ข้าวฟ่าง เป็นธัญพืชที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 5 ของโลก รองลงมาจาก ข้าวสาลี ข้าว ข้าวโพด และ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง มีการเพาะปลูก และแพร่กระจายอยู่ในเขตร้อน และเขตกึ่งร้อนของโลก อยู่ระหว่าง เส้นรุ้งที่ 45 องศาเหนือ ถึง 45 องศาใต้ ข้าวฟ่างมีการเจริญเติบโตได้ดีในเขตที่มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างต่ำ ประมาณ 400-600 มิลลิเมตรต่อปี มีการเพาะปลูกกันมากใน แอฟริกา อินเดีย จีน แมกซิโก ไนจีเรีย ซูดาน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย บางประเทศในยุโรปตอนใต้ และ ประเทศไทย แต่ประเทศที่ผลิตข้าวฟ่างมากที่สุดของโลก คือ สหรัฐอเมริกา ผลิตได้ 30 % ของผลผลิตทั่วโลก รองลงมา ได้แก่ อินเดีย และจีน
ข้าวฟ่างเป็นที่รู้จักของคนไทยมาช้านาน เกือบทุกภาคจะเรียกกันว่า ข้าวฟ่าง มีเพียงภาคใต้เท่านั้นที่เรียกว่า คอรวง ,ข้าวฟ่างเป็นพืชตระกูลหญ้าที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จากเมล็ดและลำต้น
พันธุ์ข้าวฟ่างลูกผสมสีแดง
ส่วนใหญ่เกษตรกรจะปลูกตามหลังข้าวโพด ในเขตการปลูกข้าวโพดจังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี และเพชรบูรณ์ ตามระบบการจำหน่ายเมล็ดพันธ์และการรับซื้อผลผลิตกลับคืน
พันธุ์เฮกการีหนัก
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้ต้นสูง เมล็ดใหญ่สีขาวขุ่น กรมวิชาการเกษตร (กรมกสิกรรม) แนะนำให้เกษตรกรปลูก ตั้งแต่ปี 2506 โดยมีลักษณะเด่น คือ มีผลผลิตเมล็ดเฉลี่ยประมาณ 400-600 กิโลกรัมต่อไร่ เมล็ดมีขนาดใหญ่ และมีความไวต่อช่วงแสงเหมาะสำหรับปลูกในปลายฤดูฝนตั้งแต่ปลายเดือนกรกฏาคมถึงต้นเดือนกันยายน ปัจจุบันยังมีการปลูกในเขตจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครราชสีมา
พันธุ์เฮกการีเบา
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีขาว กรมวิชาการเกษตร(กรมกสิกรรม) แนะนำให้เกษตรกรปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 โดยมีลักษณะเด่น คือ ต้นเตี้ยอายุสั้น ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ยประมาณ 400 กิโลกรัมต่อไร่ เหมาะสำหรับปลูก ปลายฤดูฝน มีปลูกในเขตจังหวัดกาญจนบุรี และสุพรรณบุรี
พันธุ์อู่ทอง 1
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้ ต้นเตี้ย อายุสั้น เมล็ดสีเหลืองได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรในปี พ.ศ. 2525 มีลักษณะเด่น คือ ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ย 550 กิโลกรัมต่อไร่ มีความต้านทานต่อโรคราสนิม ไม่ต้านทาน โรคที่เกิดกับเมล็ด ทนแล้งได้ดี เหมาะสำหรับปลูกในปลายฤดูฝน ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม ถึงเดือนกันยายน เป็นพันธุ์ทนแล้งได้ดี
พันธุ์สุพรรณบุรี 60
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีแดง ได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรในปี พ.ศ. 2530 มีลักษณะเด่น คือเป็นพันธุ์ต้นเตี้ย อายุสั้น เมล็ดมีปริมาณสารแทนนินต่ำ มีปริมาณมีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 450-500 กิโลกรัม ต่อไร่ เหมาะที่จะปลูกปลายฤดูฝน ตั่งแต่เดือน ก.ค. - ก.ย.
