Social :



อิทธิฤทธิ์หลวงตาเดช

27 เม.ย. 59 19:17
อิทธิฤทธิ์หลวงตาเดช

อิทธิฤทธิ์หลวงตาเดช

เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีจริงหรือไม่ ยังเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่อย่างไม่รู้จบ จนเป็นเหตุให้ผู้คนต้องแยกออกเป็น ๒ พวก ตามความคิดของตน

         พวกหนึ่งเชื่อว่ามีจริง แต่อีกพวกหนึ่งเชื่อว่าไม่มีจริง

         แต่อย่างไรก็ตาม ในบรรดาผู้คน ๒ พวกนี้

ไม่มีพวกไหนมีเหตุผลและหลักฐานพอที่จะนำมาประกอบยืนยันความคิดของตนและลบล้างความคิดของฝ่ายตรงข้ามได้ เรื่องก็เลยยังคลุมเครืออยู่ตราบจนทุกวันนี้ สำหรับตัวผมจึงเป็นมันเสียทั้งสองพวก คือเริ่มแรกเดิมทีอยู่ฝ่ายที่ไม่เชื่อ แต่บัดนี้แปรพรรคมาอยู่ฝ่ายเชื่อทั้งที่ตอนนี้ผมได้เติบโตขึ้น ได้รับการศึกษา และได้รูเห็นสรรพสิ่งที่เกี่ยวกับวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ใหม่ๆ มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์นิยมทั้งหลายคนรู้สึกแปลกใจ และสงสัยว่าทำไมผมจึงมามีความคิดคับแคบแบบคนโง่ ๆ เมื่อตอนอายุมาก แต่เชื่อเถอะครับว่า ถ้าไม่มีอะไรมาพิสูจน์ให้ผมเห็นด้วยตา อันเป็นเหตุชวนให้เชื่อและมีเหตุผลพอที่จะเชื่อถือได้ ผมจะไม่เปลี่ยนแปลงความคิดเดิมเป็นอันขาด เรื่องมันก็มีอยู่ตามที่ผมจะเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังดังต่อไปนี้...

         ผมเกิดและเติบโตที่บ้านนอก คือ ที่อำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เมื่อพูดถึงคนบ้านนอกหลายท่านก็คงนึกถึงภาพตาสียายสา ชาวนาชาวสวนจน ๆ ที่เอาหลังสีฟ้าหน้าสู้ดิน ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยวิธีการใช้กำลังกายเป็นหลัก แทนที่จะใช้มันสมองใช้ความคิดอย่างคนในเมืองหลวง นั่นเป็นภาพพจน์ชาวนาเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา สมัยที่วิทยาการใหม่ ๆ ยังเข้าไปไม่ถึงอย่างปัจจุบัน แต่ถึงเดี๋ยวนี้ก็เถอะ คงจะยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังมองชาวนาชาวสวนอย่างผม และผู้ร่วมชะตากรรมด้วยด้อยบุญด้อยวาสนาเกิดในบ้านนอกทั้งหลาย ว่าเป็นผู้ยังไม่เจริญไร้การศึกษา และแน่นอนครับ เรื่องความคิดความเชื่อของคนบ้านนอกย่อมแตกต่างกับผู้คนในเมืองหลวงเป็นแน่ เพราะพวกเรา (คนบ้านนอก) มีการศึกษาน้อย ได้พบได้เห็นสิ่งที่เจริญทางด้านเทคโนโลยี่น้อย ความคิดของพวกเขาจึงยังไม่กว้างไกลไปถึงดวงอาทิตย์ดวงจันทร์อย่างคนในเมืองเจริญ ๆ ทั้งหลาย พวกเรายังมองเห็นเพียงสรรพสิ่งรอบข้างและยังยกย่องยอมรับนับถือสิ่งที่คิดว่าอยู่เหนือตน เหนือคนที่จะควบคุมได้ ผมหมายถึงธรรมชาติน่ะครับ และเพื่อความอุ่นใจ มั่นใจว่ามีสิ่งปกป้องรักษาคุ้มครองป้องกันภัยให้ พวกคนบ้านนอกจึงยอมรับนับถือผีสางเทวดา มีการเคารพนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของตน ซึ่งแต่ละบ้านแต่ละท้องถิ่น มักจะยึดถือไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าบ้านไหนท้องถินไหนได้รู้ได้เห็นและได้ยินอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของสิ่งใดก็ยอมรับนับถือสิ่งนั้นเป็นผีบ้านผีเรือน ที่บ้านเกิดของผม (อ.ชะอวด) ก็เหมือนกัน พวกชาวบ้านให้การยอมรับนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายอย่าง ทั้งที่เป็นวัตถุมีรูปร่างายังปรากฏให้เห็นอยู่ และสิ่งที่เหลือเพียงคำบอกเล่า แต่มีอำนาจพอที่จะทำให้ชาวบ้านเชื่อถือได้ สมัยผมยังเด็กพอจำความได้ ก็ได้พบเห็นสิ่งหนึ่งซึ่งจำติดตามาจวบจนทุกวันนี้ นั่นคือ ภาพของผู้คนในบ้านหมายถึง พ่อแม่และพี่ ๆ(ผมเป็นคนสุดท้องเลยไม่มีน้องให้กล่าวถึง)นั่งพับเพียบมืออยู่หน้าหิ้งบูชา เบื้องหน้ามีถาดใส่อาหารคาวหวานทุกอย่าง ตามที่ทำให้คนในบ้านทานกัน และผมมยังได้ยินเสียงพวกเขาเปล่งคำอุทิศจนชินหู และจดจำได้ว่า

