึกคักไปด้วยร้านค้า
เมื่อมาถึงท่าเรืออ่าวแม่ม้าย ทำอย่างไรต่อจะเที่ยวรอบเกาะและไปที่พักอย่างไรดี ที่เกาะพยามมีพาหนะโดยสารเพียงอย่างเดียวนั่นคือ มอเตอร์ไซต์รับจ้าง หรือที่ชาวเกาะพยามเค้าเรียกว่า แท๊กซี่ หากใครขี่มอเตอร์ไซต์ไม่เป็นและไม่มีรถของทางรีสอร์มารับก็คงต้องใช้บริการพี่วินแท๊กซี่ค่ะ ราคาโดยสารจะอยู่ที่ 80-150 บาท ต่อเที่ยวแล้วแต่ระยะทาง แต่ถ้าใครขี่มอเตอร์ไซต์ได้ก็จะดีมากเพราะจะได้เที่ยวชมวิวรอบเกาะได้สะดวกและประหยัดขึ้น แนะนำให้เช่าจากท่าเรือไปเลย มีร้านค้าหลายร้านตรงท่าเรือที่ให้บริการเช่า ราคาเช่าต่อวัน เกียร์ธรรมดาวันละ 200 บาท เกียร์ออโต้ 250 บาท สำหรับฉันถือว่าโชคดีเพื่อนร่วมทางขี่มอเตอร์ไซต์เป็น เลยเช่ามอเตอร์ไซต์จากท่าเรือและขับไปยังที่พัก
ถนนหนทางที่ใช้สัญจรภายในเกาะพยามส่วนใหญ่เป็นถนนคอนกรีต ทางดี ขับง่าย บางเส้นตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นยางพาราพืชเศรษฐกิจซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้าน จะพบเห็นสวนยางได้เยอะในถนนที่จะมุ่งไปยังอ่าวใหญ่ นั่งรถผ่านรู้สึกร่มรื่น มาเที่ยวเกาะแต่ไม่รู้สึกร้อนเลยซักนิด รู้สึกเย็นสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ สวนยางบนเกาะค่อนข้างสวยค่ะ ที่เกาะพยามยังชูเรื่องสวนยางพาราเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกอย่างหนึ่งด้วย วิถีชีวิตของชาวบ้านบนเกาะฉันรู้สึกว่ายังดูเป็นชาวบ้านแบบดั้งเดิมอยู่มากจะไม่ค่อยออกเชิงการค้าหรือธุรกิจอะไรมากนัก
นอกจากปลูกยางพาราแล้ว ระหว่างทางในถนนบางเส้นของเกาะจะเห็นเจ้าต้นนี้ด้วย หากบอกว่าชื่อ ต้นกาหยู หลายคนอาจไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่า เจ้าต้นนี้คือ ต้นของเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ที่เรามักเห็นร้านอาหารเอามาใส่ในยำ ทุกคนคงร้องอ๋อ การทำสวนกาหยู คือ อีกอาชีพหนึ่งของชาวบ้านบนเกาะพยาม
ผลของต้นมะม่วงหิมพานต์กำลังสุกงอม ที่เห็นอยู่ตรงท้ายผลนั่นคือ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมื่อสุกเต็มที่ชาวบ้านก็จะเด็ดเฉพาะเมล็ดแล้วนำมาคั่วไฟ หลังจากนั้นก็เทาะเมล็ดสีขาวซึ่งอยู่ด้านในออกมาขาย ฉันเคยเห็นกรรมวิธีคั่วเมล็ดแล้วเวลาโดนไฟ เมล็ดจะเด้ง ดีด ดึ๋ง เอาเรื่องเลย เพราะบ้านยายปลูกต้นนี้เยอะก็จะชอบเก็บเอามาคั่วกิน