พันธุ์สุพรรณบุรี 1
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีแดง ได้รับการรับรองพันธ์จากกรมวิชาการเกษตร ในปี พ.ศ. 2536 มีลักษณะเด่น คือ ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ย 464 กิโลกรัมต่อไร่ ผลผลิตต้นสดเฉลี่ยประมาณ 4 ตันต่อไร่และผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2-3 ตันต่อไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวขณะที่เมล็ดอยู่ในระยะน้ำนม และเมื่อเก็บเกี่ยวต้นสดหลังเก็บเมล็ดแล้วตามลำดับ ต้นสดมีปริมาณกรมไฮโดรไซยานิก เฉลี่ยประมาณ 2.15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักสด 100 กรัม มีโปรตีนประมาณ 9 % ทำให้ลำต้นหวานประมาณ 15 องศาบริก สามารถใช้เลี้ยงสัตว์ได้
ลักษณะพิเศษของข้าวฟ่าง :
1.ข้าวฟ่างเป็นพืชทนแล้งได้ดีกว่าข้าวโพด หากเทียบกับข้าวโพดจะพบว่าใบและข้าวฟ่างจะมีอาการเหี่ยวแห้งช้ากว่าข้าวโพดถึง 2 เท่า จึงหาอาหารและน้ำได้ดีกว่าข้าวโพด และที่ใบของข้าวฟ่างยังมีสารคล้ายขี้ผึ้ง เคลือบอยู่ที่ผิวใบ และลำต้น ช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากลำต้นช้าลง ทำให้มีการคายน้ำน้อย
2.ลักษณะต้นเตี้ย ข้าวฟ่างบางพันธุ์ที่มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศและพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ๆ มักจะมีลำต้นเตี้ย ทำให้คาร์โบไฮเดรต ที่สังเคราะห์ได้ไม่สูญเสียไปในการสร้างส่วนของลำต้นราก ใบ มากไป เช่น พันธุ์ Hegary เป็นพันธุ์ที่มีลำต้นสูง ทำให้ได้ผลผลิตต่ำ แต่พันธ์ต้นเตี้ยจะมีสมรรถภาพในการให้ผลผลิตสูงขึ้น ปรุงอาหารได้ดีขึ้น เนื่องจากแสงแดดสามารถส่องถึงใบล่างและพื้นดินได้ดีกว่าพันธุ์ต้นสูง ทำให้เกิดโรคทางดิน โรคทางใบล่างๆ น้อยลง การเก็บเกี่ยวก็ทำได้โดยง่าย เพราะต้นเตี้ยนั้นเหมาะสำหรับการใช้เครื่องมือเก็บเกี่ยวมากกว่าต้นสูง
3.อายุสั้น การที่ข้าวฟ่างมีต้นเตี้ย มีความสัมพันธ์ ทางบวกกับอายุ ทำให้ข้าว่างมีอายุสั้น สามารถปลูกได้หลายครั้งต่อปี เป็นการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ นอกจากนั้นการที่มีต้นเตี้ยยังเป็นการลดความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องของลำต้นหักงอได้อีกด้วย
4.ข้าวฟ่างทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ การปลูกพืชชนิดอื่นตามหลังข้าวฟ่างจะทำให้ผลผลิตลดลง ทั้งนี้ เพราะบริเวณรากข้าวฟ่างจะมีปริมาณน้ำตาลสูง และน้ำตาลดังกล่าวจะกลายเป็นอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินบริเวณรากของข้าวฟ่าง ขณะที่รากข้าวฟ่างสลายตัว หลังจากที่เราเก็บเกี่ยวข้าวฟ่างแล้วน้ำตาลที่รากข้าวฟ่างจะถูกใช้ไปและหมดลงในที่สุด ทำให้จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่รอบๆ รากข้าวฟ่างในขณะนั้นหันไปดึงอาหาร (N) จากรากพืชชนิดอื่นที่นำมาปลูกต่อจากข้าวฟ่างมาใช้แทน จึงทำให้ดินขาดธาตุ N ไประยะหนึ่ง ในระ 1- 2 เดือน จะทำให้พืชดังกล่าว ไม่เจริญเติบโต เพราะขาด N วิธีการแก้ไขอาการขาดธาตุ N ในช่วงนี้สามารถทำได้โดยการเติมปุ๋ยสูตรที่มี N ลงไปในดินขณะที่มีการปลูกพืชใหม่ต่อจากแปลงข้าวฟ่าง