         “ขอช่า (เดชะ) ตาหลวงเดชตาหลวงรอง ลูกหลานได้นำอาหารให้แล้ว ขอให้ตาหลวงเดชจงมารับอาหารนี้ไปเถอะ และขอให้จาหลวงช่วยปกป้องทุกคนในบ้านนี้ ให้มีความสุขความเจริญ ไร้โรคภัยไข้เจ็บ ภยันอันตรายอย่าได้มาเยี่ยงกรายผู้คนในบ้านนี้ด้วยเถิด ขอช่า(เดชะ)” แล้วผู้ภาวนาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั้นไป ห้องที่ตั้งหิ้งบูชาผีบ้านผีเรือนของผู้คนในท้องถิ่นเดียวกับผม ส่วนมากแล้วจะตั้งไว้ในห้องนอน อาหารที่นำไปเช่นสรวงเป็นอาหารใหม่ที่เพิ่งปรุงเสร็จ ก่อนที่ผู้คนในบ้านจะลงมือทาน ใช่แล้วครับบ้านผมยอมรับนับถือ “ตาหลวงเดช” เป็นผีบ้านผีเรือน (ชาวบ้านถือกันว่าเป็นเทวดา ถ้าพูดเป็นการไม่เหมาะด้วยขออภัยมายังผู้ยอมรับนับถือทั้งหลาย) หลายท่านคงอยากจะทราบประวัติความเป็นมาของตาหลวงเดชแล้วสิว่า มีความสำคัญอย่างไร จึงทำให้ชาวบ้านยอมรับนับถือกันอยู่ตราบจนทุกวันนี้ ผมจะเล่าให้ท่านทั้งหลายแต่เพียงย่อ ๆ ตามที่ได้รับทราบและหาข้อมูลมาได้