ขับมอเตอร์ไซต์จากท่าเรือมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง บ่ายแก่ๆ ก็มาถึงที่พักในคืนแรกของฉัน เลซี่ฮัท บังกะโล ซึ่งตั้งอยู่บน อ่าวใหญ่ เหตุผลที่เลือกพักเพราะตั้งใจมาชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งตกทำมุมตรงหน้าที่พักพอดี อ่าวใหญ่ถือว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยที่สุดของเกาะพยาม หากใครไม่ได้มาพักที่อ่าวนี้ ก็สามารถขับรถมาชมได้ แต่ฉันเน้นสะดวกไม่อยากเดินทางเข้ามาเพราะเส้นทางอ่าวใหญ่ค่อนข้างลึกกว่าอ่าวอื่น ที่พักจะตกแต่งออกแนวแร็กเก้เล็กน้อยเพราะลูกค้าส่วนใหญ่คือ ชาวต่างชาติ ซึ่งมักจะชอบบรรยากาศแบบนี้
บรรยากาศของเลซี่ฮัท บังกะโล จะสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติ คือ เป็นกระท่อมแบบเรียบง่าย มีห้องน้ำในตัวและพัดลม ราคาคืนละ 400 บาท เท่านั้น ถูกมาก ทีนี่ไม่มีห้องแอร์ ไฟฟ้าใช้ได้ตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึง ห้าทุ่ม แต่ไม่ต้องกลัวร้อนเพราะอากาศตอนกลางคืนค่อนข้างเย็น หากใครไม่ได้ติดหรูหรือรักสบายมาก อยากนอนใกล้หาด ใกล้ชิดพระอาทิตย์ตก แต่มีงบประมาณของที่พักไม่เยอะ ที่นี่ตอบโจทย์ค่ะ
ภายในห้องพักแบบกระท่อมบังกะโล
ฉันได้พักบ้านซึ่งพี่ยอดเจ้าของบอกว่าเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ น้องคือ คนแรกที่ได้มาพักเลยนะ ถือว่ามาเปิดซิง เป็นที่พักที่อยู่ใกล้กับหาดที่สุด ห้องพักแบบนี้เรียกว่าลักซ์ชัวรี่ซีวิว ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทะเลจากบ้านพักได้เลย มีทั้งหมด 2 ชั้น ชั้นล่างมี 2 ห้อง ข้างบนมี 2 ห้อง เป็นห้องแบบพัดลมทั้งหมดเพราะบอกไปแล้วที่นี่ไม่มีห้องแอร์ค่ะ เน้นเรียบง่าย ราคาห้องทั้งสองชั้นเท่ากันคืนละ 800 บาท
ฉันเลือกพักชั้น 2 เพราะเห็นว่ามีระเบียงยื่นออกไปจากที่พักสำหรับนั่งชมวิวได้ เก๋กู๋ดมาก
เก็บของเรียบร้อยแล้วระหว่างรอเวลาพระอาทิตย์ตก ก็ขับรถมอเตอร์ไซต์ชมวิวตรงถนนเส้นทางเข้ามายังอ่าวใหญ่ ตั้งใจจะไปถ่ายภาพสวนยางพาราเพราะระหว่างทางมีเยอะมาก แต่เหลือบไปเห็นแม่น้ำอะไรซักอย่างวิวสวยๆ แอบซ่อนตัวอยู่เลี้ยวรถเข้าไปถึงบางอ้อมันเป็นอ่างเก็บน้ำอ่าวใหญ่นั่นเอง
เดินชมวิวรอบอ่างเก็บน้ำพื้นเป็นดินทรายสีขาว สำหรับกับก้อนหินสี บวกกับวิวต้นหญ้าเขียวและแห้งซึ่งเป็นฉากข้างหลัง ก็สวยงามไปอีกแบบ
