สัมผัสบรรยากาศริมน้ำ สะแกกรัง
อุทัยธานี เมืองเล็กๆที่ หลายคนคิดว่าเป็นแค่เมืองผ่าน ในฐานะของเมืองแห่งการท่องเที่ยวทุกคนคงรู้จัก อุทัยธานี น้อยมากถึงมากที่สุด ลองมาทำความรู้จักและปรับจังหวะชีวิตให้เดินช้าลงกับเมืองสงบริมสายน้ำสะแกกรัง ชมวัด ปั่นจักรยานรอบเมืองรับอากาศบริสุทธ์ให้เต็มปอด ที่เมืองเล็กแต่มากไปด้วยความงดงามและมิตรไมตรีแห่งนี้
มาถึงเมืองอุทัยธานี อันดับแรกต้องแวะไปที่นี่ ยอดเขาสะแกกรัง ดินแดนที่ชาวอุทัยยกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 (ตุลาคม) ของทุกปี ชาวอุทัยธานี จะจัดงานประเพณี ตักบาตรเทโว ช่วงเทศกาลตักบาตรเทโว จะได้เห็นภาพพระสงฆ์บิณฑบาตรเป็นแถวเรียงยาวไปถึงยอดเขา ถือเป็นภาพสัญลักษณ์ที่งดงามยิ่งนัก บันไดทางขึ้นไปสู่ยอดเขาจะมีทั้งหมด 449 ขั้น แต่จะมีทางขึ้นอีกทางที่รถสามารถขึ้นไปถึงได้เลย ไม่ต้องขึ้นบันไดให้เหนื่อย แต่ถ้าใครอยากพิชิตยอดเขาโดยการขึ้นบันไดด้วยตัวเองก็เก๋กู๊ดไปอีกแบบ
มาถึง ยอดเขาสะแกกรัง จะเห็นระฆังใบนี้ตั้งโดดเด่นอยู่ด้านหน้ามณฑป ระฆังใบนี้เป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนที่มาถึงต้องมาตีเพื่อความเป็นศิริมงคลไม่อย่างนั้นจะเหมือนมาไม่ถึงอุทัยธานีค่ะ
มณฑปซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาท ซึ่งย้ายมาจากวัดจันทารามหรือวัดท่าซุงค่ะ
รอยพระพุทธบาทจำลอง
พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ของเมือง อุทัยมา ตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ชาวเมืองต่างให้ความเคารพศรัทธา
ถัดมาอีกนิดจะเป็นรูปปั้นองค์เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์แบบจีน
จากยอดเขาสะแกกรัง มาต่อที่ วัดท่าซุง วัดที่มีชื่อเสียงและงดงามมากๆ อีกวัดหนึ่ง ภายในวัดท่าซุงกว้างขวางและมีศาสนสถานให้เราได้แวะไปกราบไหว้หลายจุดค่ะ แต่ที่โดดเด่นคงเป็นวิหารแก้ว 100 เมตร ซึ่งข้างในสร้างด้วยโมเสกแก้วแวววาว ระยิบระยับทั้งหลัง วิหาร แก้ว 100 เมตร จะมีเวลาเปิด 2 ช่วง คือ 9 โมงเช้า- 11.45 หลังจากนั้นจะปิดให้นั่งกรรมฐาน เปิดอีกรอบตอน 14.00 – 16.00 น. ถ้าจะแวะมาก็ดูเวลาให้ดีน่ะค่ะ ส่วนในจุดอื่นของวัดเปิดตามเวลาปกติ
วิหารแก้ว 100 เมตร เป็นวิหารสำคัญที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสร้างไว้ก่อนมรณะภาพ หลังจากมรณภาพแล้ว สังขารร่างของหลวงพ่อไม่เน่าเปื่อย ลูกศิษย์จึงนำสังขารของท่านมาบรรจุไว้ในโลงแก้วให้ได้กราบไหว้ขอพร หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้ยินชื่อท่านมานานว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
