วิธีการปลูก และดูแล อาโวกาโด
วิธีการปลูก และดูแล อาโวกาโด
ลักษณะทั่วไป : อาโวกาโด เป็นไม้ผลยืนต้นที่ไม่ผลัดใบ มีใบเขียวตลอดปีผลผลิตสามารถรับประทานสด และแปรรูปนำไปสกัดเป็นน้ำมัน เนื่องจากมีพันธุ์ที่หลากหลายมาก จึงมีผลผลิตเกือบตลอดปี พันธุ์ที่สำคัญได้แก่พันธุ์ Peterson , Reuhle ,Buccanear ,Booth 7 ,Booth 8 ,Hall และ Hass
รายละเอียดมาตรฐานคุณภาพ : มาตรฐานอาโวกาโดที่มีคุณภาพดีนั้น จะต้องมีลักษณะของผลตรงตามพันธุ์ ลักษณะผลต้องไม่บิดเบี้ยว ไม่มีอาการซ้ำ หรือมีตำหนิที่เป็นแผลแห้ง ไม่เกิน 5% ของผล
ช่วงการส่งผลผลิตออกสู่ตลาด : เดือนมิถุนายน-เดือนกุมภาพันธ์
การปลูกและการบำรุงรักษา
ระยะปลูกและการวางผังการปลูก
ระยะปลูกที่เหมาะสมของอาโวกาโดนั้น ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่จะใช้ปลูก และความอุดมสมบูรณ์ของดินเพราะเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นอาโวกาโดเจริญเติบโตได้ต่างกันโดยอาโวกาโดบางพันธุ์ เช่น พันธุ์เบคอนและพันธุ์รูเฮิล จะมีต้นสูงโปร่งจึงอาจปลูกชิดได้มากกว่าพันธุ์ที่มีพุ่มแผ่กว้าง เช่น พันธุ์บูช 7 พันธุ์ฮอลล์และพันธุ์โซเควท โดยทั่วไปการปลูกอาโวกาโดจะใช้ระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 8-12 เมตร ในการวางผังปลูกนั้นควรให้มีการสลับระหว่างพันธุ์ด้วย
การเตรียมแปลงปลูก
ควรจะเตรียมแปลงที่จะปลูกไว้ล่วงหน้าก่อนปลูก 1 ปี สำหรับในพื้นที่สูงซึ่งมีความลาดชันควรจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ เช่น ทำขั้นบันไดดิน หรือปลูกหญ้าแฝกขวางความลาดเทของพื้นที่ จากนั้นจึงวางผังปลูกโดยทำการไถพรวนแปลงที่ใช้ปลูก ปักไม้ตามระยะหลุมระหว่างแถวและระหว่างต้นตามต้องการ แล้วปลูกพืชคลุมดินในระหว่าแถวของหลุมที่เตรียม ปลูกไม้บังลมในแนวรอบสวนหรือในแต่ละแนวแปลงย่อย หลังจากนั้นจึงเตรียมหลุมปลูกอาโวกาโด การเตรียมหลุมปลูกควรมีความกว้างยาว 80 เซนติเมตร ลึกประมาณ 80 เซนติเมตร ผสมปุ๋ยคอกประมาณ 1-2 บุ้งกี๋ คลุกเคล้ากับดินที่ขุดขึ้นมาแล้วใส่ลงไปในหลุม เตรียมไม้ปักผูกยึดต้นกันลมโยก เตรียมวัสดุคลุมผิวหน้าดินบริเวณหลุมปลูกไว้ซึ่งอาจใช้ฟาง เศษหญ้าแห้ง แกลบ ขี้กบ ขี้เลื่อย หรือเปลือกถั่วก็ได้
ฤดูปลูก
อาโวกาโดสามารถปลูกได้ทุกฤดูถ้ามีน้ำเพียงพอ ในประเทศไทยนิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการให้น้ำ เพราะมีนตกลงมาช่วย แต่ถ้าฝนตกชุกมากต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำขัง ต้นอาโวกาโดถ้าปลูกในฤดูร้อนก็ต้องตรียมป้องกันแสงแดดเผาส่วนของเปลือกลำต้นหรือกิ่งก้านอาโวกาโดด้วย ในต่างประเทศจะชุพลาสติกหุ้มป้องกันโคนต้นจากแสงแดดและสัตว์กัดแทะเปลือก
