ตะไคร้ หรือ ที่ฝรั่งเรียกกันว่า Lemon grass ตามลักษณะที่มีกลิ่นหอมเย็นเหมือนเลมอน เป็นพืชตระกูลหญ้าที่ปลูกง่ายมากในบ้านเรา มักจะมีปลูกไว้เป็นพืชผักสวนครัวแทบทุกบ้าน ด้วยอาหารไทยจะต้องมีตะไคร้เป็นส่วนประกอบทั้งอาหารประเภทต้มหรือแกง ต้มยำจะขาดตะไคร้ไม่ได้เลย ยิ่งเป็นอาหารทะเลหรือเนื้อสัตว์ตะไคร้จะช่วยดับกลิ่นคาวได้เป็นอย่างดี และทำให้อาหารมีกลิ่นหอมมากขึ้น
ตะไคร้จะมีลักษณะใบที่คมสีเขียวยาวแหลม ใบมีกลิ่นหอมแต่กลิ่นไม่แรงมาก อีกทั้งใบมีเส้นใยมาก จึงมักถูกตัดทิ้งหรือนำไปใช้ด้านอื่น เช่น สกัดน้ำมันหอมระเหยหรือผลิตเป็นชาตะไคร้ แต่หากจะนำมาประกอบอาหารจะใช้เฉพาะส่วนเหง้าและกาบใบที่มีน้ำมันหอมระเหยมากให้กลิ่นแรงมาปรุงอาหาร เมื่อจะใช้จะต้องตัดส่วนโคนหรือส่วนรากที่แข็งออก กาบใบส่วนใกล้โคนจะอ่อนมาก สามารถกินสดได้ แต่เมื่อต้นสูงขึ้นไปความแข็งจะเพิ่มมากขึ้น
ในบ้านเรามีการปลูกตะไคร้เชิงการค้ากระจายอยู่ทั่วไป เนื่องจากมีประมาณความต้องการใช้เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน โดยจากการสังเกตราคาซื้อ-ขายโดยประมาณพบว่าตะไคร้จะมีราคาสูงขึ้นในฤดูแล้ง คือ เดือนกุมภาพันธ์ เดือนเมษายน โดยราคาจะขยับตัวสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5 บาท ไปจนถึง 15 บาท ซึ่งหากเกษตรกรที่เริ่มปลูกตะไคร้ควรกำหนดช่วงเวลาให้ตะไคร้เก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งตะไคร้นั้นหลังจากปลุกไปแล้วจะใช้ระยะเวลา 6-8 เดือน จึงสามารถตัดหรือขุดขายได้แต่อย่าลืมว่าการจะทำตะไคร้ให้ดี มีความสมบูรณ์ ลำต้นอวบอ้วน เป็นที่ต้องการของตลาด พื้นที่ดังกล่าวจะต้องมีน้ำให้อย่างสม่ำเสมอนั่นเอง
สวนพฤกษาพรรณวดี ตัวอย่างสวนตะไคร้ที่มี คุณวิเชียร สีขาว เป็นเจ้าของและประสบความสำเร็จในการปลูกตะไคร้ เริ่มต้นปลูกในครั้งแรกในพื้นที่ 5 ไร่ และ ขยายพื้นที่ปลูกตะไคร้ในปี 2553 เป็น 30 ไร่ และ ในปี 2554 ได้ขยายพื้นที่ปลุกตะไคร้ออกไปครบ 90 ไร่ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการของตลาด คุณวิเชียรเล่าว่า ตลาดของตะไคร้ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี อย่างผลผลิตตะไคร้จากสวนคุณวิเชียรจะเลือกปลูกตะไคร้พันธุ์ ขาวเกษตร หรือ เรียกว่า ตะไคร้หยวก ที่มีลักษณะลำต้นและกาบสีขาว ลำต้นอวบอ้วนเป็นที่ต้องการของตลาด ขายส่งในประเทศและส่งออก หรือ นำไปแปรรูป เช่น การอบแห้งตะไคร้หยวกจะมีสีขาวดูสะอาด แต่ตะไคร้อีกสายพันุ์หนึ่งที่มีปลูกในบ้านเรา คุณวิเชียรอธิบายว่าจะมีตะไคร้พันธุ์กาบแดง โดยกาบของลำต้นจะมีสีแดง มีกลิ่นฉุน ตะไคร้กาบแดงจึงเหมาะแก่การปลูกส่งโรงงานทำน้ำพริกและทำเครื่องแกงเนื่องจากมีกลิ่นฉุน โดยการนำไปใช้ ตะไคร้กาบแดง 1 ต้น จะหั่นได้แค่ ครึ่งต้น แต่ถ้าเป็นตะไคร้หยวก จะหั่นใช้ได้เกือบทั้งต้น ซึ่งเหมาะต่อการนำมาประกอบอาหารที่ต้องการปริมาณมาก
