จิงจูฉ่าย เป็นผักที่ไม่คุ้นชื่อ แต่มากสรรพคุณในการรักษาโรค ปลูกง่ายดูแลไม่ยาก
จิงจูฉ่าย เป็นผักใบเขียวลักษณะคล้ายต้นขึ้นฉ่าย จัดอยู่ในประเภทสมุนไพรชนิดเย็น ใบและลำต้นจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสขมเล็กน้อย มักนิยมนำไปประกอบอาหารเมนู เกาเหลาเลือดหมู
และมีงานวิจัยระบุว่า นอกจากประโยชน์ในการแก้ไข้ บำรุงปอด ฟอกเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดี ปรับสมดุลความดันโลหิต ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้แล้ว ยังเชื่อกันว่าสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งอีกด้วย
บางพื้นที่เรียกพืชชนิดนี้ว่าโกศจุฬาลัมพา และบางประเทศเรียกว่า เซเลอรี เป็นพืชล้มลุกไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 0.5–1 ฟุต ใบเป็นรูปรีขอบเป็นแฉก ๆ 5 แฉกสีเขียว เนื้อใบหนา คล้ายต้นขึ้นฉ่าย รากหรือเหง้าใหญ่จะกระจายเป็นวงกว้าง แตกกิ่งก้านหนาแน่นเป็นกอคล้าย ๆ ใบบัวบก มีกลิ่นหอม รสชาติขมเล็กน้อย สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ด
สำหรับการปลูกจิงจูฉ่ายนั้น พื้นที่ที่เหมาะสมควรตั้งอยู่ในทำเลที่ร่ม ดินเป็นดินร่วน ในการปลูก ควรพรวนดินที่ผสมปุ๋ยคอกประเภทมูลหมู หรือมูลวัวในปริมาณมาก เพื่อเพิ่มสารอาหารให้อุดมสมบูรณ์จะทำให้ได้ต้นอวบอ้วน และงอกงาม โดยเฉพาะในแปลงดิน หรือจะปลูกใส่กระถางก็สามารถปลูกได้ด้วยการใช้ดินแบบผสมปุ๋ยคอก และไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมีหรือฮอร์โมนเคมีใด ๆ
เป็นพืชล้มลุก ที่สามารถขยายพันธุ์โดยการปักชำ เพาะเมล็ด หรือแยกต้นมาปลูก หรือจะนำรากของต้นที่นำลำต้นและใบไปบริโภคแล้วไปปักเพาะในแปลงปลูกที่คลุมด้วยสแลนบังแดดก็ได้ เป็นพืชที่ชอบแดดรำไร รดน้ำวันละครั้ง ไม่ต้องเเฉะ แต่ชอบดินชื้น ๆ
เป็นพืชผักสวนครัวที่ปลูกและดูแลง่าย ไม่มีแมลงศัตรูพืชมารบกวนหรือทำลาย เนื่องจากใบมีน้ำมันหอมระเหย ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงใด ๆ ในการดูแลรักษา
นับเป็นผักที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการนำใบหรือยอดอ่อนมาประกอบอาหารประเภทต้ม เช่น ต้มเลือดหมูและต้มจืดในปัจจุบัน มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะวิตามินเอ วิตามินซี และสารอาหารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะมีสารที่มีคุณ สมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในการยับยั้ง
การเกิดไอออนซุปเปอร์ออกไซด์ (O2 -) ในเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกาย
และมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากกว่าสารในขมิ้น และสารในส้มแก้ว นอกจากนี้ยังพบว่ามีสารที่มีประสิทธิภาพในการใช้เป็นสารขับไล่ แมลงหลายชนิดอีกด้วย
ประชาชนชาวจีนเมื่อในอดีตจะนิยมนำมาปรุงอาหารกินในหน้าหนาวเพราะเชื่อว่าจะช่วยปรับสมดุลภายในร่างกาย ปัจจุบันคนไทยนิยมนำมาทำอาหารหลากหลายชนิด ทั้งผัด ต้ม แกง กินสดเป็นผักแกล้มกับลาบ หรือนำมาตากแห้งชงดื่มเป็นชาสมุนไพร แต่การจะกินให้ได้คุณค่าทางโภชนา การนั้น ควรจะกินแบบสด ๆ เพราะมีสารไลโมนีน ซิลนีน และไกลโคไซด์ชื่ออะปิอิน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลความดันเลือดในร่างกาย
นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในใบและลำต้น ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ส่วนในลำต้นสดและเมล็ดมีปริมาณโซเดียมต่ำผู้ที่เป็นโรคไตจึงสามารถบริโภคได้
ที่มา//เดลินิวส์