สวนยางพาราบนเกาะพยาม จริงแล้วบ้านยายของฉันก็มีอาชีพทำสวนยางพาราเคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก ได้แต่หยิบลูกยางมาโยนเล่น แต่ไม่รู้สึกทราบซึ้งว่าสวย พอโตขึ้นมาจับกล้องถ่ายภาพถึงรู้สึกว่าสวนยางที่ปลูกเรียงรายกันเวลาต้องแสงแดดอ่อนๆยามเย็นก็สวยดีนะ
ขับรถกลับมายังอ่าวใหญ่ เพื่อรอถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก อ่าวนี้ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแบคแพคมากันแบบครอบครัว บ้างก็มาเป็นคู่ คนไทยน้อยมาก บางคนมาอยู่เป็นเดือน มาพักผ่อน นั่งนอนอ่านหนังสือ ดื่มด่ำบรรยากาศของทะเล อ่าวทุกอ่าวของเกาะพยามค่อนข้างเงียบสงบ ไม่ได้อึกทึก คึกโครม เต็มไปด้วยผับ บาร์ เหมือนเกาะอื่นๆ ประมาณ 3 ทุ่มกว่า ร้านค้า ร้านอาหาร ก็เริ่มปิดหมดแล้วค่ะ จึงเป็นเกาะที่เหมาะสำหรับหลีกหนีความวุ่นวายเพื่อมาพักผ่อนจริงๆ จากที่เคยเที่ยวเกาะมาหลายเกาะฝรั่งเค้าค่อนข้างที่จะชอบเที่ยวแบบสมบุกสมบันน่ะค่ะ คือถ้าหรูก็หรูไปเลย แต่ส่วนใหญ่จะเห็นกินอยู่แบบง่ายๆ มักนิยมเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน บางคนฉันเห็นเดินแบกกระเป๋าตากแดดร้อนจูงมือลูกจากท่าเรือไปยังที่พักก็มี เข้าใจว่าบ้านเค้าคงเจอแต่อากาศหนาวมากพอได้มาเจออากาศร้อนเลยรู้สึกฟิน ซึ่งแตกต่างกับเราวิ่งหลบแดดสุดฤทธิ์
หันมองไปทางไหนส่วนใหญ่ก็จะมากันเป็นคู่
แต่ถ้ามาคนเดียว วินาทีนี้คงไม่เหงา เพราะมีน้ำทะเล หาดทราย และดวงอาทิตย์เป็นเพื่อน
โดยปกติฉันเห็นบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกที่มีแต่น้ำทะเล เรือ และดวงอาทิตย์ มาประกอบฉากกัน แต่พระอาทิตย์ตกที่อ่าวใหญ่ มีพื้นทรายสีทองพร้อมด้วยริ้วลายของปฎิมากรรมทรายที่สร้างสรรค์โดยเจ้าปูน้อย รวมถึงริ้วทรายที่ถูดซัดจากเกลียวคลื่น เข้ามาร่วมฉากด้วยเป็นภาพที่สวยงามไปอีกแบบ เดินมองริ้วลายจนเพลินไปเลย
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงมาเรื่อยๆ ความจ้าของแสงก็เริ่มน้อยลงตาม เห็นเป็นดวงกลมมากขึ้น เรือประมงของชาวบ้านทั้งลำเล็กและลำใหญ่ วิ่งผ่านพระอาทิตย์ดวงกลมสลับกันไปมาคงเป็นภาพที่พวกเขาเห็นชินตาทุกวัน
สำหรับฉันถึงแม้เที่ยวทะเลมาเยอะ ก็คงได้แต่เห็นภาพทะเลใสๆ น้อยครั้งมากที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกดวงกลมโตลาลับขอบฟ้าไปเช่นนี้ ครั้งแรกที่ฉันเห็นคือ หาดพัทยา เกาะหลีเป๊ะ ครั้งที่สองคือ เกาะเต่า และครั้งที่สามที่อ่าวใหญ่ เกาะพยาม เกาะที่ฉันรู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่วันนี้มันมีสิ่งที่ทำให้แขกผู้มาเยือนอย่างฉันได้ประทับใจกับการเดินทางมาวันแรกกับภาพนี้แล้วละ
