วิธีการปลูก และดูแล มะยงชิด
วิธีการปลูก และดูแล มะยงชิด
นายจรูญ จ วนเจริญ ปัจจุบัน อายุ 62 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 81/1 หมู่ 10 ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก พื้นที่ในการทำการเกษตรทั้งหมด 31 ไร่ ก่อนที่จะมา
ปลูกมะยงชิด และกะท้อนนั้น เคยทำนามาก่อนแล้วเกิดน้ำท่วมในปี 38 ทำให้ผลผลิตนั้นเสียหายไปมาก กระทั่งได้เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) กับสำนักงานเกษตรจังหวัดนครนายก และ ธกส. โดยจัดทำแผนการผลิตและขอกู้เงินจาก ธกส. จำนวน 130,000 บาท และปรับพื้นที่นา 10 ไร่ ยกร่องปลูกมะปรางหวานมะยงชิด กระท้อน และเริ่มขยายพันธ์มะยงชิดเพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันนี้
สวนมะปรางตาจรูญ มีต้นมะปรางหวานและมะยงชิดประมาณ 300 ต้น มีผลผลิตประมาณปีละ 2 ตัน ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาสวนมะปรางหวาน มะยงชิด ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อให้บริการความรู้เกี่ยวกับการปลูก การดูแลรักษามะปรางหวานมะยงชิด แก่ผู้ที่สนใจทำให้ทุกวันนี้สวนตา-ยาย แห่งนี้มีรายได้จากการให้บริการ และการจำหน่ายผลผลิต และกิ่งพันธุ์มะปรางหวานมะยงชิดมากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งผลผลิตและกิ่งพันธุ์ของที่นี่ ไม่จำเป็นต้องนำไปจำหน่ายที่อื่น เพราะจะมีนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจไปเลือกชม เลือกชิมและเลือกซื้อกันเองถึงสวน ซึ่งในปีนี้มะปรางหวานมะยงชิดของที่นี้จะเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป
ความสามารถโดดเด่นของคุณจรูญ คือเกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ ด้านการขยายพันธุ์พืช (กระท้อน มะยงชิด) ประดิษฐ์เครื่องห่อกระท้อนแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ผลิตน้ำหมักชีวภาพ และฮอร์โมนบำรุงพืชต่างๆ น้ำหมักหอยเชอรี่เร่งการเจริญเติบโต จัดระบบสวน ระบบน้ำ ศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ บ่อเลี้ยงปลา และศูนย์ท่องเที่ยวเชิงเกษตร
การทำการเกษตรตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่เน้นในเรื่องไม้ผลที่เป็นที่นิยมของจังหวัดนครนายกที่สร้างชื่อเสียง ดังนี้
1. พื้นที่อยู่อาศัย จำนวน 1 ไร่
2. พื้นที่การทำนา จำนวน 12 ไร่
3. พื้นที่การทำไม้ผล มะยงชิด (ยกร่อง) จำนวน 9 ไร่
4. พื้นที่การปลูกกะท้อน และไม้ผลอื่นๆ (ยกร่อง) จำนวน 10 ไร่
โดยการปลูกไม้ผลของคุณจรูญนั้นจะเน้นการปลูกมะยงชิดพันธุ์ทูลเกล้า (พันธุ์มาจากจังหวัดนนทบุรี) แบบยกร่อง และกะท้อนพันธุ์อีล่า และปุยฝ้ายหวานห่อแบบยกร่อง ส่วนบริเวณอื่นๆ ก็จะมีการเลี้ยงปลาเบญจพรรณในร่องน้ำและมีจุดกักเก็บน้ำ 1 จุด เป็นบ่อลึกสามารถบรรจุน้ำได้ถึง 1,600 ลบ.ม. ขุดโดยกรมชลประทานทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปีอีกทั้งหลังจากที่มีการสร้างเขื่อนนครนายกก็ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมแล้วทั้งที่เป็นที่ลุ่มสร้างความสะดวกสบายให้กับเกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก
การปลูกสภาพดินเหนียวอุ้มน้ำและปุ๋ยดี แนะนำการปลูกในสภาพดินเหนียวก่อน ตัวอย่าง จะต้องปลูกพูนดินแบบหลังเต่า ขุดหลุมกว้าง 30 40 เซนติเมตร ลึก 20 30 เซนติเมตร ยิ่งใหญ่ก็ดี ใช้ผสมมูลวัวแห้งหลุมละ 10 กิโลกรัม แกลบดิบ 5 กิโลกรัม คลุกเคล้ากับดินในหลุมให้เข้ากันดีแล้วเอาดินที่คลุกเคล้ากันดีแล้วกลบลงในหลุมให้ตื้นเหลือ 10-15 เซนติเมตร
ข้อดีและเทคนิคการปลูกแบบยกร่อง : การปลูกมะปรางหวาน และมะยงชิดแบบยกร่องสามารถควบคุมความชื้นได้ดี โดยช่วงเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม เมื่อถึงต้นฤดูหนาว ก็ระบายน้ำในร่องออกเพื่อให้ดินแห้งเร็ว จากนั้นก็ตัดหญ้ากำจัดวัชพืช ทำพื้นดินให้แห้ง เมื่อกระทบกับอากาศหนาว มะปรางหวาน และมะยงชิดก็จะแทงช่อดอกออกมาให้เห็น ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวของมะปรางหวาน และมะยงชิดนับตั้งแต่วันดอกบานจนถึงผลสุกเก็บเกี่ยวได้ จะใช้เวลาประมาณ 75 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความชื้น
การดูแล : ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ สูตร 16-16-16 เดือนละครั้งๆ ละ 1 ช้อนแกง หรือ 20 วันครั้ง ทุกครั้งที่มะยงชิดแตกใบอ่อนต้องป้องกันแมลงทำลายใบอ่อนด้วยสารเคมีหรือสมุนไพร ถ้าเคมีใช้ เอส 85 ฉีดพ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน สมุนไพรห่างกัน 3 วันครั้ง
การให้น้ำ : ในระยะแรกปลูก 2-3 เดือน ควรมีการให้น้ำมะปรางให้ชุ่มอยู่เสมอ โดยให้น้ำวันเว้นวัน เมื่ออายุ 3-6 เดือน ให้น้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เว้นแต่ช่วงฝนตกงดการให้น้ำ มะปรางที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งควรมีการให้น้ำ 15-20 วันต่อครั้ง และหากมีแสงแดดในช่วงระยะปลูกใหม่ๆ ควรมีการใช้วัสดุพรางแสงให้ต้นมะปรางด้วยและทุกครั้งที่เห็นมะปรางแตกใบอ่อนใหม่ๆ ช่วงดังกล่าวควรมีการให้น้ำมะปรางอยู่เสมอ ใบมะปรางที่ออกมาชุดใหม่จะมีใบสมบูรณ์ ขนาดของใบค่อนข้างใหญ่และมีการแตกกิ่งก้านยอดใหม่ได้ยาวกว่าการไม่มีการรดน้ำในช่วงดังกล่าว เมื่อฝนทิ้งช่วงอากาศร้อนต้องให้น้ำทุกวัน พร้อมทั้งฉีดพ่นยากำจัดเชื้อราเป็นระยะเวลา 3 ปี ติดผล สำหรับมะปรางที่ให้ผลผลิตแล้วการให้น้ำมะปรางมีผลต่อการติดดอกออกผลและคุณภาพของผลมะปรางมาก โดยทั่วๆ ไปแล้วมะปรางจะเริ่มออกดอกประมาณเดือนพฤศจิกายน - เดือนธันวาคม ก่อนที่มะปรางจะออกดอกติดผล 2-3 เดือน ควรงดการให้น้ำมะปรางเพื่อให้มะปรางสะสมอาหารพร้อมที่จะออกดอกได้ดี ช่วงดังกล่าวถ้ามีการให้น้ำอยู่เสมอมะปรางจะแตกใบอ่อนไม่มีการออกดอกติดผลหลังจากมะปรางออกดอกติดผลแล้ว ควรมีการให้น้ำมะปรางเป็นระยะ โดยให้น้ำมะปรางครั้งละน้อยๆ ก่อน เพื่อให้ต้นมะปรางปรับตัวได้ดี ไม่ควรให้น้ำเป็นปริมาณมากพอทันทีทันใดมะปรางปรับตัวไม่ทันผลร่วงหมด
