บ้านกกกอด กาญจนบุรี
ทริปเที่ยวเมืองกาญของไปด้วยกันครั้งนี้ ต้องเรียกว่าอยากไปพักยังที่แห่งหนึ่งซึ่งอยากไปมานานมาก ณ บ้านกกกอด เคยเห็นภาพบรรยากาศผ่านตามาบ้างของความสวยงามของที่นี่ ภาพของที่พักที่แสนเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยไอเดียการตกแต่งที่แสนเก๋ วิวของที่พักอยู่ติดเขื่อนท่าทุ่งนา กับ concept ที่คนชื่นชอบธรรมชาติ เห็นแล้วมันใช่และโดนใจ อย่างเช่น ที่นี่ไม่มี่ความหรูหรา มีแต่ความธรรมดาสบายๆ นอกห้องไม่มีแสงสว่างพร่างพราว มีแต่แสงดาวแสงเดือน ไม่มีเสียงนาฬิกาปลุก มีแต่เสียงนกกาปลุกทุกเช้า มา มะ เรามาใช้ชีวิตแบบ slow life เที่ยวชิวในเมืองกาญ แวะไปพักกายพักใจที่ บ้านกกกอด กัน
8.30 น. ล้อหมุนจากกรุงเทพ แวะกินข้าวเกรียบปากหม้อเจ๊นุ้ย ตลาดท่าเรือ
ก่อนเข้าตัวเมืองกาญ มาถึง อ. ท่าเรือ เพื่อไปยังซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ซอยแสงชูโต 17 เพื่อไปลิ้มลองตำนานความอร่อยของข้าวเกรียบปากหม้อท่าเรือเจ๊นุ้ย ชื่อดังที่อยู่คู่กับเมืองกาญมานานเสนนาน หลังจากหาที่จอดรถในบริเวณนั้นได้แล้วก็เดินเท้าเข้าซอยไปประมาณ 50 เมตร ก็จะเจอร้านปากหม้อขายอยู่หน้าตึกแถวทางฝั่งขวามือ พร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และน้ำเสียงต้อนรับอย่างเป็นกันเองของเจ้าของร้าน “ จะนั่งทานที่นี่ หรือซื้อใส่กล่องกลับบ้านค่ะ ถ้านั่งทาน ต้องรออีกประมาณ 2 คิว “ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วร้านจะมีโต๊ะให้นั่งเพียงแค่ 1 โต๊ะเท่านั้น นั่งได้ประมาณ 5 ท่าน และต้องรอให้แต่ละกรุ๊ปลุกขึ้นก่อน ถึงจะรับกรุ๊ปใหม่มานั่งได้ จะเรียกว่าเป็นกิมมิคของร้านเลยก็ได้ อยากทานของอร่อยก็ต้องอดใจรอ แต่ถ้ารอไม่ได้ก็ซื้อใส่กล่องกลับได้ แต่อาจไม่ได้อรรถรสเหมือนนั่งทานที่ร้านเพราะจะได้ทนกันแบบทำสดใหม่จากเตากับน้ำจิ้มสุดแซ่บ พร้อมผักเครื่องเคียงแบบจัดเต็ม ร้านปากหม้อท่าเรือจะเปิดขายทุกวัน ถ้าไม่ได้รับงานไปออกร้านที่อื่น ก็ขายกันตั้งแต่ตอนห้าโมงเช้าไปจนถึงห้าโมงเย็น
ไส้ปากหม้อมีให้เลือกกินอยู่ด้วยกัน 6 ไส้ ชอบทานไส้อะไรบ้างก็บอกคนทำไป ทำกันสดๆ ละเลงแป้ง ปิด-เปิดฝาหม้อ หยอดไส้ พับแป้งห่อไส้ แล้วก็ตักเสิร์ฟ ที่ต้องในอยู่ใกล้กับคนทำเพราะจะได้ตักได้ง่าย พี่นุ้ย เจ้าของร้านในรุ่นลูกคนที่ยืนทำข้าวเกรียบปากหม้ออารมณ์ดีมากมาย คอยถามตลอดว่าอิ่มกันหรือยังค่ะ รวมถึงพูดจาต้อรับลูกค้าที่มายืนรอคิวด้วย ไม่มีเหวี่ยงหรือหน้าตาบูดบึ้งอารมณ์เสียเหมือนร้านดังบางร้านที่คิดว่าตัวเองลูกค้าเยอะไม่ต้องง้อก็ได้