พระประธานของวิหารองค์พระพุทธชินราชจำลอง
โมเสกแก้วแวววาว
จากวิหารแก้ว 100 เมตร นั่งรถไปอีกนิดนึง จะถึง ปราสาททองคำ ซึ่งตั้งอยู่ในวัดท่าซุงเช่นกัน
ตกแต่งด้วยทองคำตระการตา ประณีตงดงาม ปราสาททองคำ สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระที่ ทรงเสวยราชย์เป็นปีที่ 50 และทางสำนักพระราชวังได้ให้ชื่อปราสาททองคำใหม่ว่า ปราสาททองกาญจนาภิเษก
ประดับลวดลายไทยปิดทองคำเปลวติดกระจก ใช้เป็นสถานที่ ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ญาติโยมถวาย
ภายในปราสาทยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่ก็เปิดให้เข้าชมได้ค่ะ
เวลาเที่ยงกว่า ขอคั่นรายการด้วยอาหารนิดนึงค่ะ มาเมืองอุทัย เมืองแห่งปลาทั้งที เราต้องมาชิมเมนูเด็ดสารพัดปลาของที่นี่นะค่ะ ปลาเมืองนี้เป็นปลาน้ำจืดที่สด อร่อย และไม่มีกลิ่นคาว ที่เด่นๆก็ คือ ปลาแรด จะรวบรวมร้านอาหารทั้ง 3 มื้อ ที่ได้ไปรับประทานมาให้ชมกันค่ะ ร้านแรกมื้อกลางวัน ร้านป้าสำราญ ซึ่งตังอยู่บนเกาะเทโพ สั่งปลาแรดทอดน้ำปลา ทอดมันปลา ต้มย้ำปลาคัง ปลากด ลาบปลา ประมาณนี้ รสชาติอาหารถือว่าอร่อยใช้ได้เลย ส่วนอีกร้านมื้อเย็นแถวตลาดสด ตรงข้ามวงเวียน เจ๊ดาปลาลวก ร้านดังของเมืองอุทัย เมนูปลาเยอะเช่นกันค่ะ สั่งมาเยอะมากแต่ไม่ได้ถ่ายภาพอาหารมาให้ชม เพราะหิวจัด ร้านนี้เค้าเป็นร้านดั้งเดิมอร่อยสุดๆ
ต่อด้วยอีกร้านมื้อกลางวันของอีกวัน ครัวท่าน้ำอ้อย ร้านนี้อร่อยมากกกกกกกกค่ะ สั่งมาเยอะ ทั้งฉูฉี่ปลา ปลาทอดกระเทียม แกงส้มปลา สรุปว่า มาอุทัยนี้กินแปลากันจนเปรม อร่อย เนื้อนุ่ม ไม่คาว และที่สำคัญราคาถูกแบบไม่น่าเชื่อแต่ละมื้อกินกระจายอย่างละ 2 ชุด ทานกัน 10 คน ราคาประมาณพันต้นๆเองค่ะ
จบเรื่องอาหารกลับเข้าที่พักค่ะ ที่พักของเรา บ้านอิงน้ำ ตั้งอยู่ในเมืองฝั่งเกาะเทโพ บรรยากาศที่นี่ดีมากค่ะ มีสระว่ายน้ำเล็กๆด้วย และบ้านพักติดริมน้ำสะแกกรังมีที่นั่งพักผ่อนชมบรรยากาศริมน้ำด้วย
ภายในห้องสะดวกสบายมีแอร์ ทีวี ตู้เย็น
และมาถึงเวลาที่พวกเรารอคอย คือ ปันจักรยานชมเมือง ที่พักเกือบทุกแห่งในอุทัย จะมีบริการจักรยานให้ใช้ฟรี เพราะที่นี่เค้าเป็นเมืองที่รณรงค์ให้ปั่นจักรยาน และมีเส้นทางท่องเที่ยวด้วยจักรยาน ชมวิถีชีวิตในเมืองและรอบเกาะเทโพด้วย สำหรับพวกเราปั่นรอบเกาะเทโพคงไม่ไหว เพราะไกลเกิน เกือบ 40 กิโล ถ้าเส้นเล็กก็เกือบ 15 กม. เลยขอเน้นปั่นชิวๆ ชมเมืองดีกว่า จากที่พักปั่นมาเพียง 800 เมตร ก็จะถึงสะพานปูนเล็กที่ข้ามฝั่งไปยังตลาดสด ช่วงเวลาในการปั่นแนะนำว่าควรปั่นช่วงเช้า หรือไม่ก็เย็นไปเลย อากาศจะได้ไม่ร้อนค่ะ