และฉันรู้ว่านักท่องเที่ยวคนนี้คงยืนนิ่งมองสิ่งเดียวกับสิ่งที่ฉันมอง และคงมีความรู้สึกประทับใจในบรรยากาศนี้ไม่แตกต่างกัน
แม้พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าหายไปในทะเล แต่บรรยากาศก็ยังคงสวยงาม สมกับที่คำร่ำลือที่ว่า อ่าวใหญ่ คือ จุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของเกาะพยาม
ค่ำแล้วมื้อนี้คงไม่ออกไปทานที่ไหนเพราะดูแล้วท่าจะออกไปยาก ที่เลซี่ฮัทมีร้านอาหารให้บริการค่ะ ฝากท้องไว้กับที่นี่ ราคาอาหารถือว่าไม่แพงมากถ้าเป็นอาหารจานเดียวราดข้าวก็ 80-120 บาท ถ้าสั่งเป็นกับข้าวก็อยู่ที่ 100 up ถ้าเป็นอาหารทะเลก็จะสูงขึ้น ในราคานี้สำหรับฉันมองว่าเป็นราคาปกติของการท่องเที่ยวทะเลซึ่งต้องสูงกว่าร้านอาหารบนฝั่งอยู่แล้ว สั่งปลาหมึกผัดพริกแกงและส้มตำผลไม้มาทานค่ะ รสชาติอาหารถือว่าใช้เลยทีเดียว
ก่อนนอนมานั่งเล่นชมวิวรับลมทะเลตรงระเบียง
อ่าวใหญ่ในยามเช้า ฉันว่าทะเลแต่ละที่ก็มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่แตกต่างไป ส่วนใหญ่ก็จะเห็นแต่น้ำทะเลใส หาดทรายขาว แต่เกาะพยามไม่ใช่แบบนั้นกลับมีความพิเศษ คือ ในช่วงเวลาเช้าเวลาน้ำลง ที่อ่าวใหญ่ บางมุมของชายหาดก็เป็นรอยริ้วคลื่น มองแล้วสวยงามไปอีกแบบค่ะ
รวมทั้งมีการไล่ระดับสีของหาดทรายและน้ำทะเลได้อย่างลงตัว
กิจกรรมยอดฮิต จ๊อกกิ้ง
บางคนก็ลงเล่นน้ำแต่เช้า
คลื่นกระทบฝั่งกระจายเป็นฟองคลื่นสีขาว
10 โมงกว่า ได้เวลาอำลาจาก เลซี่ฮัท อ่าวใหญ่ เพื่อไปกลับไปยังท่าเรืออ่าวแม่ม้าย เพื่อไปยังที่พักคืนที่ 2 นั่นก็คือ เดอะบลูสกาย รีสอร์ท
จากท่าเรืออ่าวแม่ม้ายเลี้ยวขวาตรงไปจะเจอสะพานข้ามไปยัง บลูสกายรีสอร์ท น้ำของที่นี่จะขึ้น ลง เป็นช่วงเวลาค่ะ ฉันข้ามสะพานนี้มา 2 เวลา คือ ตอนเที่ยงพื้นที่ตรงนี้แห้งขอดเห็นแต่พื้นทราย แต่พอขับรถมาอีกทีตอนบ่าย 2 ครึ่ง น้ำทะเลเริ่มขึ้นแล้วค่อยๆ ไหลเข้ามากลายเป็นภาพท้องทะเลกว้างใหญ่ สีสันของสีน้ำทะเลตัดกับสวยงามมาก จริงแล้วฉันว่าน้ำทะเลที่เกาะพยามค่อนข้างใสเลยทีเดียวเพียงแต่ว่าทรายไม่ได้มีสีขาวจะออกเป็นสีน้ำตาลมากว่า บางครั้งน้ำขุ่นก็เกิดจากทราย เลยทำให้รู้สึกว่าทะเลที่นี้สวยสู้ที่อื่นไม่ได้
มาถึงที่พัก เดอะบลู สกาย ฉันเชื่อว่ามีหลายคนรู้จักเกาะพยามเพราะ บลูสกาย หรือต้องการมาเกาะพยามด้วยเหตุผลว่าอยากมาพักที่นี่ เห็นหลายคนต่างก็ขวนขวายซื้อแพคเกจในงานท่องเที่ยวกันนักหนา ฉันเคยเห็นรีวิวที่พักมาบ้าง รู้ว่าที่นี้สวยน่านอนจัง แต่ความรู้สึกในตอนนั้นไม่ถึงกับว่าจะต้องมาเกาะพยามด้วยเหตุผลเพียงอยากพักที่นี่ แต่เมื่อมีโอกาสมาพักด้วยตัวเองเลยได้เข้าใจว่าทำไมหลายคนอยากมาเกาะพยามด้วยเหตุผลเพียงต้องการมาพักที่ บลูสกาย ที่นี่ไม่ได้สวยแค่ห้องพัก แต่สวยและคุ้มค่าด้วยบรรยากาศติดริมทะเล มีมุมให้เราได้นั่งเล่นพักผ่อนหลายมุม ราคาในหน้าเว็บคืนละ 7 พันบาท (รวมอาหารเช้า) แต่ส่วนใหญ่จะเห็นนักท่องเที่ยวซื้อแพคเกจในงานท่องเที่ยวซึ่งราคาคงลดไปเยอะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าราคาเท่าไหร่แต่น่าจะเป็นราคาที่หลายคนเอื้อมถึงได้ แขกที่มาส่วนใหญ่ก็จะมีแต่คนไทย ต่างชาติจะน้อย แต่สำหรับใครที่ไม่ได้พักก็สามารแวะมาถ่ายภาพชมวิว หรือทานอาหารได้ค่ะ เค้าเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนถึงแม้ไม่ได้เป็นแขกที่มาพักก็ตาม
คอนเซ็ปต์ของบลูสกาย คือ มัลดีฟเมืองไทย ซึ่งถ้าเป็นช่วงน้ำขึ้นพื้นด้านล่างของบ้านพักทุกหลังก็จะอยู่ท่ามกลางสายน้ำสีเขียวมรกตสวยงาม บรรยากาศคล้ายกับบ้านพักกลางทะเลมัลดีฟ แต่น่าเสียดายวันที่ฉันเดินทางเป็นช่วงที่น้ำแห้งก็จะเห็นเป็นพื้นทรายแทน แต่ถึงแม้ไม่มีน้ำก็ยังสวยอยู่ดี ที่พักติดแอร์ทุกหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ไฟฟ้ามีให้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมง
บรรยากาศภายในห้องพัก มีหน้าต่างกระจกเห็นวิวรอบด้าน
ด้านนอกทำพื้นระเบียงไม้ยื่นออกไปพร้อมเก้าอี้ให้ได้นั่งพักชมวิว หรือจะนั่งเล่นห้อยขาก็ย่อมได้
ในช่วงบ่าย 3 กว่าๆ น้ำจะเริ่มลงมาและไหลเข้ามายังที่พักแบบนี้ค่ะ
บ้านหลังที่ติดกับทางน้ำสายหลักที่ไหลลงมาก็สามารถลงไปเล่นน้ำได้เลย
มุมแปลผ้าริมหาดมีให้เห็นหลายจุดในรีสอร์ท นอนไกวริมทะเลชิวแท้
เรือคายัคมีไว้ให้พายฟรีสำหรับลูกค้าค่ะ
มุมพักผ่อนริมสระน้ำ
ที่บลูสกายมีมุมนั่งเล่นเยอะมาก นั่งจิบเครื่องดื่มมองวิวทะเลที่กว้างไกลสุดตา มันเป็นความรู้สึกดี และสบายใจ อย่างบอกไม่ถูก
ล๊อบบี้ของรีสอร์ท ก็เหมาะสำหรับนั่งเล่น เห็นแดดร้อนๆ แบบนี้แต่มีลมเย็นของทะเลพัดเข้ามาตลอดนั่งไปก็ชวนหลับ
สมูทตี้และเครื่องดื่มเย็นๆ ของที่นี่ รสชาติอร่อยมาก ฉันสั่งดื่มหลายแก้ว ชอบที่สุดคือ กีวี่ผสมมะนาว ออกเปรี้ยวๆ หวาน ชื่นใจ ดับกระหายได้ดีเลยทีเดียว ราคาจะอยู่ที่แก้วละ 90 -120 บาท