5. ข้าวฟ่างที่มี Tannin สูง หรือมากกว่า 1% ของน้ำหนักเมล็ดเป็นผลดีในช่วงระยะน้ำนม สามารถป้องกันอันตรายจากนกได้ดี แต่ข้าวฟ่างที่มี Tannin ประกอบจะทำให้คุณภาพของโปรตีน วิตามิน และธาตุอาหารต่างๆ ลดลง
มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด สำหรับข้าวฟ่างพันธุ์พื้นเมืองของไทยคือ ข้าวฟ่างหางช้าง ซึ่งชาวบ้านนิยมปลูกกันตามขอบรั้วรอบไร่ ปลายนา เพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ในครัวเรือน ไม่ได้ปลูกเพื่อการค้า
ข้าวฟ่างหางช้าง มีลำต้นสูง 2.5 - 3.0 เมตร เมื่อแก่จัดลำต้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แตกกอได้ดี ช่อดอกหลวม เมล็ดกลมเล็ก สีขาวนวล กาบหุ้มเมล็ด สีน้ำตาล ทนทานต่อการหักล้ม ปรับตัวได้ดีกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย โดยทั่วไปเกษตรกรจะปลูกข้าวฟ่างเป็นพืชรอง หลังจากปลูกพืชชนิดอื่นไปแล้ว เช่น หลังจากปลูกข้าวโพด เกษตรกรจะปลูกข้าวฟ่างตามเมื่อคาดว่ายังมีฝนตกอยู่ อีกประมาณ 1-2 เดือน
ประเทศไทยมีพื้นที่ในการเพาะปลูกข้าวฟ่างประมาณ 9 แสนไร่ (2539) แหล่งปลูกส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคกลาง ได้แก่ ลพบุรี นครสวรรค์ เพชรบูรณ์
และ สระบุรี และยังพบว่ามีการเพาะปลูกข้าวฟ่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนืออยู่บ้าน สำหรับภาคใต้นั้นกลับไม่พบรายงานว่ามีการเพาะปลูกข้าวฟ่างเพื่อการค้า ผลผลิตข้าวฟ่างของประเทศนั้นนับว่ายังต่ำอยู่มาก คือ มีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2 แสนตัน/ปี เท่านั้น
1. การเตรียมดินปลูกข้าวฟ่าง
ข้าวฟ่างเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด ในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำขัง แต่ชนิดของดินที่ข้าวฟ่างสามารถเจริญเติบโตได้ดีที่สุดคือ ดินร่วนปนทราย ที่มีค่า pH (ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน) อยู่ระหว่าง 5.5 - 7.5 และควรมีการเตรียมดินปลูกข้าวฟ่าง ดังนี้
ไถดินให้มีความลึกประมาณ 12 - 15 ซม. ตากหน้าดินไว้ 1-2 สัปดาห์ เพื่อเป็นการกำจัดแมลงและวัชพืชที่มีอยู่ในดิน จากนั้นทำการไถพรวนดินอีก 1-2 ครั้ง เพี่อย่อยดินให้มีความละเอียดเหมาะสำหรับการงอกของต้นกล้า
