Social :



วิธีการปลูก และดูแล กล้วยไข่

27 ต.ค. 61 11:10
วิธีการปลูก และดูแล กล้วยไข่

วิธีการปลูก และดูแล กล้วยไข่

วิธีการปลูก และดูแล  กล้วยไข่  



กล้วยไข่ เป็นผลไม้ที่นิยมผู้บริโภคกันทั่วไป เนื่องจากมีรสชาติดี ลักษณะการเรียงตัวของผลและสีผลสวยสะดุดตา ปัจจุบันส่งออกจำหน่ายต่างประเทศมากขึ้น ตลาดที่สำคัญ คือ จีน และฮ่องกง


การปลูกกล้วยไข่: 
กล้วยไข่เป็นพืชที่สามารถปลูก  ได้แทบทุกภาคของประเทศ  ในพื้นที่ปลูกที่มีการจัดการการผลิตเพื่อให้ได้ทั้งปริมาณ  และผลผลิตตรงตามมาตรฐานคุณภาพ  ตลาดต้องการ  ปัญหาสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพของผลผลิตคือ  การปนเปื้อนของ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช  ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาต่อสุขอนามัยของผู้บริโภค ตลอดจนการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมใน  ระยะยาว ดังนั้น  กระบวนการผลิตจึงต้องมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องและเหมาะสม

แหล่งปลูกที่เหมาะสม:  มีดังนี้
1. สภาพพื้นที่ 
- พื้นที่ดอน หรือพื้นที่ราบ  ไม่มีน้ำท่วมขัง
- ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน  1,200  เมตร
- มีแหล่งน้ำธรรมชาติ  หรืออยู่ในเขตชลประทาน
- การคมนาคมสะดวก

2. ลักษณะดิน 
ดินร่วน,  ดินร่วนเหนียว  หรือดินร่วนปนทราย -  มีความอุดมสมบูรณ์สูง  ระบายน้ำดี  -  ระดับน้ำใต้ดินลึกมากกว่า  75  เซนติเมตร  -  ค่าความเป็นกรดด่างของดินระหว่าง  5.0-7.0

3. สภาพภูมิอากาศ 
- อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต  ระหว่าง  25-35  องศาเซนเซียส
- ปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า  1,200  มิลลิเมตรต่อปี
- ไม่มีลมแรงพัดผ่านเป็นประจำ
- มีแสงแดดจัด

4. แหล่งน้ำ 
- มีน้ำใช้เพียงพอตลอดฤดูปลูก
- เป็นแหล่งน้ำสะอาด  ค่าความเป็นกรดด่างของน้ำระหว่าง  5.0-9.0


พันธุ์กล้วยไข่: 
กล้วยไข่มี  2  สายพันธุ์  คือ  กล้วยไข่สายพันธุ์กำแพงเพชร  และกล้วยไข่พระตระบอง 
พันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นการค้าคือ  กล้วยไข่สายพันธุ์กำแพงเพชร

1. กล้วยไข่สายพันธุ์กำแพงเพชร 
ลักษณะกาบใบเป็นสีน้ำตาลหรือช๊อกโกแลต  ร่องก้านใบเปิดและขอบก้านใบขยายออก  ใบมีสีเหลืองอ่อน ไม่มีนวล  ก้านเครือมีขนขนาดเล็ก  ผิวเปลือกผลบาง  ผลเล็ก  เนื้อมีสีเหลือง รสชาติหวาน

2.กล้วยไข่พระตะบอง 
ลักษณะกาบใบเป็นสีน้ำตาลปนดำ  สีของใบเข้มกว่าสายพันธุ์กำแพงเพชร  รสชาดจะออกหวานอมเปรี้ยว  และผลมีขนาดใหญ่กว่ากล้วยไข่สายพันธุ์กำแพงเพชร