การปลูกตะไคร้หยวก พันธุ์ขาวเกษตร แบบสวนพรรณวดี :
คุณวิเชียรเล่าว่า การจะทำตะไคร้ให้ได้ผลผลิตออกมาเป็นที่น่าพอใจนั้นมีหลาย ซึ่งแต่ละสวนจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของสวนเอง อาจมีรูปแบบและวิธีการที่คล้ายคลึงกันบ้าง แต่นั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเหมือนกันโดยทั้งหมดซึ่งทางสวนพรรณวดีจะปลูกตะไคร้ตามหลักวิชาการเกษตรผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ เริ่มต้นจาก ไถดะพลิกหน้าดินให้ลึก เพื่อดินจะได้ร่วนซุยและโปร่ง น้ำจะได้ไม่ขัง และเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี เสร็จแล้วไถแปรและไถพรวนชักร่องเหมือนกับการปลูกอ้อย หลังจากนั้นตากแดดหน้าดินเป็นเวลา 5-7 วัน เพื่อหมักวัชพืชให้ตายและเป็นการฆ่าเชื้อราในดินด้วย ระหว่างที่รอตากหน้าดินนั้นก็ทำการเตรียมกล้าพันธุ์ตะไคร้ไปพร้อมๆ กัน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา โดยตัดรากและส่วนใบออก ให้เหลือความยาวลำต้นประมาฯ 20-50 เซนติเมตร จากนั้นให้ทำการแช่ลำต้นกับน้ำเปล่า โดยนำส่วนที่เป็นรากแช่ทิ้งไว้ 5 วัน หลังจากนั้นรากใหม่จะเริ่มงอกออก และมีสีเหลืองซึ่งพร้อมสำหรับการปลูก
คุณวิเชียรยังเสริมอีกว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องทราบ คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะใช้กล้าพันธุ์ตะไคร้หยวกด้วยปริมาณเท่าใดจึงจะเพียงพอในการเพาะปลูกในพื้นที่ขนาด 1 ไร่ เท่ากับ 1,600 ตารางเมตร และ สูตรในการคำนวณหาพื้นที่ก็คือกว้าง*ยาว ดังนั้นจึงสมมุติฐานเบื้องต้นก่อนว่าด้านกว้างน่าจะ 40 เมตร และ ด้านยาว ก็เช่นกัน น่าจะ 40 เมตร เพราะ 40*40
เมตร เท่ากับ 1,600 ตรม. นั่นเอง ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้วพื้นที่อาจจะไม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสดังที่ตั้งสมมุติฐานขึ้นมาก็ตาม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการคำนวณบ้างเป็นของธรรมดา
ตามหลักการทั่วๆ ไป แล้วนิยมปลูกด้วยระยะห่างหลุมต่อหลุม หรือ กอต่อกอ เท่ากับ 80 ซม. นั่นก็หมายความว่าจะได้จำนวน แนวหรือแถวของหลุม เท่ากับ 49*49 หลุม เนื่องจากระยะความกว้าง 40 เมตร หาร 0.8 เมตร (80 เซนติเมตร) เท่ากับ 50 เมตร แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วไม่มีใครปลุกตรงตำแหน่งขอบพื้นที่พอดี เมื่อได้ตัวเลข 49 มา ก็นำมาคูณกันหรือยกกำลัง 2 