แห่ง พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
ใน วันที่ ๒๘ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
ข้าพเจ้าขอพระราชทาน พระราชวโรกาส นำเสนอ
คู่พระบารมี
เพื่อแสดงความจงรักภักดี และ เชิดชูพระบารมี
พร้อมขอพระราชทานน้อมเกล้าฯ ถวายพระพร
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ในวันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดการ พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนัก สมเด็จพระศรีสวริน ทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยิกาเจ้า ในวังสระปทุม ซึ่งในการ พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส นี้ มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
คู่พระบารมีในหลวงภูมิพล
ในครั้งที่ในหลวงภูมิพล ท่านได้ทรงเสด็จไปยังปารีส ท่านก็ได้ทรงโทรศัพท์ถึงสมเด็จพระราชชนนี เพื่อทูลว่าได้เสด็จฯถึงปารีสแล้ว
สมเด็จพระราชชนนีท่านก็ทรงถามถึงธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลว่า "สวยน่ารักไหม"
ในหลวงภูมิพลท่านก็ทรงทูลตอบทันทีว่า “เห็นแล้ว น่ารักมาก”
ในขณะนั้นไม่มีผู้ใดทราบถึงความในพระราชหฤทัยของท่าน จนเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น คือวันหนึ่งในเดือนตุลาคม ปี ๒๔๙๑ ในหลวงภูมิพลท่านทรงขับรถพระที่นั่งออกจากเมืองโลซานน์เพื่อไปยังปารีส ได้ทรงประสบอุบัติเหตุรถยนต์พระที่นั่งชนขับรถบรรทุก ได้รับบาดเจ็บพระอาการค่อนข้างสาหัส
ในระหว่างที่ในหลวงภูมิพลท่านทรงประชวร ทางคณะผู้แทนรัฐบาลก็ได้ไปเข้าเฝ้าฯเพื่อเยี่ยมพระอาการ เมื่อพระองค์ท่านทรงทราบว่าในคณะที่มา มีหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ท่านก็ได้ทรงมีกระแสรับสั่งให้หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ เข้าเฝ้าฯเป็นการพิเศษโดยเฉพาะ
พระองค์ก็ได้มีพระราชกระแสรับสั่งว่า “พระองค์ได้ทรงรักหม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร อย่างแน่นอน”
เหตุผลเพราะว่า “เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติครั้งแรกนั้น ก็ทรงระลึกถึงบุคลเพียงสองคนคือ สมเด็จพระราชชนนี และ หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์” ซึ่งแสดงถึงความจริงที่สถิตอยู่ในพระราชหฤทัย
ส่วนความในพระราชหฤทัยของพระราชินีเอง พระองค์ท่านก็เคยเล่าไว้ว่า “....ตอนที่ในหลวงภูมิพลท่านประทับอยู่ที่โรงพยาบาลหลังที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งพระอาการค่อนข้างหนัก ทางตำรวจเค้าก็ได้โทรศัพท์มากราบบังคับทูลสมเด็จพระราชชนนี สมเด็จพระราชชนนี ท่านก็ทรงรีบเสด็จไปยังโรงพยาบาลทันที....แต่แทนที่ในหลวงภูมิพลท่านจะทรงมีพระราชปฎิสันถารกับสมเด็จพระราชชนนี ท่านกลับทรงหยิบรูปของพระองค์ออกมาจากกระเป๋า โดยที่พระองค์เองก็ไม่เคยทราบมาก่อนว่าในหลวงภูมิพลท่านจะทรงมีรูปของพระองค์อยู่...”
จากนั้นในหลวงภูมิพลท่านก็ได้ทรงตรัสให้นำตัวพระองค์เข้าเฝ้าฯ และ “ในหลวงภูมิพลท่านก็ได้ทรงบอกรักในตอนนั้น”
หลังจากที่ในหลวงภูมิพลท่านได้ทรงขออนุญาตหม่อมเจ้านักขัตรมงคล บิดาของหม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ เพื่อขอให้มาเฝ้าถวายการดูแลพระอาการเป็นกรณีพิเศษ โดยให้อยู่ในความดูแลของสมเด็จพระราชชนนี ก็ได้ทำให้ความสัมพันธ์ที่มีมาตั้งแต่เดิม ก็กระชับแน่นยิ่งขึ้นจนกลายเป็นความรัก
ต่อมาภายหลัง หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ก็ทรงย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ.กรุงลอนดอน ทำให้ในหลวงภูมิพลท่านต้องทรงเดินทางกว่า ๖๐๐ กิโล กว่าที่จะได้ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ในแต่ละครั้ง
จนในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๒ ในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบ ๑๗ ปี ของหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ณ.สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน “ในหลวงภูมิพลท่านทรงได้พระราชทานแหวน(ซึ่งเป็นวงเดียวกับที่สมเด็จพระบรมราชชนก เคยประทานให้แก่สมเด็จพระบรมราชชนนีในครั้งอดีต)ให้แก่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์”
และได้มีพระราชกระแสรับสั่งในขณะที่ทรงมอบว่า “สิ่งนี้เป็นของสำคัญยิ่งและเป็นที่ระลึกด้วย”
-----
อ้างอิงจาก .....
- เจ้านายเล็กๆ - ยุวกษัตรย์
- บทพระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ
- ภาพข่าวจาก หนังสือพิมพ์ออนไลน์ต่างๆ
- ภาพจากปฏิทิน ประจำปีฯ ของ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
- คอลัมน์ลัดดาซุบซิบ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗
- "รักในราชสำนัก"โดย พิมาน แจ่มจรัส จัดพิมพ์โดย บริษัทสร้างสรรค์บุ๊กส์ จำกัด ๒๕๒๔ "ทำเป็นธรรม" โดย ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา