ทำความรู้จัก การทำนาไทย ตั้งแต่อดีต - ปัจจุบัน
ทำความรู้จัก การทำนาไทย ตั้งแต่อดีต - ปัจจุบัน
การปลูกข้าว เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม สันนิษฐานว่าเริ่มจากการที่มนุษย์รู้จักสังเกตการเจริญเติบโตของข้าวในธรรมชาติ ต่อมาจึงนำเมล็ดข้าวที่ได้มาเพาะปลูกใกล้บริเวณที่อยู่อาศัย ในประเทศไทยพบการปลูกข้าวด้วยวิธีการปักดำมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และพัฒนาวิธีการปลูกเรื่อยมาตามลำดับ จนปัจจุบันมีวิธีการปลูกข้าวที่หลากหลายแตกต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ
การทำนาในจนถึงปัจจุบัน
วิถีการทำนาของคนไทยมีพัฒนาการมาตามลำดับ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฎว่ามีการทำนาหลากหลายวิธี และบางวิธีก็ยังคงใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ การทำนาไร่เป็นวิธีการปลูกข้าวแบบดัง้เดิมบนเขา หรือตามป่าดงโดยอาศัยน้ำฝ น มีขั้นตอนเหมือนการปลูกข้าวไร่ในปัจจุบัน ตั้งแต่การเลือกพื้นที่ตามที่ลาดเชิงเขา หรือป่าดง ซึ้นพื้นดินมีอินทรียวัตถุที่เกิดจากการทับถมของใบไม้และซากพืช จึงทำหลุมและหยอดเมล็ดข้าวลงในดินก่อนที่ฤดูฝนมาถึง ใช้พันธุ์ข้าวที่มีอายุเก็บเกี่ยวได้พอดีกับสิ้นฤดู ชาวไร่จะเก็บรักษาข้าวที่ได้ไว้บริโภคในครัวเรือน เมื่อปลูกต่อเนื่องจะทำให้ดินจืดชาวไร่ส่วนมากจึงใช้พื้นที่ปลูกข้าวเพียง 2 3 ปี และหาพื้นที่ปลูกใหม่ ซึ่งเป็นวิธีการทำไร่เลื่อนลอยในปัจจุบัน
การทำนาน้ำฝน เป็นวิธีการทำนาในที่ดอนและที่ราบโดยอาศัยน้ำฝนเช่นเดียวกับการทำนาไร่ เริ่มจากการตัดโค่นต้นไม้และขุดรากไม้ออก จากนั้นจึงทำคันนาโดยแบ่งพื้นที่เป็นแปลงๆ สำหรับกักเก็บน้ำฝนไว้หล่อเลี้ยงต้นข้าว เตรียมดินโดยการไถและคราด หากพื้นที่นั้นอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ลำห้วย หรือลำธาร ชาวนาจะทำลำรางเพื่อระบายน้ำเข้านา ถ้าพื้นที่อยู่ใกล้ลำน้ำใหญ่มีน้ำไหลตลอดปี เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้ว ชาวนาจะปลูกข้าวอีกครั้งหนึ่งโดยทดน้ำเข้านา การทำนาครั้งที่สองเรียกว่า การทำนาปรัง การทำนาเมือง เป็นการทำนาอาศัยน้ำฝนในที่ราบลุ่มที่อาจจะประสบสภาพน้ำท่วมได้ การปลูกจะใช้การหว่านข้าวและมีขั้นตอนคล้ายคลึงกลับกับวิธีการปลูกข้าวนาน้ำลึก และข้าวขึ้นน้ำในปัจจุบัน โดยเตรียมดินเมื่อเข้าฤดูฝน เมื่อนาได้รับน้ำฝนเพียงพอดินอ่อนตัว จึงไถและหว่านเมล็ดข้าวแห้งลงในนา พันธุ์ข้าวที่ใช้ทำนาเมืองเป็นพันธุ์ข้าวที่เจริญเติบโตเร็ว