ใกล้ๆกับสะพานจะเป็นที่ตั้งของอุโบสถาราม หรือ วัดโบสถ์ วัดเก่าแก่ของเมืองอุทัย ซึ่งตั้งอยู่ริมลำน้ำสะแกกรัง
สิ่งที่น่าสนใจในวัดได้แก่ จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์และวิหาร เป็นภาพเขียนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หน้าโบสถ์เป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติเริ่มตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพานฝีมือประณีตมาก ส่วนในวิหารเขียนเป็น ภาพพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดเทพยดาบนสวรรค์และภาพปลงสังขาร และก็มีมณฑปแปดเหลี่ยม เป็นอาคารแปดเหลี่ยม สองชั้น มีบันไดวนอยู่ด้านนอกอาคาร ซึ่งตอนที่ไปปิดบูรณะเลยไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชมกัน
ข้ามมาอยู่บนสะพานปูนเพื่อชมวิวชุมชนลุ่มน้ำสะแกกรังมีเรือนแพจอดริมน้ำตามชายฝั่งเป็นทิวแถวยาวสุดสายตา
จากนั้นปั่นข้ามสะพานมายังตลาดสด ผ่านวงเวียนเพื่อมาที่นี่ ถนนคนเดินตรอกโรงยา ในอดีตเป็นย่านที่อยู่อาศัยและร้านค้าของชาวจีนหลากหลายฐานะ
ถนนคนเดินตรอกโรงยา เป็นถนนที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวเมืองอุทัยธานี เป็นแหล่งการค้าและถนนแห่งความบันเทิงที่พบปะของพ่อค้าชาวจีนในสมัยก่อน
เปิดในช่วงเย็นทุกวันเสาร์ ถือเป็นถนนสายวัฒนธรรม ที่ถูกฟื้นฟูให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นถนนสายเล็กระยะทางสั้นๆเพียง 100 เมตร มีร้านค้า และร้านขายของทีระลึกเหมือนกับถนนคนเดินทั่วไป
เดินมาสะดุดตากับบ้านหลังนี้ค่ะ บ้านนกเขา ไม่ได้ขายของอะไรน่ะค่ะ แต่เป็นเหมือนบ้านที่รวบรวมของเก่าและภาพประวัติของเมืองอุทัยในอดีต โดยมีพี่เจ้าของบ้านคอยเล่าและอธิบายและให้ความรู้เราอย่างเป็นมิตร
บรรยากาศภายในบ้าน
มีรูปพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเติดไว้กือบทุกมุมของร้าน
ปั่นผ่านเส้นทางเดิมเพื่อจะกลับที่พัก ข้ามสะพานปูนเพื่อมาชมวิวพระอาทิตย์ตก แสงสีสวยงามจริง
ตื่นเช้าแต่เช้า ปั่นจักรยานข้ามฝั่งเพื่อมาเก็บความงดงามของพระอาทิตย์ขึ้นและวิถีชิวิตที่งดงามของชาวแพริมน้ำสะแกกรัง
ชาวบ้านแถบนั้นใช้ความอุดมสมบูรณ์ของสายน้ำใน การปลูกเตยและประกอบอาชีพทำการประมงน้ำจืด โดยการเลี้ยงปลาในกระชัง ซึ่งก็มีทั้งปลาสวาย ปลาแรด ปลาเทโพ โดยเฉพาะปลาแรด ที่เลี้ยงในกระชัง ของที่นี่ถือว่าขึ้นชื่อเรื่องเนื้อนุ่ม หวาน อร่อยกว่าที่อื่นๆ ค่ะ ว่ากันว่าเนื้อปลาแรดรสชาติอร่อย ไม่มี กลิ่นโคลนเหมือนกับปลาแรดที่อื่น จนกรมประมงต้องยกให้ปลาแรดเป็นปลาน้ำจืดประจำจ.อุทัยธานี พิสูจน์มาแล้วว่าเป็นดังที่ว่าจริง ที่เห็นเขียวๆเป็นกลุ่มนั่นคือต้นใบเตย
