Social :



การปลูก ตะใคร้หยวก เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้แบบมืออาชีพ

21 พ.ย. 61 11:11
การปลูก ตะใคร้หยวก เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้แบบมืออาชีพ

การปลูก ตะใคร้หยวก เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้แบบมืออาชีพ

การปลูก ตะใคร้หยวก เชิงพาณิชย์  

เพื่อสร้างรายได้แบบมืออาชีพ

ตะไคร้  หรือ  ที่ฝรั่งเรียกกันว่า  Lemon  grass   ตามลักษณะที่มีกลิ่นหอมเย็นเหมือนเลมอน  เป็นพืชตระกูลหญ้าที่ปลูกง่ายมากในบ้านเรา มักจะมีปลูกไว้เป็นพืชผักสวนครัวแทบทุกบ้าน  ด้วยอาหารไทยจะต้องมีตะไคร้เป็นส่วนประกอบทั้งอาหารประเภทต้มหรือแกง  ต้มยำจะขาดตะไคร้ไม่ได้เลย ยิ่งเป็นอาหารทะเลหรือเนื้อสัตว์ตะไคร้จะช่วยดับกลิ่นคาวได้เป็นอย่างดี  และทำให้อาหารมีกลิ่นหอมมากขึ้น

ตะไคร้จะมีลักษณะใบที่คมสีเขียวยาวแหลม  ใบมีกลิ่นหอมแต่กลิ่นไม่แรงมาก  อีกทั้งใบมีเส้นใยมาก  จึงมักถูกตัดทิ้งหรือนำไปใช้ด้านอื่น  เช่น  สกัดน้ำมันหอมระเหยหรือผลิตเป็นชาตะไคร้  แต่หากจะนำมาประกอบอาหารจะใช้เฉพาะส่วนเหง้าและกาบใบที่มีน้ำมันหอมระเหยมากให้กลิ่นแรงมาปรุงอาหาร  เมื่อจะใช้จะต้องตัดส่วนโคนหรือส่วนรากที่แข็งออก กาบใบส่วนใกล้โคนจะอ่อนมาก  สามารถกินสดได้  แต่เมื่อต้นสูงขึ้นไปความแข็งจะเพิ่มมากขึ้น


ในบ้านเรามีการปลูกตะไคร้เชิงการค้ากระจายอยู่ทั่วไป  เนื่องจากมีประมาณความต้องการใช้เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน  โดยจากการสังเกตราคาซื้อ-ขายโดยประมาณพบว่าตะไคร้จะมีราคาสูงขึ้นในฤดูแล้ง  คือ  เดือนกุมภาพันธ์ – เดือนเมษายน  โดยราคาจะขยับตัวสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5 บาท ไปจนถึง  15  บาท  ซึ่งหากเกษตรกรที่เริ่มปลูกตะไคร้ควรกำหนดช่วงเวลาให้ตะไคร้เก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งตะไคร้นั้นหลังจากปลุกไปแล้วจะใช้ระยะเวลา  6-8  เดือน  จึงสามารถตัดหรือขุดขายได้แต่อย่าลืมว่าการจะทำตะไคร้ให้ดี  มีความสมบูรณ์ ลำต้นอวบอ้วน เป็นที่ต้องการของตลาด พื้นที่ดังกล่าวจะต้องมีน้ำให้อย่างสม่ำเสมอนั่นเอง 

สวนพฤกษาพรรณวดี  ตัวอย่างสวนตะไคร้ที่มี  คุณวิเชียร  สีขาว  เป็นเจ้าของและประสบความสำเร็จในการปลูกตะไคร้  เริ่มต้นปลูกในครั้งแรกในพื้นที่  5  ไร่  และ ขยายพื้นที่ปลูกตะไคร้ในปี  2553  เป็น  30  ไร่  และ  ในปี  2554  ได้ขยายพื้นที่ปลุกตะไคร้ออกไปครบ  90  ไร่ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการของตลาด คุณวิเชียรเล่าว่า ตลาดของตะไคร้ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี อย่างผลผลิตตะไคร้จากสวนคุณวิเชียรจะเลือกปลูกตะไคร้พันธุ์ ขาวเกษตร  หรือ เรียกว่า  ตะไคร้หยวก  ที่มีลักษณะลำต้นและกาบสีขาว  ลำต้นอวบอ้วนเป็นที่ต้องการของตลาด ขายส่งในประเทศและส่งออก หรือ นำไปแปรรูป  เช่น  การอบแห้งตะไคร้หยวกจะมีสีขาวดูสะอาด  แต่ตะไคร้อีกสายพันุ์หนึ่งที่มีปลูกในบ้านเรา คุณวิเชียรอธิบายว่าจะมีตะไคร้พันธุ์กาบแดง โดยกาบของลำต้นจะมีสีแดง  มีกลิ่นฉุน ตะไคร้กาบแดงจึงเหมาะแก่การปลูกส่งโรงงานทำน้ำพริกและทำเครื่องแกงเนื่องจากมีกลิ่นฉุน  โดยการนำไปใช้ ตะไคร้กาบแดง  1  ต้น  จะหั่นได้แค่ ครึ่งต้น แต่ถ้าเป็นตะไคร้หยวก จะหั่นใช้ได้เกือบทั้งต้น  ซึ่งเหมาะต่อการนำมาประกอบอาหารที่ต้องการปริมาณมาก 