ยืดตัวได้เร็วทันน้ำ มีทั้งพันธุ์ข้าวที่เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่น้ำลึกประมาณ 1 1.5 เมตร และพันธุ์ข้าวที่สามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่ที่น้ำลึกถึง 4 5 เมตร นอกจากพันธุ์ข้าวนาน้ำลึกจะมีระบบรากเหมือนพันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูกทั่วไปแล้ว ยังมีรากออกตามข้อและปล้องตลอดขึ้นไปจนถึงผิวน้ำ การทำนาเชิงเลนหรือนาน้ำลด เป็นนาที่ทำกันตามชายฝั่งแม่น้ำหรือริมคลอง ซึ่งเป็นที่ลาดลุ่ม มีกระแสน้ำขึ้นลง ชาวนาจะเป็นแปลงมีคันนาสูงพ้นน้ำเพื่อกันน้ำท่วม นาเชิงเลนจัดเป็นนาชั้นดีที่สามารถควบคุมน้ำได้ และทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง เพราะได้รับตะกอนที่ไหลปนมากับน้ำ การทำนาสวน นาดำหรือนาปัก เป็นการทำนาในร่องสวน หรือในไร่นาที่ปลูกไม้ล้มลุกหรือพืชผัก วีปลูกจะใช้วิธีปักดำจากต้นกล้าที่เตรียมไว้ ข้าวที่ได้จากการทำนาสวนจัดเป็นข้าวชั้นดี เพราะมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ และเนื่องจากมีพื้นที่ปลูกไม่มากนักจึงได้รับการดูแลรักษาอย่างดี เมื่อข้าวสุก สามารถเก็บเกี่ยวได้ตามเวลา คุณภาพข้าวดีมากจึงซื้อขายกันในราคาสูง
การทำนาน้ำตม หรือเพาะเลย เป็นการทำนาหว่านแบบข้าวนาเมือง โดยใช้วิธีการแช่งข้าวให้งอกก่อนเหมือนที่ใช้หว่านกล้า เพราะใช้วิธีหว่านข้าวแห้งหรือหว่านสำรวยไม่ทัน เนื่องจากพื้นที่มีฝนตกชุก ดินเปียกแฉะเกินไป หลังจากเตรียมดินโดยไถครั้งหนึ่งหรือ 2 ครั้งแล้ว จึงหว่านเมล็ดข้าวที่งอกลงไป ในอดีตวิธีนี้มักไม่ได้ผลผลิตที่ดี เพราะถ้าดินแห้งหลังจากหว่านข้าวจะทำให้ข้าวที่งอกตายได้ง่าย และถ้าน้ำมาเร็วและลมแรง ต้นข้าวก็จะหลุดลอยได้เนื่องจากรากข้าวยังไม่เกาะดิน การทำนาน้ำใส เป็นการปลูกข้าวโดยวิธีหว่านอีกวิธีหนึ่ง เมื่อน้ำเข้านาเร็ว ระดับน้ำสูงประมาณ 0.5 เมตร หรือสูงกว่านี้ จะไม่สามารถทำนาหว่านข้าวแห้งได้ วิธีการที่จะให้เมล็ดข้าวที่หว่านในน้ำลึกงอกดีจะต้องปล่อยให้น้ำใสเสียก่อน ถ้าน้ำขุ่นเมล็ดข้าวที่จมอยู่ใต้น้ำไม่ได้รับแสงแดดจะไม่แตกใบ หรือเมื่อแตกใบแล้วอาจมีโคลนตมจับทำให้ข้าวเน่าตาย การทำนาน้ำใสจะแบ่งแปลงนาเป็นแปลงขนาดเล็กโดยใช้คันดินกั้น เพื่อไม่ให้ต้นข้าวอ่อนหลุดลอบไปเมื่อมีลมพัด ชาวนาบางรายใช้วิธีหว่านแบบน้ำขุ่น เพื่อให้โคลนตมจับเมล็ดข้าวทำให้รากข้าวหยั่งลึกเกาะดินได้ดี วิธีการหว่านข้าวทั้งในน้ำใสและน้ำขุ่นนี้ชาวนาจะทำต่อเมื่อจำเป็นและไม่หังผลมากนัก
ข้อมูลอ้างอิง : https://www.rakbankerd.com
โพสต์โดย : POK@