วิธีการปลูก และดูแล ละหุ่ง
วิธีการปลูก และดูแล ละหุ่ง
ละหุ่ง (Castor) จัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งในอดีต เพราะเมล็ดนำมาสกัดน้ำมัน ซึ่งถูกใช้มากในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การผลิตน้ำมันหล่อลื่น สี หมึกพิมพ์ น้ำมันขัดเงา สบู่ และลิปสติก เป็นต้น รวมถึงใช้กากหลังการสกัดเป็นส่วนผสมอาหารสัตว์ เพราะมีโปรตีนสูง แต่ต้องกำจัดสารพิษก่อน ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง เพราะมีการใช้น้ำมันจากแหล่งอื่นมาใช้แทน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
ละหุ่ง เป็นพืชล้มลุกฤดูเดียวหรือมีอายุข้ามปี ลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 2-6 เมตร ลำต้นแตกกิ่งแขนงออกน้อย ทำให้แลดูเป็นทรงพุ่มโปร่ง เปลือกลำต้น และกิ่งมีทั้งสีเขียว สีน้ำตาล สีเหลืองหรือสีม่วงแดง และอาจมีนวลสีขาวปกคลุม ซึ่งแตกต่างกันตามสายพันธุ์ ส่วนแก่นลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน เปราะหักง่าย
ใบ
ละหุ่ง เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ แทงใบออกเดี่ยวๆเรียงสลับตามลำต้น ใบมีก้านใบทรงกลมยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร ถัดมาเป็นแผ่นใบที่มีลักษณะเว้าเป็นแฉกๆคล้ายใบมะละกอ แต่ก้านใบละหุ่งจะเชื่อมกับแผ่นใบบริเวณตรงกลาง แผ่นมีขนาดประมาณ 20-60 เซนติเมตร แต่ขนาดใบจะแตกต่างตามสายพันธุ์ แผ่นใบเป็นแฉกเว้า ประมาณ 7-11 แฉก เรียงกันเป็นวงกลม แต่ละแฉกมีโคนเชื่อมติดกัน แผ่นแต่ละแฉกเรียบ ขอบมีลักษณะหยักเป็นฟันเลื่อย แผ่นแฉกมีเส้นกลางใบ และเส้นแขนงใบมองเห็นชัดเจน ทั้งนี้ ทั้งก้านใบ แผ่นใบ เส้นกลางใบจะมีสีแตกต่างกันตามสายพันธุ์ อาทิ ก้านใบสีม่วงแดง ก้านใบสีเขียว เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบสีม่วงแดง เป็นต้น
ดอก
ละหุ่งออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ประกอบด้วยดอกแยกเพศ แต่จะอยู่บนช่อดอกเดียวกัน ซึ่งใช้การผสมเกสรด้วยแมลงเป็นหลัก ประกอบด้วยมีช่อดอกยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร ช่อดอกมีลักษณะเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นประกอบด้วยดอกออกเป็นกระจุกรวมกันแน่น
ดอกตัวผู้จะอยู่ด้านล่างของช่อดอก ประมาณ 50-70% ส่วนดอกตัวเมียจะอยู่ด้านบนของช่อ ประมาณ 30-50% โดยดอกตัวผู้จะไม่มีกลีบดอก มีเพียงกลีบเลี้ยงห่อหุ้มอับเรณูเอาไว้ เกสรด้านในมีสีเหลือง ส่วนดอกตัวเมียจะไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเลี้ยงหุ้มไว้เช่นกัน โดยมีด้านล่างเป็นรังไข่ ปลายเกสรมีสีเหลืองแยกออกเป็น 3 แฉก
ผล