การปลูกตะไคร้หยวก  พันธุ์ขาวเกษตร  แบบสวนพรรณวดี :
คุณวิเชียรเล่าว่า  การจะทำตะไคร้ให้ได้ผลผลิตออกมาเป็นที่น่าพอใจนั้นมีหลาย  ซึ่งแต่ละสวนจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของสวนเอง  อาจมีรูปแบบและวิธีการที่คล้ายคลึงกันบ้าง  แต่นั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเหมือนกันโดยทั้งหมดซึ่งทางสวนพรรณวดีจะปลูกตะไคร้ตามหลักวิชาการเกษตรผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น  คือ  เริ่มต้นจาก ไถดะพลิกหน้าดินให้ลึก  เพื่อดินจะได้ร่วนซุยและโปร่ง น้ำจะได้ไม่ขัง  และเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี  เสร็จแล้วไถแปรและไถพรวนชักร่องเหมือนกับการปลูกอ้อย หลังจากนั้นตากแดดหน้าดินเป็นเวลา  5-7  วัน  เพื่อหมักวัชพืชให้ตายและเป็นการฆ่าเชื้อราในดินด้วย ระหว่างที่รอตากหน้าดินนั้นก็ทำการเตรียมกล้าพันธุ์ตะไคร้ไปพร้อมๆ  กัน  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา  โดยตัดรากและส่วนใบออก ให้เหลือความยาวลำต้นประมาฯ  20-50  เซนติเมตร จากนั้นให้ทำการแช่ลำต้นกับน้ำเปล่า  โดยนำส่วนที่เป็นรากแช่ทิ้งไว้  5  วัน  หลังจากนั้นรากใหม่จะเริ่มงอกออก และมีสีเหลืองซึ่งพร้อมสำหรับการปลูก 

คุณวิเชียรยังเสริมอีกว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องทราบ  คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะใช้กล้าพันธุ์ตะไคร้หยวกด้วยปริมาณเท่าใดจึงจะเพียงพอในการเพาะปลูกในพื้นที่ขนาด  1  ไร่  เท่ากับ  1,600  ตารางเมตร  และ สูตรในการคำนวณหาพื้นที่ก็คือกว้าง*ยาว ดังนั้นจึงสมมุติฐานเบื้องต้นก่อนว่าด้านกว้างน่าจะ  40  เมตร  และ ด้านยาว ก็เช่นกัน  น่าจะ  40  เมตร  เพราะ  40*40 
MulticollaC
เมตร  เท่ากับ 1,600 ตรม. นั่นเอง ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้วพื้นที่อาจจะไม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสดังที่ตั้งสมมุติฐานขึ้นมาก็ตาม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการคำนวณบ้างเป็นของธรรมดา 