สำหรับสวนตาจรูญ จะแบ่งระยะการดูแลเป็น 3 ระยะ ระยะละ 4 เดือน ครบ 1 ปีพอดี รวมค่าใช้จ่ายในการดูแล 36,500 บาทต่อปี ทุกระยะมีเวลาจะเสริมด้วยปุ๋ยน้ำชีวภาพสกัดจากตัวหอยเชอรี่, ปลาและพืชผักผลไม้ตลอดเวลาที่ว่าง โดยพยายามหลีกเลี่ยงสารเคมี การดูแลมะยงชิดของตาจรูญจะเริ่มตั้งแต่หลังจากเก็บผลผลิตหลังเดือนมีนาคมเสร็จ คือตั้งแต่เมษายนถึงพฤษภาคม จะเริ่มตัดแต่งกิ่งมะยงชิดให้เสร็จ จากนั้นก็ลงปุ๋ยคอกบำรุงต้นและผล ต่อมาในช่วงพฤษภาคมถึงกรกฎาคมก็จะเริ่มใส่ปุ๋ยเคมีเดือนละ 1 ครั้ง การให้ปุ๋ยทางใบจากการหมักปลาก็ต้องให้ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมหลังจากที่ตัดแต่งกิ่งเรียบร้อยแล้ว และอีกหนึ่งครั้งในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมเป็นการดูแลรักษา ในช่วงฝนเดือนกันยายนถึงตุลาคมก็ต้องมีการระบายน้ำเข้าสู่ร่องน้ำแล้วเสริมด้วยปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ทำจากหอยเชอรี่ไปกับน้ำที่ระบายเข้าสู่ร่องน้ำด้วย
ระยะที่ 1 ตั้งแต่เก็บผลผลิตหมด คือ สิ้นเดือนมีนาคม พอขึ้นต้นเดือนเมษายนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ระยะนี้เป็นระยะบำรุงต้นให้สมบูรณ์แข็งแรงด้วยปุ๋ยคอก(ขี้วัว) 500 กระสอบ (ราคากระสอบละ 15-16 บาท) น้ำหนัก 7,500 กิโลกรัม (ราคากิโลกรัมละ 1 บาท) เป็นเงิน 7,500 บาท เสริมรากด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 จำนวน 350 กิโลกรัม เป็นเงินประมาณ 5,000 บาท แล้วเสริมด้วยปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพ
ระยะที่ 2 ระยะสะสมอาหารเพื่อการออกดอก นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม สิ้นเดือนพฤศจิกายนรวม 4 เดือน ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 จำนวน 10 กระสอบ (500 กิโลกรัม เป็นเงิน 7,500 บาท) เสริมด้วยปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพจากไข่หอยเชอรี่ ฉีดให้ทางใบเพื่อเป็นฮอร์โมนให้พลังงานแก่ไม้ผลก่อนออกดอก
ระยะที่ 3 ระยะติดดอก 4 เดือน นับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมถึงสิ้นเดือนมีนาคม เก็บผลขายหมดพอดีใช้ปุ๋ยคอกขี้วัว 50 กระสอบ 7,500 กิโลกรัม (กิโลกรัมละ 1 บาท เป็นเงิน 7,500 บาท) เสริมด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 จำนวน 10 กระสอบ 500 กิโลกรัม เป็นเงิน 7,000 บาท ใช้เพื่อเร่งให้เนื้อแน่นเพิ่มความหวานอร่อย
การป้องกันเชื้อราเข้าไปทำลายต้นมะยงชิด
คุณตาจรูญ จวนเจริญ เกษตรกรมีความเชียวชาญของเกษตรกร เกษตรกรด้านไม้ผล (มะยงชิดและกะท้อนหวานห่อ) ได้ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลต้นมะยงชิดในช่วงฤดูฝน หรือช่วงที่มีฝนตกชุก ได้บอกว่า เมื่อฝนตก การที่เกษตรกรได้ทำการตัดแต่งต้นมะยงชิดนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่อาจจะเป็นอันตรายต่อต้นพืชเช่นเดียวกัน เพราะจะมีเชื้อโรคหรือเชื้อราที่สามารถเข้าไปทำลายต้นมะยงชิดได้ ดังนั้นจึงต้องมีการดูแลอย่างดี
คุณตาจรูญ ได้ศึกษาวิธีการดูแลรักษาต้นมะยงชิดหลายรูปแบบ จนมาหยุดอยู่ที่การดูแลต้นมะยงชิดด้วยวิธีง่ายๆ หลังจากที่เกษตรกรตัดแต่งกิ่งต้นมะยงชิดแล้วก็ ให้นำสีน้ำมันมาทาบริเวณที่ตัดกิ่งออกไป เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าไปทำลายต้น ยิ่งช่วงฝนตกนั้นต้องระมัดระวังเชื้อราที่เข้าไปทำลายกิ่งก้าน และลำต้นของมะยงชิดด้วย เป็นการป้องกันแบบง่ายๆและได้ผลอย่างดีด้วย
ข้อมูลอ้างอิง : https://www.rakbankerd.com
โพสต์โดย : POK@