ละหุ่งติดเป็นผลเดี่ยวที่รวมบนช่อผลเดียวกัน ผลมีลักษณะทรงกลม ขนาดผลประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร มีสีแตกต่างกันตามสายพันธุ์ เปลือกหุ้มผลหนา เปลือกหุ้มผลมีหนามปกคุลมทั่วผล คล้ายผลเงาะ ผลอ่อนมีหนามอ่อน ไม่ปักทิ่มร่างกาย แต่หากผลแก่ หนามจะแข็งขึ้น เมื่อผลแห้ง เปลือก และหนามจะแข็ง และคม เปลือกผลมีสีน้ำตาลอมดำ และปริแตกออกเป็นพูชัดเจน จำนวน 3 พู แต่ละพูมีเมล็ด 3 เมล็ด
เมล็ด
เมล็ดละหุ่งมีรูปรี และแบนเล็กน้อย ขนาดเมล็ดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร เปลือกเมล็ดเรียบ มีลายสีน้ำตาลดำ และสีครีมประ ผิวเป็นมัน และแข็ง ด้านในเมล็ดเป็นเนื้อเมล็ด สีขาวนวลหรือสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งประกอบด้วยน้ำมันจำนวนมาก
การปลูกแปลงเดี่ยว
เป็นการปลูกลงแปลงเป็นผืนใหญ่ ไม่มีพืชอื่นแซม มุ่งเพื่อเก็บเมล็ดละหุ่งเป็นหลัก อาจปลูกตั้งแต่ไม่ถึงไร่จนถึงเป็นหลายสิบไร่ แต่ละพันธุ์มีระยะปลูกแตกต่างกัน พันธุ์ต้นใหญ่ (พันธุ์พื้นเมือง) ให้ปลูกห่าง พันธุ์ต้นเล็ก (พันธุ์ต่างประเทศอายุสั้น) ให้ปลูกถี่ หากปลูกในหน้าฝนจะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ หากปลูกหน้าแล้ง ให้พิจารณาแหล่งน้ำชลประทานหรือสร้างแหล่งน้ำสำรองไว้ เมื่อเก็บผลจนหมดต้นในครั้งแรก ให้ตัดต้นทิ้ง แล้วปลูกใหม่ หรือทยอยเก็บไม่เกิน 2 ปี หลังปลูก เพราะผลผลิตละหุ่งจะสูงเฉพาะปีแรก ปีต่อมาจะลดลงมาก การปลูกใหม่จะได้กำไรคุ้มค่ากว่า
การปลูกแซมพืชอื่น
1. การปลูกแซมข้าวโพด
ในช่วงการปลูกข้าวโพด ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ที่หลังการปลูกข้าวโพดแล้ว เกษตรกรจะปลูกละหุ่ง แซมในแถวข้าวโพด โดยเก็บเกี่ยวข้าวโพดประมาณเดือนพฤศจิกายน ละหุ่งจะแตกกิ่งก้านสาขา และพร้อมเก็บเกี่ยวเมล็ดต่อในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม
2. การปลูกแซมพริก
หลังการปลูกพริกแล้วประมาณ 3 เดือน เกษตรกรจะปลูกละหุ่งแซมในแปลง หลังหลังเก็บเกี่ยวพริกแล้วจึงได้ระยะเก็บเกี่ยวเมล็ดละหุ่งต่อ
การเตรียมดิน
แปลงปลูกละหุ่งแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ แต่จำเป็นต้องไถพรวนแปลง และกำจัดวัชพืช อย่างน้อย 1 รอบ
วิธีปลูก
การปลูกละหุ่ง เกษตรนิยมปลูกในต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม ด้วยการหยอดเมล็ด เพราะสะดวก และรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด โดยขุดหลุมด้วยเสียมให้เป็นแถวๆ ลึกประมาณ 5-8 เซนติเมตร หรือไถคราดเป็นร่องตื้นๆ แบ่งการปลูกได้ ดังนี้
– สำหรับพันธุ์พื้นเมือง เนื่องจากมีลำต้น และทรงพุ่มใหญ่ ให้ปลูกแต่ละแถวห่างกัน ประมาณ 3 เมตร แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 2-3 เมตร ใช้เมล็ดประมาณ 0.5 กิโลกรัม/ไร่