ต้องจัดเตรียมต้นกล้าอาโวกาโดไว้ก่อนล่วงหน้า โดยคัดเลือกต้นกล้าที่แข็งแรงสมบูรณ์และได้ขนาด เมื่อปลูกให้นำต้นอาโวกาโดลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ ให้รอยต่อกิ่งหรือรอยแผลติดตาอยู่เหนือระดับดิน กลบดินรอบๆ โคนต้นให้แน่นและรดน้ำให้ชุ่ม แล้วทำการคลุมผิวหน้าดินด้วยวัตถุคลุมดินที่เตรียมไว้เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้น ป้องกันเมล็ดวัชพืชงอก และป้องกันความร้อนจากแสงแดด ปักไม้หลักผูกเชือกยึดติดแน่นป้องกันลมโยก รดน้ำให้สม่ำเสมอจนกว่าต้นจะตั้งตัวได้ ทั้งนี้อาจจะให้น้ำครั้งละ 20-40 ลิตรต่อต้น ทุก 3-4 วันในระยะ 1 เดือนแรกและควรตรวจดูอยู่เสมอ ถ้าฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานก็ควรให้น้ำแก้ต้นอาโวกาโดอีก สำหรับในช่วงฤดูร้อนของปีแรกหลังจากหมดฤดูฝนแล้วควรให้น้ำแก่ต้นอาโวกาโดทุกสัปดาห์ๆ ละ 40-60 ลิตรต่อต้น จนกว่าต้นอะโวกาโดจะมีอายุ 1 ปีหลังจากปลูก
การใส่ปุ๋ย
หลังจากปลูกอาโวกาโดได้ 1 เดือน จะใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพิ่มให้กับต้นอะโวกาโด โดยใส่ไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแตสเซี่ยมอัตราส่วน 3:1:1 ทั้งนี้อาจให้โดยใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ผสมกับยูเรีย(46-0-0) อัตราส่วน 1:1 คลุกเคล้ากันให้ดีแล้วใส่ต้นละ 200 กรัม แบ่งใส่ประมาณ 3 ครั้งต่อปี ทุก 3 เดือน ปีที่ 2 จะใส่ปุ๋ยผสมดังกล่าวข้างต้นในอัตรา 300 กรัม แบ่งใส่ประมาณ 4 ครั้งต่อปี เมื่อต้นอาโวกาโดอายุได้ 3 ปี จะเริ่มให้ผลผลิต ปริมาณการใส่ปุ๋ยต่อต้นจะเพิ่มขึ้นตามการให้ผล และปุ๋ยที่ใช้ควรเปลี่ยนไปดังนี้ ในระยะต้นปีที่ 3 จะใส่ปุ๋ยเหมือนปีที่ 2 แต่ปริมาณปุ๋ยเพิ่มขึ้นเป็นต้นละ 400 กรัม ใส่ 2 ครั้งในช่วงต้นฤดูฝนและกลางฤดูฝน พอถึงปลายฤดูฝนราวๆเดือนตุลาคม จะเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสหรือโพแตสเซี่ยมสูง เช่น 8-24-24 หรือ 9-24-24 ในดินร่วนปนทรายหรือดินทราย ส่วนดินร่วนเหนียวควรใช้ปุ๋ยสูตร 12-24-12 อัตรา 500 กรัมต่อต้น เพื่อให้ต้นอาโวกาโดออกดอกดีและเมื่อติดผลแล้วจึงใส่ปุ๋ยอัตราส่วน 3:1:1 ใหม่ เพื่อให้ผลเจริญเติบโตดีและติดผลได้มาก โดยอาจใส่ยูเรียผสมปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตราส่วน 1:1 เพิ่มขึ้นอีกต้นละ 500 กรัม ในปีต่อๆไปอาจใช้วิธีวัดระยะจากโคนต้นไปยังชายพุ่มเป็นเมตร ซึ่งจะเท่ากับจำนวนกิโกกรัมของปุ๋ยที่ใส่ให้ในแต่ละปีก็ได้ ควรมีดารใส่ปุ๋ยอินทรีย์ให้กับต้นอาโวกาโดทุกปี โดยใช้วิธีหว่านคลุมต้นและปล่อยให้ย่อยสลายตัวเอง