ตามหลักการทั่วๆ  ไป  แล้วนิยมปลูกด้วยระยะห่างหลุมต่อหลุม  หรือ กอต่อกอ  เท่ากับ  80  ซม.  นั่นก็หมายความว่าจะได้จำนวน แนวหรือแถวของหลุม เท่ากับ  49*49  หลุม  เนื่องจากระยะความกว้าง  40  เมตร  หาร  0.8  เมตร (80  เซนติเมตร) เท่ากับ  50  เมตร  แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วไม่มีใครปลุกตรงตำแหน่งขอบพื้นที่พอดี  เมื่อได้ตัวเลข  49  มา ก็นำมาคูณกันหรือยกกำลัง  2  ก็จะได้ผลลัพธ์  เท่ากับ  2,400  หลุม  โดยปกติการปลูกจะใช้กล้าพันธุ์  3  ต้นต่อหลุม ทำให้จำนวนต้นทั้งหมดที่ต้องใช้ปลูกเท่ากับ  7,200  ต้น  โดยทั่วไปแล้วเมื่อโตเต็มที่แล้ว  25  ต้นก็จะเท่ากับ  1  กิโลกรัม หรือ ใครจะนำ  25  ไปหาร  7,200  ต้นก็ได้  ผลลัพธ์ก็จะเท่ากับ  288  กิโลกรัมต่อต้น  แต่นี่ไม่ใช่บทสรุปคุณวิเชียรกล่าว ในสภาพความเป็นจริงในการทำงาน ระยะห่างของหลุมต่อหลุมอาจจะไม่เท่ากัน ซึ่งถ้าระยะห่างน้อยกว่า  80  ซม.  ก็จะทำให้จำนวนหลุมเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าจะต้องใช้กล้าพันธุ์ตะไคร้หยวกเพิ่มขึ้น  เช่นกัน  หรือในบางกรณีกล้าพันธุ์โตไม่เต็มที่  คนปลูกอาจเกรงว่าต้นที่เล็กจะตายจึงได้เพิ่มขึ้น จึงรวมเป็น  4-5  ต้น  จึงส่งผลให้สิ่งที่คำนวรนั้นมีความคลาดเคลื่อนไปตามสภาพของตัวแปรต่างๆ  ดังที่กล่าวไปแล้ว  ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นสวนเราจะใช้กล้าพันธุ์ตะไคร้หยวกในการเพาะปลุก  600-900  กิโลกรัมต่อไร่ 


การปลูกตะไคร้ :  ให้ขุดหลุมลึก  10  เซนติเมตรแล้วนำกล้าตะไคร้ที่ผ่านการเพาะชำจนรากใหม่งอกออกใส่ลงไปในหลุม  3  ต้น  แล้วฝังกลบ  ซึ่งภายหลังจากเพาะปลูกเป็นเวลา  2-3  เดือน ตะไคร้จะเริ่มแตกกอ ควรจะมีการรดน้ำบ้างในบางช่วงที่ขาดน้ำฝน  แต่สำหรับที่สวนคุณวิเชียร  จะมีแหล่งน้ำเป็นของตัวเองโดยผันน้ำเข้ามาจากคลองบางละมุง  จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด  กล่าวได้ว่ามีน้ำรดตลอดทั้งปี สามารถทำการเพาะปลูกได้ทุกฤดูกาล 

หมั่นดูแลวัชพืชในช่วง  2-3  เดือน หลังจากลงแปลงปลูก แต่หลังจากตะไคร้ขึ้นกอแล้ว  วัชพืชจะลดลงเองโดยอัตโนมัติ  เมื่อตะไคร้เริ่มเป็นกอในเดือนที่ 4 ควรใส่ปุ๋ยสูตร  15-15-15  เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของลำต้น คอยดุแลใบตะไคร้อยู่เสมออย่าปล่อยให้ปลายใบแห้ง  ควรมีการตัดแต่งใบเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต  เมื่อครบอายุ  6  เดือน  ตะไคร้จะเจริญเติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว 

การเก็บเกี่ยวตะไคร้หยวก :   ควรตัดความยาวลำต้นประมาณ 17 นิ้ว แล้วมัดเป็นกำๆ ละ 1 กิโลกรัม และหลังจากนั้นนำมารวมกัน 10 กำหรือ 10 กก. เพียงเท่านี้ก็พร้อมจำหน่าย

การจำหน่าย :  การจำหน่ายตะไคร้หยวกในปัจจุบันทางสวนจะส่งขายอยู่ที่  10  บาทต่อกิโลกรัมโดยจะต้องซื้อเป็นมัดๆ  มัดละ  10  กิโลกรัม  ส่วนการขายปลีกนั้นจะจำหน่ายที่ราคากิโลกรัมละ  13  บาท  โดยที่ผ่านมาที่สวนปลูกตะไคร้หยวกไว้ในพื้นที่เกือบ 90 ไร่ โดยผลผลิตจะนำไปจำหน่ายสดแก่แม่ค้าในพื้นที่และตลาดใหญ่ๆ  ในกทม.  นอกจากนี้ยังมีบริษัทผู้ส่งออกมารับซื้อผลผลิตไปแปรรูปเป็นน้ำตะไคร้  พร้อมดื่มยี่ห้อ  ดรีมดริ๊ง  สเปรย์น้ำมันตะไคร้หอมกันยุง  ฯลฯ


ข้อมูลอ้างอิง  :  https://www.rakbankerd.com/

โพสต์โดย : POK@