Social :



วิธีการปลูก และดูแล บ๊วย

18 ม.ค. 62 12:01
วิธีการปลูก และดูแล บ๊วย

วิธีการปลูก และดูแล บ๊วย

วิธีการปลูก และดูแล บ๊วย

บ๊วย   ( Prunus mume Sieb.et.Zicc.)  เป็นไม้ผลเขตหนาวที่ใช้ในการแปรรูป โดยทั่วไปจะมีอายุยาวนานหลายสิบปี  ทรงต้นมีขนาดใหญ่  แข็งแรง  และทนแล้งได้ดี  ดอกจะออกในเดือนธันวาคม มีสีขาวสวยงามมาก  พันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นการค้า  ได้แก่  พันธุ์จากไต้หวัน

รายละเอียดมาตรฐานคุณภาพ  :  คุณภาพมาตรฐานผลผลิตของบ๊วย  จะถูกกำหนดโดยโรงงานที่ทำการแปรรูปซึ่งโดยทั่วไปแล้ว  ผลบ๊วยต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่  2  เซนติเมตร์ขึ้นไปลักษณะผลดี  เช่น  ผิวผลเรียบสวยไม่มีตำหนิ  ปราศจากโรค  และแมลงต่างๆ

ช่วงการส่งผลผลิตออกสู่ตลาด  :  ปลายเดือนมีนาคม-เดือนเมษายน


การปลูกและการบำรุงรักษา 
ดิน : ควรเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีการระบายน้ำดี

ระยะปลูก  :   ที่เหมาะสมควร  10 x 10  เมตร

อุณหภูมิ  :  บ๊วยต้องการช่วงสภาพอากาศที่หนาวเย็นในช่วงเวลาหนึ่ง สำหรับที่จะทำลายการพักตัวของตาซึ่งตาจะแตกออกมาในฤดูใบไม้ผลิ  แต่บ๊วยไม่ต้องการอากาศที่หนาวเย็นนานมากนัก ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยของบ๊วยจะอยู่ประมาณ  13 - 15  องศาเซลเซียส  ถ้าเย็นจัดจนกระทั่งถึงจุดที่ทำให้เกิดน้ำค้างแข็ง  ย่อมจะเป็นอันตราย  โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นในช่วงที่บ๊วยกำลังผลิดอก ผลิใบ หรือเริ่มติดผล หรือใบอ่อนแห้งและร่วงเสียหายได้

การเตรียมหลุมปลูก  :   ควรจะให้กว้างและลึกพอสมควร ควรขุดขนาด  0.7 x 0.7 x 0.7  เมตร  รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก  ปุ๋ยหมักหรือเศษพืชที่เน่าเปื่อยผุพังแล้วประมาณ  20 - 25  กิโลกรัม  จะทำให้ดินมีคุณสมบัติที่ดี ร่วน โปร่ง รากเจริญได้เร็ว อาจผสมปุ๋ยเคมีสูตร  15-15-15  หรือ  12-24-12  ประมาณ  100-200  กรัมต่อหลุม  เนื่องจากระบบรากของไม้ผลมีระบบรากลึก การเตรียมหลุมปลูกดีจะช่วยในการเติบโตและให้ผลต่อๆไปอย่างมาก

การให้น้ำ   :  ในระยะที่บ๊วยออกดอกตั้งแต่เดือนธันวาคม  จนกระทั่งผลแก่และสุกเก็บเกี่ยวได้ในเดือนมีนาคม-เมษายน  ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงดังกล่าวจะเป็นช่วงที่แห้งแล้ง  ต้นบ๊วยขาดน้ำสำหรับการเจริญเติบโต  ดังนั้นในช่วงนี้จำเป็นที่จะต้องให้น้ำมาก  บ๊วยที่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอตั้งแต่ช่วงเริ่มออกดอก  จะทำให้มีการติดผลดีและให้ผลผลิตที่สูง  อย่างไรก็ตามสภาพบนพื้นที่สูงมักจะประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนแหล่งน้ำสำหรับใช้ในการเกษตรอยู่เสมอ ดังนั้นการให้น้ำแบบประหยัด  เช่น  แบบหยด จึงเป็นวิธีที่ดี

การให้ปุ๋ย   :   ควรจะให้ปีละ  2  ครั้งเป็นอย่างน้อย  คือ  ครั้งแรกในขณะที่ตาเริ่มแตกหรือก่อนออกดอกเล็กน้อยและอีกครั้งหนึ่งเมื่อเก็บผลแล้ว  ก่อนที่บ๊วยจะพักตัวหรืออาจจะแบ่งให้อีกครั้ง  ในขณะที่ผลกำลังเจริญเติบโตก็ได้

การตัดแต่งกิ่ง   :   การตัดแต่งบ๊วย ควรใช้แบบ  open  center  ฤดูกาลที่เหมาะคือในระยะที่ต้นกำลังพักตัว


การเก็บเกี่ยว  
ตามปกติจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ระยะเวลาตั้งแต่ดอกบานเต็มที่ จนกระทั่งเก็บผล ประมาณ  100-120  วัน  อาจจะต้องทยอยเก็บ 2-3 ครั้ง เนื่องจากผลแก่ไม่พร้อมกัน การใช้สารเคมีบางชนิด  เช่น  Ethrel 
Lif
อัตราความเข้มข้น  500-1,000  ppm.  ฉีดพ่นก่อนที่ผลจะเก็บเกี่ยวได้ประมาณ  15-20  วัน  จะช่วยให้ผลแก่และเก็บเกี่ยวได้พร้อมกัน