การเตรียมดินปลูกกล้วยไข่ 
MulticollaC
1. การเตรียมดิน 
วิเคราะห์ดิน  เพื่อประเมินค่าความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพืชในดิน  และความเป็นกรดด่างของดิน  ปรับสภาพดินตามคำแนะนำก่อนปลูก  -  ไถพรวน ตากดินทิ้งไว้ประมาณ  1  เดือน เพื่อลดการระบาดของศัตรูพืช  คราดเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลง
2. ฤดูปลูก 
ช่วงเวลาการปลูก  ในเขตภาคเหนือตอนล่าง  ประมาณเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 
3. วิธีการปลูก 
- ปลูกด้วยหน่อใบแคบที่มีความสมบูรณ์ดี
- เตรียมหลุมปลูกขนาด  50x50x50  เซนติเมตร 
- รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกอัตรา  5  กิโลกรัมต่อหลุม  คลุกเคล้ากับหน้าดินรองก้นหลุมปลูกถ้ามีการไว้หน่อ  (Ratoon)  เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปอีก  1-2  รุ่น  ควรรองก้นหลุมด้วยหินฟอสเฟต  อัตรา  100-200  กรัม/หลุม
- ระยะปลูก  (1.5-1.75) x2 เมตร  เป็นการปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียงครั้งเดียว  แล้วรื้อปลูกใหม่  2x2  เมตร  เป็นการปลูกสำหรับไว้ตอหรือหน่อ  (Ratoon)  เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตของหน่อ (Ratoon) อีก  1-2  รุ่น
- การปลูก วางหน่อพันธุ์ที่หลุมปลูกให้ลึก  25-30  เซนติเมตร  โดยจัดวางหน่อพันธุ์ให้ด้านที่ติดกับต้นแม่อยู่ในทิศทางเดียวกัน  กลบดินลงหลุมปลูกและกดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น  แล้วรดน้ำให้ชุ่ม


การดูแลรักษากล้วยไข่: 
1. การปฏิบัติดูแลรักษา 
การพรวนดิน  ภายหลังปลูกกล้วยไข่ประมาณ  1  เดือนควรรีบทำการพลิกดินให้ทั่วทั้งแปลงปลูก  เพื่อให้ดินเก็บความชื้นจากน้ำฝนไว้ให้มากที่สุด  และเป็นการกำจัดวัชพืชไปด้วย  ขณะที่รากกล้วยยังขยายไปไม่มากนัก
2.การกำจัดวัชพืช 
ควรกำจัดวัชพืชปีละ  3  ครั้ง  ครั้งแรกพร้อม ๆ  กับการพลิกดิน  ส่วนครั้งที่  2  และ  3  ให้พิจารณา  จากปริมาณวัชพืช  แต่จะทำก่อนที่ต้นกล้วยตกเครือ
3.การให้ปุ๋ย 
ใส่ปุ๋ยอินทรีย์  1  ครั้ง  เช่น  ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนปลูกอัตรา  3-5  กิโลกรัมต่อหลุม  ใส่ปุ๋ยเคมี  4  ครั้ง  ครั้งที่  1  และ  2  เป็นระยะที่กล้วยมีการเจริญเติบโตทางลำต้น ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-10-10  หรือ  15-15-15  อัตรา  125-250  กรัมต่อต้นต่อครั้ง  หลังจากปลูก  1  และ  3  เดือน  การให้ปุ๋ยเคมีครั้งที่  3  และ  4  จะให้ปุ๋ยเคมีภายหลังจากปลูก 5 และ  7  เดือน ซึ่งเป็นระยะที่กล้วยใกล้จะให้ผลผลิต  จะให้ปุ๋ยเคมีสูตร  12-12-24, 13-13-21  หรือ  14-14-21  อัตรา  125-250  กรัมต่อต้นต่อครั้ง

วิธีการให้ปุ๋ยกล้วยไข่ 
ใส่ปุ๋ยเคมีโรยห่างจากต้นประมาณ  30  เซนติเมตร  หรือใส่ลงในหลุมลึกประมาณ  10  เซนติเมตร  4  ด้าน  แล้วพรวนดินกลบ 

4. การให้น้ำกล้วยไข่ 
ในฤดูฝน  เมื่อฝนทิ้งช่วง  เมื่อสังเกตหน้าดินแห้งและเริ่มแตก  ควรรีบให้น้ำ
ในฤดูแล้ง  เริ่มให้น้ำตั้งแต่หมดฝน  ประมาณปลายเดือนมกราคม-พฤษภาคม

วิธีการให้น้ำ
ใช้วิธีปล่อยให้น้ำไหลเข้าไปในแปลงย่อยเป็นแปลง ๆ  เมื่อดินมีความชุ่มชื้นดีแล้ว  จึงให้แปลงอื่นต่อไป 


ข้อมูลอ้างอิง  :  https://www.rakbankerd.com

โพสต์โดย : POK@