หน้าตาข้าวเกรียบปากหม้อ ต้องยอมรับว่าอร่อยจิง แป้งนุ่ม น้ำจิ้มก็อร่อย ทานกับผักสดๆหลากชนิดที่วางบนโต๊ะ ยิ่งอร่อย สั่งทานกันไปหลายจานเลยทีเดียว
11.00 น. แวะเยี่ยมคุณปู่แห่งเมืองกาญ
มาจอดแวะพักให้ใต้ร่มเงาของต้นจามจุรียักษ์ หรือต้นก้ามปูยักษ์ ที่อายุกว่า 100 ปี ซึ่งตั้งอยู่ ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย สามารถเดินทางเข้าไปในกองการสัตว์ และเกษตรกรรมที่ 1 (กองผสมสัตว์) กรมการสัตว์ทหารบก ผ่านวัดถ้ำมุนีย์นาถ เมื่อมาถึงกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 ให้เข้าไปข้างใน ต้นจามจุรียักษ์จะอยู่ข้างในกรมการสัตว์ทหารบก เมื่อเข้าไปจะมีทางแยกซ้ายขวาไม่มีป้ายบอกให้เลี้ยวขวา แล้วตรงไปเรื่อยๆจะมีป้าย บอกตลอดทาง ไม่มีค่าเข้าชม เวลาเปิด 06.00 – 18.00 น.
เป็นครั้งที่สองที่มีโอกาสมาที่นี่ ก็ยังคงทึ่งในความใหญ่โตและกิ่งก้านสาขา ที่แผ่กระจายอย่างสวยงามของต้นไม้ยักษ์ขนาดคนโอบ 10 กว่าคน ซึ่งในปัจจุบันมีคนแวะมาเยียมเยือน ถ่ายภาพกับคุณปู่ของเราอย่างไม่ขาดสาย บางทีเห็นมีมาถ่าย pre wedding กันด้วย
13.00 น. แวะจิบกาแฟบ้านสิทธิสังข์ ถนนปากแพรก
ในเวลาบ่ายร่างกายต้องการความสดชื่นของเครื่องดื่มเย็น เพื่อชาร์ตพลังกันซักหน่อย ผ่านเข้ามาถึงตัวเมืองกาญแวะไปหาที่นั่งจิบเครื่องดื่มเก๋ๆ รับแอร์เย็น กันที่บ้านสิทธิสังข์ ตั้งอยู่ในชุมชนเก่าเมืองกาญ ถนนปากแพรก
บ้านสิทธิสังข์ เป็นอาคาร 2 ชั้น 3 คูหา รูปแบบตะวันตกที่เรียกว่า ชิโน-โปตุกีส สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463 อายุกว่า 91 ปี ปัจจุบันได้รับการตกแต่งเป็น ร้านกาแฟร่วมสมัยที่มีมนต์เสน่ห์ของชุมชนปากแพรก
เมนูเด่นของร้าน แนะนำว่ามาถึงต้องสั่งนั่นก็คือ ขนมปังเย็นราดด้วยผงช๊อคโกเล็ต อร่อยมากทานแล้วสดชื่น ส่วนเครื่องดื่มอื่น ก็รสชาติดีไม่แพ้กัน ถือว่าเป็นร้านขายเครื่องดื่มที่นอกจากบรรยากาศใช่แล้วรสชาติยังใช่ด้วย กี่ครั้งก็ไม่ผิดหวัง
15.00 น. ไปกอดฟ้าที่ บ้านกกกอด
ร่างกายเริ่มล้า เนื่องจากออกจากกรุงเทพกันมาแต่เช้า แวะตรงจุดนั้นจุดนีมาเรื่อยๆ ได้เวลาต้องพักกันแล้วที่ บ้านกกกอด สำหรับรายละเอียดบ้านกกกอด http://www.baankokkod.com/
บ้านพักมี 2 แบบ แบบแรก คือ แบบห้องแอร์ มีห้องน้ำในตัว ได้แก่ บ้านแฝดซึ่งมี 2 ห้อง และบ้านกระท่อมไม้ ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้กัน ที่พักโซนนี้จะไม่เห็นวิวเขื่อน
ภายในห้องพัก แบบห้องแฝด ตกแต่งเรียบง่าย สีสันสดใส รูปแบบการออกแบบบ่งบอกว่าเจ้าของก็ติสไม่เบา ไม่มีทีวี ตู้เย็น ตาม concept