         ประวัติตาหลวงเดช

         ตาหลวงเดช (ตาหลวงเป็นภาษาท้องถิ่นภาคใต้ ใช้สำหรับเรียกผู้เฒ่าที่เป็นผู้ชาย( ไม่ได้เป็นเทวดา พระอรหันต์ หรือเกจิอาจารย์อะไรทำนองนั้น แต่ท่านเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเรา นี่แหละครับ และท่านก็มีชีวิ่ตอยู่อย่างสามัญธรรมดา คือมีลูกเมีย มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตาหลวงเดชมีภูมิลำเนายู่ในท้องที่อำเภอชะอวดนี้เอง คือในบริเวณตำบลวังอ่าง (เดี๋ยวนี้แยกเป็นตำบลเขาพระทอง) ตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังต่อ ๆ กันมาว่า ตาหลวงเดชมีครอบครัวอยู่ที่บ้านลาไม (อยู่ในตำบลเขาพระทองในปัจจุบัน) ท่านมีภรรยาชื่ออะไรไม่ปรากฏ และมีลูกกี่คนไม่ปรากฏชัด แต่ที่รู้ ๆ มีลูกหญิงคนหนึ่ง เพราะลูกหญิงคนนี้เกี่ยวข้องกับอิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน ดังที่ผมเล่าไว้ข้างหลัง ตาหลวงเดชมีแม่ชื่อ “หมก” ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกติดปากว่า “ย่าหมก” แรกเริ่มเดิมทีตาหลวงเดชก็ใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนคนธรรมดา คือเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ไถนา เป็นหัวหน้าครอบครัวเลี้ยงดูลูกเมีย แต่เริ่มด้วยเหตุใด ที่เป็นเหตุทำให้ท่านกลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ยอมรับนับถือของชาวบ้านมาตราบจนทุกวันนี้ไม่ปรากฏชัดนัก แต่ผมและชาวบ้านเชื่อกัน คงเป็นเพราะท่านมีวิชาทางไสยศาสตร์และคาถาอาคม จึงทำให้อิทธิฤทธิ์เหนือคนธรรมดาชื่อกันว่า ตาหลวงเดชมีเกลออยู่คนหนึ่ง ชื่อตาหลวงรอง (เกลอ เป็นภาษาท้องถิ่นภาคใต้ หมายถึงเพื่อนผู้รักใคร่และสนิทชิดเชื้อกันเป็นพิเศษ ส่วนมากแล้วจะเป็นผู้มีมีอายุไล่เลี่ยกัน หรือ มีอะไรที่คล้ายกัน อาจจะเป้ฯรูปร่างหน้าตา หรืออุปนิสัยใจคอก็ได้) ตาหลวงรองก็เป็นผู้ทีมีอิทธิฤทธิ์เหนือคนธรรมดาอย่างตาหลวงเดช เวลาชาวบ้านตั้งเครื่องเซ่นไหว้แล้วกล่าวคำอุทิศให้จึงมักจะกล่าวถึงชื่อของท่านสองรวมกันดังนี้ “ขอช่า (เดชะ)ตาหลวงเดชตาหลวงรอง ฯลฯ เป็นต้น”

         อภินิหารตาหลวงเดช

         ตาหลวงเดชเริ่มมีอภินิหาร และแสดงให้เห็นว่าตนมีอภินิหารเหนือคนธรรมดาตั้งแต่อายุเท่าไหร่ไม่ปรากฏชัด แต่มีเรื่องเล่ากันว่าอิทธิฤทธิ์ครั้งหนึ่งของท่านปรากฏเมื่อ ควายฝูงตาหลวงรอง (ตาหลวงรองมีบ้านอยู่ที่ บ้านท่าไทร หรือบ้านห้วยแหยงไม่มั่นใจ แต่อยู่ในละแวกนั้นแน่นอน เพราะตอนหลังละแวกบ้านนั้นถูกแบ่งแยกและมีชื่อเรียกใหม่ ๆ หลายชื่อ) หายไป ไม่แน่ใจว่าหายไปเพราะถูกขโมยหรือหายไปเอง ตาหลวงรองเลยออกตามหาควาย จนกระทั่งมาถึงบ้านของตาหลวงเดช ขณะนั้นตาหลวงเดชกำลังไล่ควายเหยียบเทือกอยู่ (เหยียบเทือกเป็นภาษาท้องถิ่นภาคใต้ หมายถึง การเตรียมหน้าดินในนาก่อนลงมือปักดำโดยใช้ควายเป็นฝูง ๆ เหยียบบน เพื่อให้เนื้อดินแฉะและอ่อนพอที่จะปักต้นกล้าได้ ซึ่งเหมือนกับการไถคราดด้วยรถไถคราดด้วยรถไถหรือวัวคลายในปัจจุบัน) เมื่อตาหลวงรองเดินมาถึงเห็นเพื่อเกลอกำลังไล่ควายเหยียบเทือกอยู่  ก็ได้แวะหยุดพูดคุยกันตามประสาผู้รู้จักมักคุ้นกันแต่การนั่งพักของตาหลวงรองมีวิธีแปลกว่าคนธรรมดา คือท่านใช้ดาบที่ถือมาปักลงคันนา แล้วขึ้นนั่งบนด้ามดาบ ตาหลวงเดชเห็นอย่างนั้นก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะถือว่าตนก็มีอิทธิฤทธิ์เหมือนกันจึงหยุดพัก  เอาไม้หมก (ไม้หมก คือไม้เรียวใช้สำหรับตีควายเวลาไถนา หรือเหยียบเทือก) ปักลงกลางนาแล้วขึ้นไปนั่งบนปลายไม้หมกพูดคุยสนทนา (เรื่องนี้เป็นที่เล่าขานกันอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวบ้านในอำเภอชะอวด ลองไปถามดูได้ทั้งอำเภอ โดยเฉพาะตำบลเขาพระทอง วังอ่าง ควนหนองหงส์ หรืออำเภอใกล้เคียงก็ได้) และต่อมา ๆ จนกระทั่งตาหลวงเดชมีอายุมากเข้า ๆ (เล่ากันว่าร้อยกว่าปีก็ยังมีร่างกายแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม) บั้นปลายของชีวิตท่านได้อาศัยอยู่กับลูกหลานคนสุดท้อง ซึ่งแต่งงานแล้วยังรวมกันที่บ้านเดิม (บ้านของตาหลวงเดช)