อีกแก้วมีแอลกอฮอล์นิดหน่อย บลูฮาวาย สีสันสวยงาม
หน้าตาของอาหารมื้อกลางวัน ส้มตำกุ้งสด ยำปลาสมุนไพร สลัดทูน่า สำหรับราคาอาหารที่บลูสกายสำหรับฉันค่อนข้างสูง แต่เมื่อเห็นปริมาณอาหารก็ถือว่าพอรับได้เพราะแต่ละจานใหญ่มาก กุ้งตัวบะเร่อ ทั้งหมดนี้รวมเครื่องดื่มสมูทตี้และบลูฮาวาย ราคา 1 พันกว่าบาท
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาที่เราจะต้องไปขับรถสำรวจยังอ่าวต่างๆของ เกาะพยาม อ่าวใหญ่ไปค้างคืนมาแล้ว อ่าวต่อไปคือ อ่าวเขาควาย ซึ่งจะแบ่งเป็นอ่าวเขาควายฝั่งเหนือและเขาควายฝั่งใต้ หากขับรถมาจากท่าเรือก็จะถึงอ่าวเขาควายฝั่งใต้ก่อนใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที อย่างที่บอกค่ะว่าอ่าวแต่ละอ่าวอยู่ใกล้กัน แต่รถมอเตอร์ไซต์ไม่อนุญาติให้ขับเข้าไปถึงอ่าวหรือหาดค่ะ ต้องจอดไว้ทีรีสอร์ทใดซักรีสอร์ทที่อยู่ติดอ่าวนั้นแล้วเดินลงไป เลือกได้เลยว่าจะจอดตรงไหนแต่ละรีสอร์ทจะมีที่สำหรับจอดมอเตอร์ไซต์ไว้ชัดเจน ฉันเลือกจอดไว้ที่วิจิตร บังกะโล ซึ่งไกลไปซักหน่อยเกือบสุดปลายอ่าว จริงแล้วจอดไว้ที่พยามคอทเทจน่าจะโอเคกว่าเพราะตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางพอดี อ่าวเขาควายฝั่งใต้หาดทรายเป็นสีขาวแตกต่างจากอ่าวทุกอ่าวรวมถึงมีน้ำทะเลใสที่สุดบนเกาะพยาม
และที่สำคัญอ่าวนี้เป็นที่ตั้งของ หินทะลุ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเกาะพยาม ลักษณะจะคล้ายกับซุ้มประตูหินเกาะไข่ ตะรุเตา น้ำทะเลตรงหินทะลุใสมาก ๆ
ลอดผ่านหินทะลุมาก็จะเจอวิวทะเลแบบนี้
และไม่ได้มีเพียงช่องหินทะลุช่องเดียวค่ะ ถัดไปมีอีก 1 ซุ้มประตุ ซึ่งมีรูกลมอยู่ 3 ช่อง เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกอเมซิ่งมาก เกาะพยามเริ่มมีอะไรขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบเต็ม 100 แล้ว บริเวณหินทะลุมองขึ้นไปมีที่พักอยู่ 1 แห่ง คือ บัพเฟอโร่ฮิว
จาก อ่าวเขาควายใต้ ไปยังอ่าวสุดท้ายไกลที่สุดและอยู่เหนือสุดของเกาะพยามนั่นก็คือ อ่าวกวางปีบ เส้นทางช่วงสุดท้ายเป็นดินแดงชันเล็กน้อย
เป็นอ่าวที่มีบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบที่สุดและดูห่างไกลผู้คน อ่าวนี้มีที่พักเพียงแห่งเดียว คือ กวางปีบรีสอร์ท
น้ำทะเลในอ่าวนี้ค่อนข้างใส แต่หาดทรายจะเป็นสีน้ำตาลตามแบบฉบับทรายของเกาะพยาม
