ไล่ออก! 2สาวฝืนยิ้มคล้องมาลัยทัวร์จีน
กรณีดราม่าข้ามแดน จากคลิปสาวไทยแต่งชุดไทย ที่คล้องพวงมาลัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนก่อนที่จะขึ้นรถทัวร์ ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง ไม่ยิ้มแย้ม แต่จะยิ้มเฉพาะตอนที่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเท่านั้น จนทำให้ชาวจีนทำคลิปล้อเลียนหลายต่อหลายคลิป ตามที่ข่าวเสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 9 พ . ค .61 ทีมข่าวไทยรัฐลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ พบว่าได้มีการสั่งพักงาน พนักงานคล้องพวงมาลัยและช่างภาพทั้งหมดเป็นเวลา 1 อาทิตย์ ส่วนสองสาวจากคลิปต้นเรื่องก็ถูกไล่ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ลานจอดรถ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ สนามบินดอนเมือง ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุในคลิปดังกล่าว โดยปรากฏว่าวันนี้ ตรงจุดเกิดเหตุไร้เงา ทั้งช่างถ่ายภาพ และพนักงานสาวแต่งชุดไทยที่คอยคล้องมาลัยต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนเหมือนที่เราได้เคยเห็นในคลิป
จากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อาสาท่องเที่ยวประจำสนามบินดอนเมือง เล่าว่า ปกติก็เห็นน้องๆ พนักงานกลุ่มนี้ทำงานกันทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น เวลาทำงานก็จะทำเป็นคู่ คือ พนักงานคล้องพวงมาลัย 1 คน จับคู่กับช่างภาพ 1 คน คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยการคล้องพวงมาลัย และถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึก ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะขึ้นรถทัวร์โดยสารไป แต่วันนี้ทั้งวัน ยังไม่เห็นมาทำงานเหมือนปกติแม้แต่คนเดียว
ส่วนเรื่องกรณีคลิปที่กำลังถูกกล่าวถึงในโลกออนไลน์ในขณะนี้ ในฐานะคนทำงานบริการก็มองว่า 
นอกจากนี้ ทีมข่าวไทยรัฐ ยังได้เข้าไปพูดคุยกับพนักงานขายน้ำดื่ม ที่ทำงานอยู่ ณ ลานจอดรถ สนามบินดอนเมือง ซึ่งมีโอกาสได้ร่วมงานกับเด็กคล้องมาลัย และช่างภาพ ก็ได้รับการเปิดเผยข้อมูลว่า ขณะนี้ เด็กสาวคล้องมาลัยสวมชุดไทย 2 คนในคลิปหน้าบึ้งที่มีการแชร์ผ่านโลกโซเชียลนั้น ได้ถูกไล่ออกจากงานทั้งสองคนไปประมาณ 4-5 วันแล้ว แต่เพิ่งมีการแชร์คลิปเมื่อวันสองวันนี้ โดยเด็กทั้งสองคนที่ถูกไล่ออกจากงานก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้มารับรู้ปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น
แต่ผลกระทบกลับมาเกิดกับพนักงานคนอื่นๆ ซึ่งไม่ได้ทำผิดในครั้งนี้ด้วย เนื่องจากว่า โดยปกติแล้วต่อวัน จะมีพนักงานคล้องพวงมาลัยและช่างภาพ ประมาณวันละ 6 คู่ หรือ 12 คน แต่ตอนนี้ทุกคนถูกพักงานแล้วไม่ต่ำกว่า 7 วัน เพราะกระแสด้านลบในโลกโซเชียล พนักงานขายน้ำดื่มคนดังกล่าวยังกล่าวเพิ่มว่า โดยส่วนตัวก็รู้สึกสงสาร เพราะเด็กพวกนี้จะได้ค่าจ้างวันละ 300-400 บาท แต่ต้องมาถูกสั่งพักงานเช่นนี้ ก็ทำให้พวกเขาต้องขาดรายได้ โดยที่ตนเองไม่ได้ทำผิด แต่ต้องรับผิดชอบเพราะกระแสสังคมในโลกออนไลน์
ที่มา//ไทยรัฐ