ในการปลูกพืชทุกชนิดให้สังเกตดูว่าดินที่ใช้ในการปลูกพืชนั้นมีความอุดทสมบูรณ์ของดินในระดับไหน หากดินมีความอุดมสมบูรณ์ดี มีอินทรียวัตถุในดินสูง ก็ไม่ควรใส่ปุ๋ย เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรมีการปรับปรุงดินโดยการเติม ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมักลงดินเพื่อเป็นการปรับสภาพดินให้ ดียิ่งขึ้น
ในการปลูกข้าวฟ่างควรใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 ในอัตรา 30 - 50 กก./ไร่ รองพื้นขณะเตรียมดิน
3. การปลูกข้าวฟ่าง
ปลูกโดยการหว่านเมล็ด
เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะใช้แรงงานน้อยภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ผู้หว่านจะต้องมีความชำนาญพอสมควร จึงจะสามารถหว่านให้เมล็ดข้าวฟ่างกระจายลงพื้นได้อย่างสม่ำเสมอ และใช้เมล็ดพันธุ์ไปในจำนวนที่พอเหมาะ คือ 1.5 - 2 กก. ต่อไร่ แต่สำหรับข้าวฟ่างบางสายพันธุ์จำเป็นต้องใช้เมล็ดพันธุ์ในการหว่านสูง เพื่อให้ได้ผลผลิตดี เช่น พันธุ์ สุพรรณฯ 1 จะใช้เมล็ดพันธุ์ 2.5 กก./ไร่ และ พันธุ์ ลูกผสมอย่าง Pacific 801 ที่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ในการหว่านสูงถึง 3.5 กก. /ไร่ จึงจะได้ผลผลิตที่เหมาะสม
ปลูกแบบโรยเป็นแถว
สำหรับการปลูกแบบเป็นแถวจะต้องให้มีระยะห่างระหว่างแถว 65 ซม. ถึงจะได้ผลดี วิธีนี้ทำโดยการปลูกโดย หลังจากการเตรียมดิน แล้ว ให้ทำการเปิดร่องปลูกให้ลึก ประมาณ 5 ซม. จากนั้นโรยเมล็ดพันธุ์ลงไปในร่องให้เป็นแถวแล้วกลบหน้าดิน เมื่อข้าวฟ่างอายุได้ 20 วันให้ทำการถอนแยกต้นที่มีลักษณะที่ไม่แข็งแรงออก ให้ได้ระยะระหว่างต้น 10 ซม.
การปลูกแบบเป็นหลุม
วิธีนี้ ทำได้โดยการการขุดหลุมที่ได้จากการเตรียมดินให้มีความลึก ประมาณ 5 ซม. ระยะห่างระหว่างหลุม 30 ซม. และระยะห่างระหว่างแถว 65 ซม. ปลูกหลุมละ 3 ต้นแล้วกลบหน้าดิน
การปลูกโดยใช้เครื่องจักร
ใช้เครื่องปลูกข้าวฟ่างติดท้ายรถแทรกเตอร์ กำหนดระยะระหว่างแถวและจำนวนเมล็ดที่จะหลูกลงแปลงในแต่ละแถว เมื่อทำการปลูก จะต้องตรวจสอบเสมอว่าเมล็ดพันธุ์ลงในดินสม่ำเสมอหรือไม่ วิธี้เหมาะสำหรับการหปลูกในแปลงขนาดใหญ่
แหล่งปลูกข้าวฟ่างที่เหมาะสม
โดยทั่วไปข้าวฟ่างเจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด ตั้งแต่ดินทราย ดินร่วนปนทราย จนถึงดินเหนียว แต่ดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าวฟ่างให้ได้ผลผลิตสูง ควรเป็นดินร่วนเหนียวที่มีการระบายน้ำดี มีความเป็นกรด ด่างอยู่ระหว่าง 5.0-7.5
อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและสร้างเมล็ดของข้าวฟ่างจะอยู่ระหว่าง 27-30 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการสร้างเมล็ด