ห้องน้ำสะอาดสะอ้าน ก็ออกแบบได้น่ารัก มีเครื่องทำน้ำอุ่นพร้อม
โคมไฟด้านหน้าห้องพัก แอบเก๋ เอาฝาชีมาทำ
ห้องพักแบบที่ 2 เป็นแบบบ้านพัดลม ชื่อ บ้านเต๊นท์วิวเขื่อน และกระโจมเต็นท์
บ้านพักในโซนนี้เป็นบ้านพักโซนติดเขื่อนเห็นวิวชัดเจน
ด้านในห้องพักตกแต่งคล้ายกับแบบแรก
ห้องพักแบบนี้ไม่มีห้องน้ำตัว ต้องใช้ห้องน้ำส่วนกลาง ซึ่งอยู่ด้านหลัง ถือว่าสะอาดเลยทีเดียว แบ่งห้องน้ำและห้องอาบน้ำแยกกันเป็นสัดส่วน
เดินชมวิวรอบบ้านพักกันบ้าน จะเรียกได้ว่าเป็นมุมยอดฮิตที่ทุกคนที่มาเยี่ยมเยือนต้องถ่ายภาพกลับไป สะพานไม้ทอดยาวไปถึงริมเขื่อน แวดล้อมไปด้วยต้นกกที่พลิ้วไหวไปตามลม ได้อารมณ์ของความเป็นธรรมชาติกับข้อความที่เจ้าของบ้านได้เขียนไว้ ที่อยากให้ผู้มาเยือน มีแต่ ความ สนุก สุข มีแต่รอยยิ้มเสียงหัวเราะ ซึ่งก็ได้ความรู้สึกตามนั้นจริง
ที่ ที่ เราอยากเก็บความสุขไว้ให้นานที่สุด อยากให้เวลาหมุนผ่านไปแบบช้า ช้า เราไม่ต้องเร่งรีบ และแข่งขันกับสิ่งใดนอกจากนั่งเฝ้ามองการเปลี่ยนไปของธรรมชาติ
เดินกลับมายังโซน ล๊อบบี้ ซึ่งชั้นสองสามารถเดินขึ้นไปรับลมชมวิว ได้เช่นกัน
หลับใหลไปกับบรรยากาศอันแสนเย็นสบาย ตื่นเช้าขึ้นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นได้จากหน้าบ้านพัก
ของขวัญของคนตื่นเช้า สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปให้เต็มปอด
หรือจะนั่งอัพเดทสเตตัส เอาเท้าแช่น้ำเย็นๆ ที่นี่สัญญาณโทรศัพท์มีทุกค่ายค่ะ
เดินไปชมวิวในโซนอื่นกันบ้าง
โซนที่พักแบบเต้นท์ ตื่นมาปุ๊บก็เห็นพระอาทิตย์สาดแสงอยู่ตรงหน้า บ้านกกกอด เป็นความเรียบง่าย ที่ทุกตารางนิ้วแฝงไปด้วยไอเดียที่ไม่เหมือนใคร
พื้นที่ในส่วนต้อนรับแขก สำหรับนั่งพักและรับประทานอาหารเช้า
มีคนถามฉันว่าไปแล้วเป็นยังไง อ่านในเว็บของบ้านกกกอด ดูแล้วที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัด ตอนแรกสารภาพว่าก็แอบกลัวที่นี่เล็กน้อย แต่พอได้สัมผัสด้วยตัวเองเจ้าของเป็นกันเองและดูแลลูกค้าดีมาก ในสิ่งที่เค้าห้ามไว้มันก็คือ กฎของการอยู่ร่วมกันของส่วนรวม ก่อนมาพักต้องถามตัวเองก่อนว่าต้องการอะไร หากมาเพียงเพื่อต้องการกินเหล้าเมา หรือส่งเสียงรบกวนคนอื่น ไม่ว่าคุณจะไปพักที่ไหนก็คงไม่เหมาะ ต้องการทีวี ตู้เย็น ก็นอนดูอยู่ที่บ้านหรือไปหาที่พักที่ตอบโจทย์ได้ก็น่าจะดีกว่า
เช้าวันใหม่ เวลา 9.00 น. ชมเรือสุพรรรณหงส์จำลอง วัดสระลงเรือ