วิธีการเก็บเกี่ยว  :   บางกรณีใช้ เขย่ากิ่ง หรือต้นให้ผลร่วงลงมาโดยมีคนคอยขึงผ้าพลาสติกทั้ง 4 ด้าน รองรับอยู่ข้างล่าง ซึ่งจะมีผลแตกหรือช้ำมาก ควรใช้บันไดปีนขึ้นไปเก็บผลแต่ละผลใส่ลงในตะกร้าหรือภาชนะที่เตรียมขึ้นไปก็ได้ ถึงแม้จะต้องใช้แรงงานและเสียเวลามาก ซึ่งมีอัตราค่าจ้างค่อนข้างต่ำ การเก็บแต่ละผล จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมมากกว่าวิธีอื่น

ช่วงความแก่ที่สมบูรณ์นั้น  อาจจะดูได้จากสีผิวของผล  ผลจะเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวอมเหลือง  หรืออาจจะมีสีแดงแต้มประปราย  ตามแต่ชนิดและพันธุ์ของบ๊วย สำหรับบ๊วยแล้วการใช้สีผิวของผล สามารถใช้เป็นค่าดัชนีในการเก็บเกี่ยวผลได้เป็นอย่างดี  อย่างไรก็ตามการใช้ค่าทางเคมีบางอย่างก็ใช้ประกอบการบอกค่าความแก่สมบูรณ์เช่นเดียวกัน


1. โรคผลจุดลาย
สาเหตุ  :   เกิดจากเชื้อราในกลุ่มของ Hyphomycetes ลักษณะคล้าย Ramularia sp.
ลักษณะอาการ  :  อาการผลจุดลายของบ๊วยเพิ่งพบระบาดปี  2535  ในพื้นที่หลายแห่ง  เช่น  แม่ปูนหลวง  แม่แฮ  และปางอุ๋ง  อาการที่พบบนผลคือ  พบจุดสีน้ำตาลเข้มค่อนข้างกลม  เมื่อใช้เล็บขูดจะออกโดยง่าย  อาการดังกล่าวสามารถเกิดกระจายได้ทั่วต้น
การป้องกันกำจัด  :   ฉีดพ่นสารเคมี  แคปแทนทันทีที่พบอาการและในช่วงก่อนออกดอก  ควรฉีดพ่นสารเคมีคูปราวิท  ทุก  15  วัน  จนกว่าจะเก็บเกี่ยว  เพื่อป้องกันการระบาดของโรคดังกล่าว  (และโรคที่เกิดกับกิ่งบ๊วยด้วย)

2. โรคใบรู
สาเหตุ : พบเชื้อรา  2  ชนิดที่เกี่ยวข้องคือ  Cercospora  sp.  และ  Colletotrichum sp.
ลักษณะอาการ  :  อาการของโรคใบรู  พบเห็นได้ทั่วไปในท้อ  หรือพลัม  ในระหว่างฤดูฝน  แต่ปัจจุบันเริ่มพบอาการของใบรูระบาดรุนแรงในบ๊วย  ที่ศูนย์ฯปางบง (แปลงบ้านห้วยแก้ว)  โดยอาการดังกล่าวสามารถทำให้ต้นบ๊วยใบร่วงเกือบทั้งต้น  ในระยะแรกจะพบอาการจุดกลมสีม่วงแดง  จากนั้นเนื้อเยื่อตรงกลางแผลจะหลุดออกทำให้ใบเป็นรู
การป้องกันกำจัด  :   ถ้าพบการระบาด  ฉีดพ่น  เบนเลท  โอดี  เดือนละครั้ง  ถ้าพบอาการเพียงเล็กน้อยให้ใช้  ดาโคนิค  หรือไดเทน  เอ็ม-45  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ฉีดพ่นทุก  15  วัน  จนกว่าอาการจะดีขึ้น

แมลงศัตรูบ๊วย
พวกหนอนกินใบ   มีน้อย  ไม่มีปัญหา อาจจะมีพวก หนอนเจาะกิ่ง  หรือลำต้นจนทำให้กิ่งหักเสียหายได้  อาจจะใช้โฟลิดอลแดเข้าไปในรูที่พบว่าหนอนเจาะแล้วเอาดินเหนียวอุดไว้
เพลี้ยอ่อน  เป็นศัตรูพืชที่พบบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่บ๊วยเริ่มแตกใบอ่อน จะทำให้ใบหงิก  หรือขด  ม้วน  สังเกตเห็นได้ง่าย  ซึ่งมักจะเกิดขึ้นมากในช่วงที่มีอากาศแห้งแล้ง  อาจใช้น้ำฉีดพ่นใบบริเวณที่มีเพลี้ยอ่อนเข้าทำลาย  ถ้าระบาดมากก็ควรพ่นด้วยยากำจัดแมลง เช่น มาลาไธออน


ข้อมูลอ้างอิง  :  https://www.rakbankerd.com/

โพสต์โดย : POK@