การให้น้ำ
ในระยะที่ปลูกอาโวกาโดใหม่ๆ ควรให้น้ำแก่ต้นอาโวกาโด เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตและมีรากแผ่กระจายลงทางลึกและทางกว้าง ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอให้ดินชุ่มแต่อย่าให้น้ำขัง เพราะจะทำให้รากเน่าต้นตายได้ การให้น้ำชลประทานไม่จำเป็นต้องให้ทุกวัน ในระยะต้นเล็กควรให้ในปริมาณหลุมปลูกอาทำในวงขังน้ำในบริเวณที่รากจะแผ่ออกไปถึง ต้นอาโวกาโดปลูกใหม่ต้องการน้ำวันละประมาณ 15 ลิตรต่อต้น ถ้าให้เว้นวันอาจให้ครั้งละ 30 ลิตรต่อต้น เมื่อต้นใหญ่ก็ต้องการปริมาณน้ำมากขึ้น หรืออาจเลือกวิธีการให้น้ำเป็นระบบน้ำหยดหรือมินิสปริงเกอร์บริเวณโคนต้นก็ได้ แล้วแต่ละพื้นที่ปลูกและเงินลงทุน เมื่อต้นอากาโดถึงระยะที่จะออกดอกควรงดให้น้ำแก่อะโวกาโด แต่โดยปกติแล้วเป็นช่วงที่สิ้นสุดฤดูฝน และเข้าฤดูหนาวแล้วและเมื่อเกิดตาดอกที่ยอดซึ่งจะสังเกตเห็นว่าตุ้มตาป้านกลม และช่อดอกจะเริ่มเจริญออกมาบ้างแล้วจึงเริ่มให้น้ำใหม่
การจัดทรงต้นและตัดแต่งกิ่ง
อาโวกาโดไม่มีระบบการจัดทรงต้น และตัดแต่งกิ่งที่แน่นอน ต้นอาโวกาโดที่ปลูกใหม่จนถึงระยะก่อนออกดอกและติดผลจะตัดแต่งกิ่งเพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่ต้องตัดแต่งกิ่งเลย ยกเว้นตัดแต่งกิ่งเอเปลี่ยนแปลงลักษณะพุ่มต้น เช่น อาโวกาโดพันธุ์ที่มีพุ่มสูงมักจะตัดยอดลงเพื่อให้แตกกิ่งใหม่เป็นพุ่มแผ่กว้างออก
ก่อนการเก็บเกี่ยวอาโวกาโดต้องตรวจสอบว่าผลแก่เก็บเกี่ยวได้หรือไม่โดยพิจารณาถึงระยะเวลาที่เก็บเกี่ยวของอาโวกาโดแต่ละพันธุ์นั้นๆ จากนั้นทดลองเก็บผลบนต้นในระดับต่างๆประมาณ 6-8 ผลเพื่อผ่าดูเยื่อหุ้มเมล็ด หากเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นสีน้ำตาลทั้งหมดก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ นอกจากนี้ควรพิจารณาลักษณะภายนอกของผลเพื่อให้มั่นใจว่าผลแก่แล้ว เนื่องจากบางครั้งในต้นเดียวกันอาจมีการออกดอก 2 ชุด ทำให้อายุของผลไม่เท่ากัน ในการเก็บเกี่ยวต้องให้มีขั้วผลติดอยู่กับผล หากขั้วผลหลุดออกจากผลจะทำให้ผลเสียหายได้ง่ายขณะบ่มให้สุก วิธีการเก็บเกี่ยวทำได้โดยเด็ดหรือใช้กรรไกรตัดขั้วผลหลุดออกจากกิ่ง อาจใช้บันไดปีนขึ้นไปเก็บหรือใช้ตะกร้อที่มีใบมีดตัดขั้ว สอยให้ติดขั้วหรือใช้กรรไกรด้ามยาวที่มีที่หนีบขั้วผลไว้ ไม่ให้ผลตกเสียหาย ควรระมัดระวังไม่ให้ผิวผลเสียหาย เมื่อเก็บแล้วให้ใส่ลงในภาชนะที่รองด้วยกระดาษหรือฟองน้ำที่ป้องกันความเสียหายได้ นำไปคัดแยกเอาผลที่ไม่ได้คุณภาพตามที่กำหนดออก ตัดขั้วผลให้สั้นลงเหลือเฉพาะส่วนฐานของขั้วที่ติดกับผล
ข้อมูลอ้างอิง : https://hkm.hrdi.or.th
โพสต์โดย : POK@