ก่อนกลับกรุงเทพ เราเลือกกลับอีกเส้นทางโดยไม่ผ่านไปยังตัวเมืองกาญจนบุรี ไปทางเส้น อ.บ่อพลอย เข้าสู่ อ. ห้วยกระเจา เพื่อไป สระลงเรือ ในระหว่างเส้นทางเราผ่านอนุสาวรีย์ทหารเวียดนาม เห็นเครื่องบินลำใหญ่สะดุดตาจอดแวะถ่ายภาพซักหน่อย
อนุสาวรีย์ทหารเวียดนาม ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกคำขวัญภายในกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้รับการก่อสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่วีรกรรมของทหารไทย ที่ได้เดินทางไปปฏิบัติการรบร่วมกับชาติพันธมิตร ในสงครามเวียดนามระหว่างปี พ.ศ.2507 – 2515ซึ่งได้นำชื่อเสียงและเกียติยศ มาสู่ประเทศไทย และ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณความดี และความเสียสละของทหารที่เสียสละชีวิต
สู่ อ. ห้วยกระเจา เพื่อไปยัง วัดสระลงเรือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือ สุพรรรณหงส์จำลอง ที่ใหญ่สุดในโลกสร้างขึ้นในสระน้ำขนาดใหญ่ของวัดสวยงามวิวจิตรตระการตา มีทางเดินโดยรอบสระน้ำเพื่อชมความงามของเรือได้ครบทุกองศา
ด้านในเรือสามารถเข้าไปชมได้โดยลอดผ่านซุ้มประตูราหู ซึ่งมีความเชื่อว่าจะช่วยสะเดราะห์เคราะห์และสิ่งไม่ดีต่างๆ
ทางเดินภายในเรือสองข้างเป็นภาพวาดสุภาษิตคำพังเพย ให้เราได้ทายสนุก ว่าภาพวาดนั้นคือ สุภาษิต อะไร
ชั้นที่ 2 ของเรือ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้านบนเพื่อกราบไหว้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล
มีจุดให้อาหารปลา และเต่า
นอกจากนี้ภายในวัดสระลงเรือยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกมากมายได้แก่ หลวงพ่อใหญ่องค์ดำ
มีอุโบสถของวัดอยู่ด้านหลัง ซึ่งมี 2 ชั้นจำลองเมืองนรกในชั้นล่างรอบโบสถ์มีเรือสุพรณหงส์ขนาดเล็กขนาบทั้งสองด้าน
รอบอุโบสถมีรูปปั้นจำลอง พระเกจิชื่อดังทุกภาคของประเทศ, เทพเจ้าของจีน และของไทยอีกมากมาย
อุโบสถเป็น 2 ชั้น จำลอง เมืองสวรรค์ และนรกไว้ใต้อุโบสถ เพื่อเตือนสติผู้คนให้ทำแต่ความดี ชั้นล่าง คือ เมืองนรก
และชั้นบนคือ ประตูแห่งสวงสวรรค์
ด้านนอกกำลังก่อสร้างรูปเหมือนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมฺรํงสี) องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขึ้นไว้อีกองค์หนึ่ง
จบทริปการเดินทางแบบ 2 วัน 1 คืน หากนิยามการท่องเที่ยวของคุณ คือ อยากไปเที่ยวใกล้ ไม่ต้องการขับรถไกล แวะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แบบไม่เร่งรีบ ได้พักยังสถานที่สงบและเป็นธรรมชาติ กาญจนบุรี ยังมีคำตอบของการท่องเที่ยวให้คุณอีกมากมาย ที่ให้เที่ยวได้แบบไม่รู้สึกเบื่อ
ขอบคุณข้อมูลจาก
paiduaykan.com