ข้าวฟ่างต้องการปริมาณน้ำฝนตลอดฤดูปลูกประมาณ 320-500 มิลลิเมตร โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวฟ่างตั้งท้อง ดอก บาน และเมล็ดในระยะเป็นน้ำนมถ้าขาดน้ำในช่วงเหล่านี้ จะมีผลต่อการติดเมล็ด ขนาดเมล็ดจึงมีผลกระทบต่อ ผลผลิตเป็นอย่างมาก ความต้องการน้ำของข้าวฟ่าง จะลดลงในระยะที่เมล็ดเริ่มแก่จนถึงเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ข้าวฟ่างไม่ทนทานต่อสภาพน้ำขังในช่วงแรกของการเจริญเติบโต (ระยะกล้า) จะพบว่า ข้าวฟ่างมีใบ เหลืองต้นแคระแกร็น และอาจตายไปในที่สุด
แหล่งปลูกที่สำคัญ ได้แก่ ลพบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สระบุรี สุพรรณบุรี
การปลูกข้าวฟ่างเพื่อให้ได้ผลผลิตเมล็ดสูง : ควรปลูกในปลายฤดูฝน หรือตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน
สำหรับการปลูกข้าวฟ่างครั้งเดี่ยวที่ต้องการปลูกเพื่อตัดต้นสดในรุ่นแรก และเก็บเกี่ยวเมล็ดในข้าวฟ่างต่อ ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนหรือประมาณเดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนมิถุนายน
การปลูกข้าวฟ่างเพื่อเก็บเมล็ดอย่างเดียว ควรพิจารณาดูว่า ต้นข้าวฟ่างจะไม่ขาดความชื้นสำหรับการเจริญเติบโต จนถึงระยะที่ดอกข้าวฟ่างบาน
การดูแลรักษา :
เมื่อข้าวฟ่างงอกได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้าต้นข้าวฟ่างในแปลงจำนวนหนาแน่นเกินไปให้ถอนแยกให้เหลือประชากร 10 ต้นต่อความยาว 1 เมตร ในกรณีที่แปลงปลูกมีน้ำท่วมขัง ให้ทำการระบายน้ำออกจากแปลงปลูกเพราะในสภาพน้ำ ท่วมขังแปลง จะทำให้ต้นข้าวฟ่างไม่เจริญเติบโต มีผลทำให้ต้นข้าวฟ่างมีขนาดเล็กและช่อข้าวฟ่างมีขนาดเล็ก หรือตายได้ในที่สุด
การป้องกันกำจัดวัชพืช :
การไถพรวนดินเพื่อเตรียมดินปลูกข้าวฟ่าง เป็นวิธีการหนึ่งที่ป้องกันการรบกวนจากวัชพืช แต่ถ้ายังมีวัชพืชอยู่มากอาจจะใช้สารกำจัดวัชพืช เช่น อาทาซีน ฉีดพ่นในอัตรา 350 - 400 กรัม/ไร่ ภายหลังจากปลูกข้าวฟ่างเสร็จแล้ว และดินยังคงมีความชื้นอยู่ เพื่อควบคุมวัชพืชไม่ให้งอกขึ้นมารบกวนข้าวฟ่างขณะที่ต้นยังเล็กอยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่พืชปลูกจะอ่อนแอต่อการแข่งขันกับพืชอื่น หรือจะใช้การทำรุ่น(ดายหญ้า) เมื่อข้าวฟ่างมีอายุ 1 เดือนเป็นต้นไป
การเก็บเกี่ยว :
เมื่อเมล็ดข้าวฟ่างมีการสุกแก่เต็มที่แล้วเมล็ดจะมีลักษณะแข็ง สีเข้ม ก้านช่อเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ลำต้นและใบเริ่มแห้งแสดงว่าสามารถเก็บเกี่ยวได้ โดยใช้มีดหรือเคียวตัดที่ก้านช่อดอก จากนั้นนำไปตากประมาณ 2-3 วัน จึงค่อยทำการกะเทาะเปลือกหรือสีเอาเมล็ดออกจากรวง ขณะที่กะเทาะเมล็ดนั้นเมล็ดควรมีความชื้นประมาณ 15% อย่างไรก็ตาม น้ำหนักแห้งของข้าวฟ่างจะสูงที่สุด จะอยู่ที่ระยะสุกแก่เต็มที่ แต่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องยากที่จะทำการตรวจสอบและปฏิบัติตาม