– สำหรับพันธุ์ต่างประเทศ หรือพันธุ์อายุสั้น ให้ปลูกแต่ละหลุม และแถวห่างกัน ประมาณ 1-2 เมตร ใน 1 ไร่ ใช้เมล็ดประมาณ 2-2.5 กิโลกรัม
จากนั้น หยอดเมล็ด หลุมละ 2-3 เมล็ด ก่อนเกลี่ยหน้าดินกลบ และปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติ
– การถอนต้น หลังหยอดปลูกเมล็ด ประมาณ 10-15 วัน เมล็ดจะแทงต้นอ่อนให้เห็น จากนั้น ประมาณ 15-20 วัน ให้ถอนต้นกล้าที่มีขนาดเล็กหรือไม่สมบูรณ์ออก เหลือไว้ต้นที่สมบูรณ์ที่สุดเพียง 1 ต้น/หลุม
– การเด็ดยอด หากปลูกแปลงเดี่ยว เมื่อต้นละหุ่งสูงประมาณ 1 ศอก ให้เด็ดยอดทิ้ง หากปลูกแซมในพืชอื่น เมื่อโต 2 ศอก ค่อยเด็ดยอดทิ้ง ทั้งนี้ ให้เด็ดยอดในช่วงเย็น ไม่ควรเด็ดช่วงสายหรือกลางวัน เพราะอากาศร้อนจะทำให้ต้นคายน้ำทางแผลมาก
– การกำจัดวัชพืช กำจัดด้วยจอบถาก ใน 1 เดือน แรกหลังปลูก ให้เริ่มกำจัดวัชพืช ต่อไป ทุกๆ 2 เดือน/ครั้ง ซึ่งอาจใช้สารกำจัดวัชพืชฉีดพ่นก็ได้
– แมลงศัตรูพืชที่สำคัญ ได้แก่ หนอนคืบ หนอนกระทู้ เพลี้ยจักจั่น และไรแดง แต่ที่พบบ่อย และทำความเสียหายมาก คือ หนอนคืบ และเพลี้ยจักจั่น เมื่อพบระบาดให้ฉีดพ่นด้วยสารกำจัดแมลงศัตรูพืช
ระยะที่ 1 : เมล็ดเริ่มงอก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7-18 วัน เริ่มต้นจากเมล็ดดูดน้ำจนพองบวม รากแทงออกจากเปลือกเมล็ด ลำต้นอ่อนดึงใบเลี้ยงชูขึ้นเหนือผิวดิน
ระยะที่ 2 : ใบจริงคู่แรกแตกออก ใช้เวลา 7-17 วัน
ระยะที่ 3 : ละหุ่งมีใบจริง 5-6 ใบ และตาข้างเริ่มพัฒนา
ระยะที่ 4 : เนื้อเยื่อตายอดพัฒนากลายเป็นตาดอก ใช้เวลา 7-18 วัน
ระยะที่ 5 : เนื้อเยื่อตาดอกเริ่มเจริญ และพัฒนา ใช้เวลา 10-17 วัน
ระยะที่ 6 : การพัฒนาของเนื้อเยื่อเกสร และรังไข่
ระยะที่ 7 : การเติบโตของช่อดอก
ระยะที่ 8 : ช่อดอกเจริญพ้นใบที่ห่อหุ้ม ละอองเกสรแบ่งตัวออกเป็น 2 ลอน
ระยะที่ 9 : ดอกบาน และผสมเกสร
ระยะที่ 10 : การพัฒนาของผลและเมล็ด
ระยะที่ 11 : เมล็ดเริ่มแก่ ใช้เวลา 12-16 วัน
ระยะที่ 12 : เมล็ดแก่ทั้งช่อ ใช้เวลา 14-18 วัน
เมล็ดละหุ่งพันธุ์พื้นเมืองบางพันธุ์ เมื่อแก่เมล็ดจะปริแตก และร่วงลงดิน ทำให้เมล็ดเสีย แต่พันธุ์พื้นเมืองบางพันธุ์ เมล็ดไม่ปริแตก และไม่ร่วงง่ายทั้งที่แก่แล้ว ได้แก่ พันธุ์ลายขาวดำ ส่วนพันธุ์ต่างประเทศ เป็นพันธุ์อายุสั้น ลำต้นเป็นทรงพุ่มเตี้ย อายุเริ่มเก็บเมล็ดประมาณ 4-6 เดือน เมื่อแก่ เปลือกผลจะไม่ปริแตก ทำให้เก็บบนต้นได้ แม้ผลแก่จนแห้งก็ตาม
หลังจากเก็บผลละหุ่งแล้ว นำช่อผลละหุ่งมาตากแดด 2-3 แดด ให้แห้ง จากนั้น ให้เด็ดผลละหุ่งออกจากช่อ แล้ววางบนแผ่นไม้หรือลานปูน ก่อนใช้ไม้แผ่นตีหรือกดเบาที่ผล ผลก็จะปริแตก แยกเมล็ดออกมา
ข้อมูลอ้างอิง : https://puechkaset.com
โพสต์โดย : POK@