         เมื่อมีอายุมาก วิชาอาคมก็ยิ่งแก่กล้า จนกระทั่งท่านรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะมีร่างกายที่เปลี่ยนไป จึงขอให้ลูกเขยไปสร้างขนำให้ในกลางป่าใกล้ ๆ บ้าน แล้วจะไปอยู่ที่นั่นโดยลำพังคนเดียว แม้ลูกสาวจะทัดทานด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าไม่มีใครคอบดูแล แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะแยกไปอยู่ที่ขนำน้อยเพียงคนเดียว จนลูกสาวต้องเป็นฝ่ายยอมและปล่อยให้พ้อแยกไปอยู่ที่นั้นเพียงลำพัง แต่เห็นว่าพ่อคงลำยากเรื่องหุงหาอาหาร อีกทั้งเกรงว่าฟืนไฟจะตกหล่นอาจจะไหม้ขนำเอาได้ จึงไม่ยอมให้ท่านหุงหาอาหารกินเอง โดยที่ตนจะเป็นผู้นำไปเองทุกวัน เริ่มแรกตาหลวงเดชก็ออกมารับอาหารไปกินเอง และกินแบบวิธีคนโบราณ

MulticollaC
คือ เปิบเข้าปากด้วยมือเปล่า (สมัยนั้นยังไม่มีช้อน) แต่นานๆ เข้าสิ่งที่ท่านรู้ล่วงหน้าก็เริ่มเกิดขึ้นจริง ๆ คือ เล็บมือเท้าเริ่มยาวออก ๆ และแหลมยิ่งขึ้นเหมือนเล็บเสือ และที่ตัวก็มีขนงอกออกเต็มตัวเหมือนเสือ จนท่านไม่กล้าออกมารับอาหารจากลูกสาวด้วยตนเอง เพราะกลัวลูกสาวจะเห็นสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปของท่านเข้า เวลาลูกสาวเอาอาหารมาส่งก็เลยบอกให้วางไว้หน้าขนำ แล้วบอกให้กลับไปได้เลย พอลูกสาวกลับไปตาหลวงเดชก็คลานออกมากินอาหาร แต่คราวนี้ไม่ได้กินแบบวิธีเดิมแล้ว เพราะเล็บมือยาวออกจนไม่สามารถจะเปิปอาหารเข้าปากได้ จึงกินแบบเสือคือก้มลงเขมือบอาหารด้วยปากเลย ท่านทำอยู่อย่างนั้นจนลูกสาวเริ่มสงสัยว่าทำไมพ่อจึงไม่กล้าออกมาพบ วันหึ่งหลังจากนำอาหารมาวางไว้ที่ที่เคยวางไว้อย่างทุกวัน แล้วก็สั่งพ่อว่า “พ่อฉันเอาอาหารมาให้แล้วนะ  พ่ออย่าลืมออกมากินเสียละ” แล้วทำเป็นเดินกลับเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้พอเดินกลับมาได้ครึ่งก็ย่องกลับไปแอบดูอยู่ในป่าใกล้ขนำ สักพักก็ต้องตกตะลึงตาเบิกกว้าง เกือบจะร้องออกมาดัง ๆ ด้วยความตกใจกับสภาพที่เห็น คือภาพของพ่อคลานออก มาจากในขนำในร่างเสือลายพาดกลอนตัวโตชวนให้น่ากลัว ครั้งแรกที่เห็นคิดว่าเป็นเสือจริง ๆ เข้ากัดกินพ่อเสียแล้ว แต่พอเห็นหน้าเสือตัวนั้นชัดก็รู้ว่าเป็นพ่อ เพราะหน้าของเสือตัวนั้นยังเป็นหน้าคนอยู่ เห็นดังนั้นก็ทำให้รู้สึกแปลกใจและสยองกลัว จึงวิ่งออกจากที่หลับด้วยด้วยความตกใจ ตาหลวงเดชเห็นดังนั้นก็รีบกระโดดลงจากขนำหายเข้าไปในป่า และตั้งแต่นั้นมา ลูกสาวหรือใคร ๆ ก็ไม่เห็นตาหลวงเดชท่านปรากฏที่ขนำน้อยกลางป่าหลังนั้นอีกเลย เรื่องตาหลวงเดชกลายร่างเป็นเสือจึงเป็นที่เล่าลือกันจากหูสู่หู จนกระทั่งชาวบ้านละแวกนั้นรู้กันทั่ว ด้วยผู้คนในละแวกนั้นที่เคารพและเลื่อมใสศรัทธาตาหลวงมาก่อน เพราะตอนที่ท่านยังเป็นคนอยู่ เคยใช้วิชาอาคมที่มีอยู่ช่วยเหลือรักษาไข้ชาวบ้านไปทั่ว จนเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวบ้านทุกคน พวกชาวบ้านเหล่านั้นจึงสร้างหลา(เป็นคำเรียกศาลหรือศาลาของชาวภาคใต้) ขึ้นในที่ดินของท่านโดยใกล้ ๆ ขนำน้อยที่ท่านเคยอยู่ก่อนจะกลายร่างเป็นเสือแล้วหายไปเพื่อเป็นที่ทำการสักการบูชา ที่ตรงนั้นปัจจุบันเรียกว่า “ควนตาหลวงเดช” (ควนหมายถึงภูเขาเตี้ย ๆ เป็นภาษาท้องถิ่นภาคใต้) ปัจจุบันควนตาหลวงเดชอยู่ในเขตตำบลเขาพระทอง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช

         ปัจจุบันที่ควนตาหลวงกลายเป็นสวนยางพาราอันร่มรื่นหมดทั้งควนแล้ว และเจ้าของสวนก็ไม่ได้เป็นลูกหลานหรือสืบเชื้อสายมาจากตาหลวงเดช เพราะมีการขายต่อ ๆ กันมาหลายชั่วคนแล้ว จนบัดนี้เจ้าของสวนเป็นชาวต่างถิ่นที่เพิ่งเข้ามาซื้อต่อเพื่อใช้เป็นที่ทำกิน และบริเวณนั้นมีผู้คนเข้าไปอาศัยตั้งรกราก จนกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่หมู่บ้านหนึ่ง แต่ศาลตาหลวงเดชยังมีปรากฏให้เห็นอยู่แล้วแม้จะเปลี่ยนมาหลายต่อหลายหลังแล้ว หลังจากตาหลวงเดชกลายเป็นเสือหายไปในป่าแล้ว ต่อมาก็มีผู้เคารพนับถือท่านมาบนบานศาลกล่าว ขอพร ขอให้ช่วยคุ้มครองป้องกันภัย โดยเฉพาะยามเข้าป่า ไม่ว่าจะเข้าไปทำธุระล่าสัตว์ ตัดไม้ หรือทำไร่เลื่อนลอย เพรากลัวว่าจะโดนสิงสาราสัตว์ทำร้ายเอา หรือยามเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคประหลาดที่นายแพทย์ก็จนใจรักษา เพราะตรวจดูอาการแล้วพบว่าไม่ใช่อาการไข้ตามที่เคยพบเห็นมาเลย และเมื่อได้บนบานศาลกล่าวตาหลวงเดชแล้ว โรคประหลาดนั้นก็หายไปเหมือนปลิดทิ้ง ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคอย่างนั้นคงเพราะไปทำอะไรเป็นการลงหลู่ดูหมิ่นตาหลวงเดชเข้า ท่านเลยลงโทษโดยการให้ได้รับทุกขเวทนาแบบนั้น แต่เมื่อมีการกล่าวขอโทษขอโพยกันแล้วก็มักจะหายเหมือนปลิดทิ้ง จนเป็นที่แปลกใจของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาหลายแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ผมและชาวบ้านในละแวกนั้นเคยพบเห็นมาด้วยตา แรก ๆ ผมก็ไม่อยากเชื่อ เพราะได้รับอิทธิพลความเป็นคนหัวดื้อมาจากพี่เขย คือ พี่จิบ ปลอดใจดี ปัจจุบันมีบ้านอยู่หน้าวัดเขาพระทอง แต่นาน ๆ เข้ามีหลายสิ่งหลายอย่างปรากฏให้เห็นและเป็นเหตุชวนให้น่าเชื่อ จนกระทั่งผมเปลี่ยนแปลงเป็นฝ่ายเชื่อเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นเป็นเพียงอิทธิฤทธิ์ของตาหลวงเดชที่ปรากฏให้เห็นในสมัยก่อน ก่อนที่ผมจะเกิด จึงไม่ได้พบเห็นด้วยตา ถึงแม้ว่าท่านจะหายลับไปแล้วเป็นร้อย ๆ ปี (ไม่ทราบว่าถึงหรือเปล่า แต่คิดว่าคงจะใกล้เคียง) แต่ชาวบ้านในอำเภอชะอวดและอำเภอใกล้เคียง ยังให้การยอมรับนับถือ โดยที่ส่วนมากจะทำหิ้งบูชาตาหลวงเดชไว้ในบ้านเกือบจะทุกบ้าน และหิ้งบูชาตาหลวงเดชมักจะตั้งไว้ในห้องนอนเกือบจะทุกบ้าน และหิ้งบูชาตาหลวงตาเดชมักจะตั้งไว้ในห้องนอนผู้ใหญ่หรือหัวหน้าครอบครัว   (ที่ไม่ตั้งไว้ในที่อื่น เพราะกลัวเด็กจะไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรหน้าหิ้งท่าน เพราะเชื่อกันว่าถ้าเกิดใครไปทำอะไรให้ท่านไม่พอใจขึ้นก็มักจะแสดงอาเพศต่าง ๆ ให้เห็น เช่น ให้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยอาการแปลกประหลาดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น) บนหิ้งบูชาหลวงตาเดช นอกจากจะมีธูปเทียนปักไว้ประจำแล้ว มักจะมีเบาะรองนอนเล็ก ๆ ใบหนึ่ง และหมอนขนาดจิ๋วที่เย็บขึ้นโดยเฉพาะอีกใบ วางไว้บนหิ้งของท่าน เชื่อกันว่าไว้สำหรับให้ตาหลวงเดชท่านได้รองนอน (ผมได้ลักษณะหิ้งนี้มาจากหิ้วนี้มาจากหิ้งบูชาที่บ้านและคนใกล้ ๆ บ้าน)

         ปาฏิหาริย์ตาหลวงเดชที่ปรากฏในยุคปัจจุบัน

         เมื่อตอนยังเป็นเด็กเคยได้ประสบกับปาฏิหาริย์ของตาหลวงเดชมาด้วยตาตัวเองแล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่คิดเชื่อ เพราะยังยึดหลักวิทยาศาสตร์นิยมอยู่มาก แม้จะถูกแม่ พี่สาว และผู้เฒ่าผู้แก่บ้านใกล้เรือนเคียงตักเตือนอยู่บ่อย ๆ ก็ยังดื้อรั้นดันแพ่งอยู่แบบนั้น จนบางครั้งมีเรื่องขัดใจกันกับแม่และพี่สาวเพราะเรื่องนี้เป็นเหตุ แต่ผมก็มีผู้ที่มีความคิดเหมือนกันอีกคนหนึ่งซึ่งคอยให้การสนับสนุนและเป็นฝักฝ่ายเดียวกันอยู่ คือ พี่จิบ ปลอดใจดี พี่เขยของผมเอง แม้เราทั้งสองจะเคยได้ยินชาวบ้านเขาเล่าลือกันถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ นานาของตาหลวงเดชอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ยังยืนกรานปฏิเสธ เชื่ออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผมได้ประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเหตุจูงใจให้ลดทิฐิลง และยอมเชื่อในที่สุด ส่วนพี่เขยไม่ทราบว่ายังยืนกรานหัวชนฝาอยู่เหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ส่วนเรื่องราวปาฏิหาริย์นของตาหลวงเดชที่ปรากฏให้เห็นในยุคที่ผมเป็นสมาชิกร่วมโลกกับผู้คนทั้งหลายก็มีอยู่มากมาย ทั้งผมได้พบเห็นมาด้วยตาตัวเอง และเพียงแต่ได้ยินมาด้วยหู มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่พูดจากความเชื่อถือได้เล่าให้ฟังว่า “เมื่อสมัยที่แกยังเป็นหนุ่ม เวลาเข้าป่าถ้าเกิดเป็นไข้ไม่สบายขึ้น รักษากันไม่ไหวแล้วก็มักจะบนบานร้องขอให้ตาหลวงเดชเป็นผู้ช่วยเหลือ และทุกครั้งก็มีผลเป็นที่น่าพอใจ ด้วยเหตุว่าตาหลวงเดชไม่ล่วงลับไปอย่างคนธรรมดา คือเพียงแต่กลายร่างเป็นเสือแล้วหายไปในป่า  ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าตาหลวงเดชยังมีชีวิตแต่อยู่ในร่างเสือ และหลายคนบอกว่าพวกเขาเคยพบมาแล้ว ผมไม่อยากเชื่อ แต่บางครั้งก็มีเหตุผลชวนให้เชื่อได้อยู่เหมือนกัน อย่างเช่น ครั้งที่คุณชัย (ไม่ทราบชื่อเต็มและนามสกุล) ไปทำไร่บนเขาเขียว ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากควนตาหลวงเดชหลาบสิบกิโลเมตร สมัยนั้นยังไม่มีถนนสำหรับให้รถวิ่งอย่างทุกวันนี้ มีแต่ทางเดินแคบ ๆ ที่ตัดถางกันขึ้นมาเอง (ผมเองก็เคยเดินผ่านทางนั้นหลายครั้งแล้ว เพราะสมัยเป็นเด็กเคยตามพี่ชายขึ้นไปทำไร่บนเขานั้นเหมือนกัน แต่อยู่ห่างจากไร่คุณชัยพอสมควร) ผู้ที่ไปทำไร่ (ไร่เลื่อนลอย) บนเขานั้นส่วนมากแล้วจะมีบ้านอีกหลังอยู่ที่ราบ ซึ่งจะเป็นเขตบริเวณเขาพระทอง  วังอ่าง ควนหนองหงส์ หรือใกล้ ๆนั่นเอง ชาวไร่เหล่านี้มักจะขึ้นไปทำไร่เป็นครั้งคราว พอหมดฤดูก็จะกลับลงมาอยู่บ้านตามเดิม และการกลับบ้านทุกครั้งก็มักจะมีพวกของป่า อันได้แก่น้ำมันยาง เนื้อสัตว์ที่ล่าได้ และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างที่พอจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ติดไม้ติดมือมาฝากลูกเมียเป็นประจำวันหนึ่งคุณชัยทำไร่เสร็จแล้วก็นำของป่าที่หาได้กลับบ้าน เวลานั้นจวนค่ำแล้ว แต่หนทางยังอีกไกลกว่าจะถึงบ้าน คุณชัยกลัวว่าถ้าเกิดมืดค่ำในระหว่างทางก็จะถูกสิงสาราสัตว์ทำร้ายเอาได้ จึงบนบานขอให้ตาหลวงเดชช่วย โดยขอให้ตนกลับมาถึงบ้านก่อนค่ำ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คุณชัยแกนึกอย่างไรถึงได้บนบานร้องขออย่างนั้นหรือแกคิดว่าตาหลวงเดชมีอิทธิฤทธิ์พอที่จะไปหยุดพระอาทิตย์อย่างหนุมานก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ ๆ วันนั้นแกกลับบ้านก่อนค่ำจริง ๆ แต่ไม่ใช่เป็นเพราะตาหลวงเดชท่านไปหยุดรถพระอาทิตย์ไว้หรอกเป็นเพราะตาหลวงท่านแก้ปัญหาและช่วยเหลือลูกหลาน โดยวิธีปรากฏเป็นเสือลาดพาดกลอนตัวโตเดินตามหลังคุณชัยมาต่างหาก เมื่อคุณชัยหันไปเจ้าเสือโคร่งตัวโตเดินตามหลังมา ก็ตกใจทิ้งสัมภาระที่ถือมา แล้วรีบโกยกลับบ้านชนิดที่หมาวิ่งตามไม่ทัน อันเป็นเหตุให้ถึงบ้านก่อนค่ำจริง ๆ ครั้งนี้ดูเหมือนว่าตาหลวงท่านเล่นรุนแรงไปหน่อย เล่นเอาคุณชัยนอนซมอยู่กับที่นอนหลายวัน เพราะรู้สึกเข็ดยอกไปหมดทั้งตัว ปวดแข้งเมื่อยขาจนแทบลุกนั่งไม่ไหว แต่ผมไม่โทษตาหลวงท่านหรอก ก็ดังที่บอกแล้วท่านคงไม่มีอิทธิฤทธิ์พอที่จะไปห้ามรถประอาทิตย์ได้ จึงเลือกแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ และอีกคนที่เป็นผู้เล่าเรื่องทำนองนี้ให้ฟัง คือ คุณลุงขุก (แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คุณลุงขุกได้ล่วงลับไปแล้วเมื่อสี่ห้าปีที่ผ่านมา ทำให้ผมขาดพยานยืนยันไปคนหนึ่ง) ลุงขุกเป็นคนที่เจนจัดเรื่องป่ามากแกเข้าไปสำรวจบริเวณป่าแถบนั้นก่อนใคร แกมีร่างกายแข็งแรงมาก วันหนึ่งสามารถเดินขึ้นเขาลงควนได้หลายสิบกิโลเมตร และแกเป็นคนเดินได้เร็วมาก เพราะมีร่างเล็กเกร็งแต่ดูปราดเปรียวว่องไว ผมเคยตั้งฉายาให้แกว่า “ผู้เฒ่าร้อยขา”(ฉายานี้ตั้งตอนที่แกยังมีชีวิต และได้พูดต่อหน้าแก)สาเหตุที่ผมตั้งฉายาให้แกอย่างนั้นก็เพราะ เห็นว่าวันหนึ่ง แกสามารถเดินข้ามเขาข้ามควนได้หลายลูก

         แกเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อครั้งที่แกเดินทาไปสำรวจบริเวณป่าแห่งนั้น (บัดนี้รกลายเป็นส่วนหนึ่งของตำยลเขาพระทอง)มีหลายครั้งที่เกือบโดนเสือลากไปกินเสีย แต่แกรอดชีวิตมาได้ก็เพราะได้ตาหลวงเดชช่วยเหลือ แกบอกว่าครั้งที่แกตกอยู่ในภาวะคับขัน คือตกอยู่กลางวงล้อมของสัตว์ร้าย เสือตาหลวงเดชก็จะปรากฏตัวขับไล่เสือสิงห์เหล่านั้นให้หนีกระเจิดกระเจิงไปไกล ยังมีอีกหลายคนที่เคยเล่าเรื่องทำนองนี้ให้ฟัง แต่ถ้าจะนำมาถ่ายทอดกันต่อทุกเรื่องเนื้อที่กระดาษคงไม่พอ ผมจึงขอรวบรัดเอาแต่เพียงแค่นี้ มาพูดถึงเรื่องที่ผมประสบมาเองบ้างดีกว่า แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องนั้น ผมขอบอกลักษณะเสือตาหลวงเดชมให้ทราบสักนิด ทุกครั้งที่ชาวบ้านนำเรื่องตาหลวงเดชมาเล่าให้ฟัง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาสังเกตได้อย่างไรว่าตัวไหนเป็นเสือจริง ตัวไหนเป็นเสือตาหลวงเดชจึงถามผู้เฒ่าผู้แก่ ได้รับคำตอบจากผู้เฒ่าหลาบท่านว่า รู้ได้โดยการสังเกตรอยเท้า หรือให้ดูที่เท่า เพราะเสือธรรมดาจะมีสี่เล็บ ส่วนเสือตาหลวงเดชมีห้าเล็บ (เหมือนมือคน)

โพสต์โดย : sitbn