Social :



กรมวิชาการเกษตรเตือน เกษตรกรปลูกขิง ช่วงหน้าฝน ระวังโรคเหง้าเน่า

22 ก.ย. 61 11:09
กรมวิชาการเกษตรเตือน เกษตรกรปลูกขิง ช่วงหน้าฝน ระวังโรคเหง้าเน่า

กรมวิชาการเกษตรเตือน เกษตรกรปลูกขิง ช่วงหน้าฝน ระวังโรคเหง้าเน่า

กรมวิชาการเกษตรเตือน เกษตรกรปลูกขิง  
ช่วงหน้าฝน ระวังโรคเหง้าเน่า


จากสภาพอากาศชื้นในระยะนี้  มักมีฝนตกต่อเนื่องหลายวัน  กรมวิชาการเกษตร  แนะเกษตรกรผู้ปลูกขิงให้เฝ้าระวัง โรคเหง้าเน่า   ที่สามารถพบได้ในระยะที่ต้นขิงมีอายุ  4  เดือนหลังปลูก  อาการเริ่มแรกใบจะเหี่ยวม้วนเป็นหลอดสีเหลือง  และจะลุกลามจากส่วนล่างขึ้นไปยังส่วนปลายยอดจนแห้งตายทั้งต้น  บริเวณโคนต้นและหน่อที่แตกออกมาใหม่มีลักษณะฉ่ำน้ำสีน้ำตาลเข้มถึงดำ  เมื่อผ่าลำต้นตามขวางจะพบเมือกแบคทีเรียไหลซึมออกมาเป็นสีขาวขุ่น  ลำต้นเน่า และหลุดออกจากเหง้าได้ง่าย  อาการบนเหง้ามีลักษณะฉ่ำน้ำสีคล้ำ  ต่อมาเหง้าจะเน่าในที่สุด


เกษตรกรควรหมั่นตรวจและกำจัดวัชพืชในแปลงและรอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบต้นขิงที่เริ่มแสดงอาการของโรคเหง้าเน่า  ให้ขุดต้นไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที  เพื่อลดแหล่งสะสมเชื้อสาเหตุโรค   จากนั้น  ให้โรยด้วยปูนขาวบริเวณหลุมที่ขุด
MulticollaC
เพื่อป้องกันการระบาดของโรค  และควรทำความสะอาดอุปกรณ์การเกษตรที่ใช้กับต้นที่เป็นโรคก่อนนำกลับมาใช้ใหม่  สำหรับในแปลงที่มีการระบาดของโรค  หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว  ให้เกษตรกรเก็บส่วนต่างๆ  ของพืชที่เป็นโรคนำไปเผาทำลายทิ้งนอกแปลงปลูกทันที

การป้องกันกำจัดโรคเหง้าเน่าในฤดูปลูกถัดไป  เกษตรกรควรเลือกพื้นที่ในการปลูกที่ไม่เคยมีการระบาดของโรคนี้มาก่อน และควรทำแปลงปลูกให้มีการระบายน้ำที่ดี  เกษตรกรควรเตรียมดิน  โดยไถพรวนดินให้ลึกจากผิวดินมากกว่า  20  เซนติเมตรขึ้นไป  และตากดินไว้ให้นานกว่า  2  สัปดาห์  จะสามารถช่วยลดปริมาณเชื้อในดินลงได้มาก  กรณีในพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรค  ก่อนปลูก  ให้รมดินเพื่อฆ่าเชื้อโรคด้วยการโรยยูเรียผสมปูนขาว  อัตรา  80:800  กิโลกรัมต่อไร่  จากนั้น ให้ไถกลบและรดน้ำให้ดินมีความชื้น  ทิ้งไว้ประมาณ  3  สัปดาห์  จึงเริ่มปลูกขิง อีกทั้งให้เลือกใช้หัวพันธุ์ที่มีคุณภาพดีจากแหล่งปลอดโรค  หลีกเลี่ยง  การปลูกพืชอาศัยของเชื้อ  เช่น  พืชตระกูลขิง  มะเขือ  มันฝรั่ง  พริก  และถั่วลิสง  รวมถึงควรสลับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน  เช่น  ข้าว  ข้าวโพด  และมันสำปะหลัง  เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรค


ข้อมูลอ้างอิง  :  https://www.moac.go.th

โพสต์โดย : POK@