มุมด้านซ้ายสุดของเกาะจะเป็นโขดหิน
หลังจากขับรถตะลอนสำรวจอ่าวครบแล้วบ่าย 2 โมงกว่ากลับมายังที่พักเดอะบลูสกาย หลบแดดร้อนกันซักนิด เพื่อรอไปชมพระอาทิตย์ตกอีก 1 อ่าวของเกาะพยาม นั่นก็คือ อ่าวเขาควายฝั่งเหนือ ซึ่งเรายังไม่ได้แวะไป อ่าวนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยอีกจุดของเกาะพยาม ฉันเลือกจอดรถไว้ที่บานาน่า รีสอร์ท หลังจากนั้นก็เดินลงไปนั่งรอชมวิว มาถึงปุ๊บแอบตกใจ เพราะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกเยอะมาก เหมือนนั่งดูหนังกลางแปลง อาจเป็นเพราะอ่าวเขาควายฝั่งเหนือเป็นอ่าวที่มีทีพักร้านอาหารเยอะกว่าอ่าวอื่นด้วย บางร้านทำเป็นที่นั่งยื่นออกมาเพื่อชมพระอาทิตย์ตกกันเลยทีเดียว
บรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่อ่าวเขาควายฝั่งเหนือ จะแตกต่างจากที่อ่าวใหญ่ที่ว่า มีองค์ประกอบเป็นเรือชนิดต่างๆ ที่ลอยอยู่บนน้ำทะเลให้เราได้มองและถ่ายรูปอยู่หลายลำ
เป็นคืนสุดท้ายก่อนกลับที่รู้สึกว่าคุ้มค่า ตลอดเวลา 3 วัน 2 คืน ที่อยู่บนเกาะพยาม ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตลาลับขอบฟ้าทุกเย็นในมุมที่และพื้นที่ที่แตกต่างกัน
จบการรีวิวด้วยภาพนี้ค่ะ เกาะพยามมีอะไร ทำไมต้องไป หลังจากอ่านรีวิวนี้จบฉันเชื่อว่าหลายคนคงได้คำตอบเหมือนฉัน คุณอาจได้รู้จักเกาะพยามในหลายมุมมากขึ้น ทั้งน้ำทะเลสีสวย พระอาทิตย์ตกงาม บรรยากาศของความสงบและเป็นธรรมชาติ ครบอยู่ในเกาะเดียว หวังว่าคำตอบของการเที่ยวทะเลในหน้าร้อนนี้ คงมีชื่อของ เกาะพยาม ผ่านเข้ามาในความคิดของเพื่อนๆ บ้างค่ะ
โปรแกรมท่องเที่ยวเกาะพยาม 3 วัน 2 คืน
วันแรก
14.30 น. ขึ้นเรือข้ามไปยังฝั่งเกาะพยาม
15.00 น. ถึงเกาะพยามเช่ามอเตอร์ไซต์ขับไปยังที่พักบนอ่าวใหญ่
17.00 น. รอชมพระอาทิตย์ตกหน้าอ่าวใหญ่
วันที่สอง
08.00 น. ตื่นมาตอนเช้าชมวิวรอบอ่าวใหญ่อีกครั้ง
10.00 น. เดินทางไปยัง บลูสกาย รีสอร์ท พักผ่อนทานข้าว ชมวิว
12.00 น. ขับรถเที่ยวตามอ่าวต่างๆ เริ่มตั้งแต่ อ่าวเขาควายฝั่งใต้ อ่าวกวางปีบ
14.00 น. กลับที่พัก
17.00 น. ไปชมพระอาทิตย์ตกที่อ่าวเขาควายฝั่งเหนือ กลับที่พัก
วันที่ 3
09.00 น. ตื่นมาตอนเช้าขับรถไปชมบรรยากาศยามเช้าของอ่าวเขาควายเหนือ ต่อด้วยวัดเกาะพยาม
11.00 น. กลับมาพักผ่อนนอนเล่นที่รีสอร์ท
14.30 น. นั่งเรือสปีดโบ๊ทรอบสุดท้ายกลับไปยังฝั่งระนอง
ขอบคุณข้อมูลจาก
paiduaykan.com