กิจวัตรสงฆ์พายเรือบิณฑบาตรในยามเช้า สำหรับเราเป็นอะไรที่ประทับใจและดีใจมากที่ได้เก็บภาพนี้กลับมา
การท่องเที่ยวชมความงามและวิถีชีวิตชาวแพในแม่น้ำสะแกกรัง นับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอุทัยธานี ชุมชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง ในเขตจังหวัดอุทัยธานีเป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตที่หาได้ยากมากแล้วในโลกยุคปัจจุบัน การตื่นขึ้นมาชมวิถีชีวิตที่งดงามแบบนี้ จึงถือว่าเป็นอีกเช้าวันนึงที่คุ้มค่า
เรือนแพที่เห็นอยู่ มีชาวแพอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน โดยในสมัยก่อนจะมีอยู่ ทั้งหมดกว่า 300 หลัง ทุกเรือนแพมีบ้านเลขที่และทะเบียนบ้านรับรองการอยู่อาศัย เป็นการถือกรรมสิทธิ์ที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ปัจจุบันยังเหลือชาวแพที่อาศัยอยู่ในสายน้ำแห่งชีวิตสายนี้กว่า 200 หลัง โดยทางการไม่อนุญาต ให้มีการออกทะเบียนบ้านให้แพที่สร้างใหม่อีกแล้ว
อีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถชมวิถีชีวิตชาวแพได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น คือ นั่งเรือชมไปตามเส้นทางของสายน้ำสะแกกรังที่ทางเทศบาลได้จัดไว้ โดยที่ท่าเรือเทศบาลจะมีให้บริการล่องเรือ หรืออาจจะติดต่อกับที่พักให้จัดการให้ก็ได้
ยามเช้าแบบนี้ตลาดสดซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดโบสถ์ก็คึกคักเช่นกัน
เดินข้ามสะพานมาจอดจักรยานไว้ตรงตลาดเพื่อมาเดินเล่น เราจะเห็นป้ายเส้นทางจักรยาน แบบนี้อยู่ตลอด
ตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัย จะเปิดสองช่วงค่ะ คือ ช่วงเช้า และช่วงเย็น เป็นตลาดเก่าแก่ สังเกตได้จากตึกรามบ้านช่อง ยังคงเป็นบ้านไม้และบ้านปูนแบบโบราณ
ตลาดสดเทศบาลเป็นตลาดเล็กๆ ของที่ขายในตลาดส่วนใหญ่จะเป็นปลา ผักพื้นบ้าน ที่ชาวบ้านนำมาขาย
รวมถึงปลาน้ำจืดหลากพันธุ์ ชื่อแปลกๆ ที่เราไม่รู้จัก เยอะมาก ที่เห็นนี้เลี้ยงว่าปลาเบี้ยว ค่ะ หน้าตาดูดุๆเล็กน้อย
เลยตลาดมานิดนึงจะเป็นย่านชุมชนของเมืองอุทัย ซึ่งเราจะมาสามารถพบเห็นบ้านไม้เก่าๆ รถถึงรถท้องถิ่นที่จอดเท่ๆแบบนี้
ตึกนี้โดดเด่นและสุดตาที่สุดแล้วในย่านนี้ค่ะ ตอนกลางคืนเปิดเป็นร้านนั่งเล่น ขายน้ำเต้าหู เต้าทึง นมร้อน และขนมปังสังขยา อะไรประมาณนี้ค่ะ แต่มาตอนเช้าถึงบ่ายๆ รู้สึกจะปิด
หมายเหตุ ปัจจุบันตึกเก่าและบ้านเรือนในจังหวัดอุทัยได้พร้อมใจกันทาสีม่วงทั้งเมือง เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ 60 พรรษา