ก็จะได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 2,400 หลุม โดยปกติการปลูกจะใช้กล้าพันธุ์ 3 ต้นต่อหลุม ทำให้จำนวนต้นทั้งหมดที่ต้องใช้ปลูกเท่ากับ 7,200 ต้น โดยทั่วไปแล้วเมื่อโตเต็มที่แล้ว 25 ต้นก็จะเท่ากับ 1 กิโลกรัม หรือ ใครจะนำ 25 ไปหาร 7,200 ต้นก็ได้ ผลลัพธ์ก็จะเท่ากับ 288 กิโลกรัมต่อต้น แต่นี่ไม่ใช่บทสรุปคุณวิเชียรกล่าว ในสภาพความเป็นจริงในการทำงาน ระยะห่างของหลุมต่อหลุมอาจจะไม่เท่ากัน ซึ่งถ้าระยะห่างน้อยกว่า 80 ซม. ก็จะทำให้จำนวนหลุมเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าจะต้องใช้กล้าพันธุ์ตะไคร้หยวกเพิ่มขึ้น เช่นกัน หรือในบางกรณีกล้าพันธุ์โตไม่เต็มที่ คนปลูกอาจเกรงว่าต้นที่เล็กจะตายจึงได้เพิ่มขึ้น จึงรวมเป็น 4-5 ต้น จึงส่งผลให้สิ่งที่คำนวรนั้นมีความคลาดเคลื่อนไปตามสภาพของตัวแปรต่างๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นสวนเราจะใช้กล้าพันธุ์ตะไคร้หยวกในการเพาะปลุก 600-900 กิโลกรัมต่อไร่
การปลูกตะไคร้ : ให้ขุดหลุมลึก 10 เซนติเมตรแล้วนำกล้าตะไคร้ที่ผ่านการเพาะชำจนรากใหม่งอกออกใส่ลงไปในหลุม 3 ต้น แล้วฝังกลบ ซึ่งภายหลังจากเพาะปลูกเป็นเวลา 2-3 เดือน ตะไคร้จะเริ่มแตกกอ ควรจะมีการรดน้ำบ้างในบางช่วงที่ขาดน้ำฝน แต่สำหรับที่สวนคุณวิเชียร จะมีแหล่งน้ำเป็นของตัวเองโดยผันน้ำเข้ามาจากคลองบางละมุง จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด กล่าวได้ว่ามีน้ำรดตลอดทั้งปี สามารถทำการเพาะปลูกได้ทุกฤดูกาล
หมั่นดูแลวัชพืชในช่วง 2-3 เดือน หลังจากลงแปลงปลูก แต่หลังจากตะไคร้ขึ้นกอแล้ว วัชพืชจะลดลงเองโดยอัตโนมัติ เมื่อตะไคร้เริ่มเป็นกอในเดือนที่ 4 ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของลำต้น คอยดุแลใบตะไคร้อยู่เสมออย่าปล่อยให้ปลายใบแห้ง ควรมีการตัดแต่งใบเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต เมื่อครบอายุ 6 เดือน ตะไคร้จะเจริญเติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวตะไคร้หยวก : ควรตัดความยาวลำต้นประมาณ 17 นิ้ว แล้วมัดเป็นกำๆ ละ 1 กิโลกรัม และหลังจากนั้นนำมารวมกัน 10 กำหรือ 10 กก. เพียงเท่านี้ก็พร้อมจำหน่าย
การจำหน่าย : การจำหน่ายตะไคร้หยวกในปัจจุบันทางสวนจะส่งขายอยู่ที่ 10 บาทต่อกิโลกรัมโดยจะต้องซื้อเป็นมัดๆ มัดละ 10 กิโลกรัม ส่วนการขายปลีกนั้นจะจำหน่ายที่ราคากิโลกรัมละ 13 บาท โดยที่ผ่านมาที่สวนปลูกตะไคร้หยวกไว้ในพื้นที่เกือบ 90 ไร่ โดยผลผลิตจะนำไปจำหน่ายสดแก่แม่ค้าในพื้นที่และตลาดใหญ่ๆ ในกทม. นอกจากนี้ยังมีบริษัทผู้ส่งออกมารับซื้อผลผลิตไปแปรรูปเป็นน้ำตะไคร้ พร้อมดื่มยี่ห้อ ดรีมดริ๊ง สเปรย์น้ำมันตะไคร้หอมกันยุง ฯลฯ