ตลอดเวลาที่เดินเล่นอยู่ที่ถนนเส้นนี้ จะเห็นรถท้องถิ่นแบบแปลกๆวิ่งไปมาเยอะมาก โดยเฉพาะ รถสามล้อ แม่เจ้า เอาเป็นว่าไม่คิดว่าจะได้มาเจอรถสามล้อแบบที่ไม่ต้องเรียกมาสร้างภาพ เมืองนี้เค้ารณรงค์และให้ความสำคัญกับการปั่นทุกรูปแบบ เพื่อช่วยลดมลพิษและ ลดโลกร้อน
จบภารกิจชมตลาดในยามเช้า ก็ปั่นข้ามมายังฝั่งเกาะเทโพ เพื่อตามล่าหาทุ่งนาข้าวสีเขียว การปั่นจักรยานบนเกาะเทโพ สองข้างทางเราก็จะเจอแต่สวน ทุ่งนา เขียวขจี รับอากาศบริสุทธิ์ไปเต็มๆ
หลังจากชมทุ่งนาแล้ว ก็กลับมาเก็บของ เดินทางต่อไปเพื่อชมผลิตภัณฑ์โอทอปที่มีชื่อ ของ เมืองอุทัย บ้านธูปหอมทองตะนาวค่ะ มาถึงปุ๊บ ยังไม่ทันลงจากรถ คุณป้าเจ้าของรีบวิ่งมาต่อนรับเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมอธิบายวิธีการและพาชมวิธีการทำธูปในแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด
ธูปที่นี่มีความพิเศษ คือ เป็นธูปหอมที่มีควันน้อยมาก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมค่ะ
แพคแกจที่ใช้บรรจุก็น่ารัก เก๋ซะไม่มี ที่เห็นเป็นแท่งสี่เหลี่ยมสีเหลืองแล้วมีอักษรจีน เรียกว่าธูปใบ้หวยน่ะค่ะ 555 วิธีการคือ จุดธูปแล้วปักลงไป ดูควันที่ขึ้นมาว่าเป็นเลขอะไรค่ะ ซึ่งก็แล้วแต่จินตนาการ
จบรีวิวท่องเที่ยวในเมืองอุทัยธานี 2 วัน 1 คืน ที่นี่ถือเป็นภาพความงามที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย หากใครมีโอกาสมาสัมผัสกับเมืองนี้ จะต้องหลงรักวิถีชีวิตเรียบง่ายมีความสุขอย่างพอเพียงของชาวบ้านและชาวแพโดยไม่รู้ตัวแน่นอนค่ะ
โปรแกรมท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน ตามทริป
วันแรก
6.30 น. เดินทางไปยังเมืองอุทัย
8.00 น. ถึงยอดเขาสะแกกรัง สักการะรอยพระพุทธบาทจำลอง บนยอดเขาสามารถชมวิวทิวทัศน์เมืองอุทัยธานีในมุมสูงได้อย่างกว้างขวาง
10.00 น. แวะวัดท่าซุง ชมพระอุโบสถหลังใหม่ที่สร้างด้วยโมเสกสีขาวใสคล้ายแก้วอันสวยงาม
11.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน
14.00 น. ถึงที่พัก
15.00 น. ปั่นจักรยาน ท่องเที่ยวชมวิถีชีวิต ตามเส้นทางที่ได้จัดไว้(ทางรีสอร์ทมีจักรยานให้ปั่นฟรี) ไปจักรยานชมไปยังจุดต่างๆ เช่น วัดโวสถ์ ถนนคนเดินตอกโรงยา
18.00 น. รับประทานอาหารเย็น
วันที่สอง
7.00 น. ปั่นจักรยาน เที่ยวตลาดเช้า ชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน
11.00 น. แวะบ้านธูปหอมทองตะนาว
14.00 น. เดินทางกลับ
18.00 น. ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก
paiduaykan.com