Social :



ทำความรู้จักกับ สรรพคุณ และวิธีการปลูก ข้าวฟ่าง

14 ก.พ. 62 12:02
ทำความรู้จักกับ สรรพคุณ และวิธีการปลูก ข้าวฟ่าง

ทำความรู้จักกับ สรรพคุณ และวิธีการปลูก ข้าวฟ่าง

ทำความรู้จักกับ สรรพคุณ
และวิธีการปลูก ข้าวฟ่าง

ข้าวฟ่าง    เป็นธัญพืชที่มีความสำคัญเป็นอันดับ  5  ของโลก  รองลงมาจาก  ข้าวสาลี  ข้าว  ข้าวโพด  และ ข้าวบาร์เลย์  ข้าวฟ่าง  มีการเพาะปลูก  และแพร่กระจายอยู่ในเขตร้อน  และเขตกึ่งร้อนของโลก  อยู่ระหว่าง  เส้นรุ้งที่  45  องศาเหนือ  ถึง  45  องศาใต้  ข้าวฟ่างมีการเจริญเติบโตได้ดีในเขตที่มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างต่ำ  ประมาณ  400-600  มิลลิเมตรต่อปี  มีการเพาะปลูกกันมากใน แอฟริกา  อินเดีย  จีน  แมกซิโก  ไนจีเรีย  ซูดาน  สหรัฐอเมริกา  ออสเตรเลีย  บางประเทศในยุโรปตอนใต้  และ ประเทศไทย  แต่ประเทศที่ผลิตข้าวฟ่างมากที่สุดของโลก  คือ  สหรัฐอเมริกา ผลิตได้  30 %  ของผลผลิตทั่วโลก  รองลงมา  ได้แก่  อินเดีย  และจีน 

ข้าวฟ่างเป็นที่รู้จักของคนไทยมาช้านาน  เกือบทุกภาคจะเรียกกันว่า  ข้าวฟ่าง  มีเพียงภาคใต้เท่านั้นที่เรียกว่า  คอรวง  ,ข้าวฟ่างเป็นพืชตระกูลหญ้าที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จากเมล็ดและลำต้น


พันธุ์ข้าวฟ่างลูกผสมสีแดง 
ส่วนใหญ่เกษตรกรจะปลูกตามหลังข้าวโพด  ในเขตการปลูกข้าวโพดจังหวัดนครสวรรค์  ลพบุรี  และเพชรบูรณ์  ตามระบบการจำหน่ายเมล็ดพันธ์และการรับซื้อผลผลิตกลับคืน 

พันธุ์เฮกการีหนัก
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้ต้นสูง เมล็ดใหญ่สีขาวขุ่น  กรมวิชาการเกษตร  (กรมกสิกรรม)  แนะนำให้เกษตรกรปลูก  ตั้งแต่ปี  2506  โดยมีลักษณะเด่น  คือ  มีผลผลิตเมล็ดเฉลี่ยประมาณ  400-600  กิโลกรัมต่อไร่ เมล็ดมีขนาดใหญ่  และมีความไวต่อช่วงแสงเหมาะสำหรับปลูกในปลายฤดูฝนตั้งแต่ปลายเดือนกรกฏาคมถึงต้นเดือนกันยายน  ปัจจุบันยังมีการปลูกในเขตจังหวัดกาญจนบุรี  สุพรรณบุรี  นครราชสีมา

พันธุ์เฮกการีเบา 
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีขาว กรมวิชาการเกษตร(กรมกสิกรรม)  แนะนำให้เกษตรกรปลูกตั้งแต่ปี  พ.ศ.  2506  โดยมีลักษณะเด่น  คือ  ต้นเตี้ยอายุสั้น  ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ยประมาณ  400  กิโลกรัมต่อไร่ เหมาะสำหรับปลูก ปลายฤดูฝน  มีปลูกในเขตจังหวัดกาญจนบุรี  และสุพรรณบุรี

พันธุ์อู่ทอง 1 
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้  ต้นเตี้ย  อายุสั้น  เมล็ดสีเหลืองได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรในปี  พ.ศ. 2525  มีลักษณะเด่น คือ ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ย  550  กิโลกรัมต่อไร่  มีความต้านทานต่อโรคราสนิม  ไม่ต้านทาน  โรคที่เกิดกับเมล็ด  ทนแล้งได้ดี  เหมาะสำหรับปลูกในปลายฤดูฝน  ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม  ถึงเดือนกันยายน  เป็นพันธุ์ทนแล้งได้ดี

พันธุ์สุพรรณบุรี 60 
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีแดง  ได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรในปี  พ.ศ. 2530  มีลักษณะเด่น คือเป็นพันธุ์ต้นเตี้ย  อายุสั้น  เมล็ดมีปริมาณสารแทนนินต่ำ  มีปริมาณมีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ  450-500  กิโลกรัม  ต่อไร่  เหมาะที่จะปลูกปลายฤดูฝน  ตั่งแต่เดือน  ก.ค. - ก.ย.

พันธุ์สุพรรณบุรี 1 
เป็นข้าวฟ่างพันธุ์แท้เมล็ดสีแดง ได้รับการรับรองพันธ์จากกรมวิชาการเกษตร  ในปี  พ.ศ.  2536  มีลักษณะเด่น คือ ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ย  464  กิโลกรัมต่อไร่  ผลผลิตต้นสดเฉลี่ยประมาณ  4  ตันต่อไร่และผลผลิตเฉลี่ยประมาณ  2-3  ตันต่อไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวขณะที่เมล็ดอยู่ในระยะน้ำนม  และเมื่อเก็บเกี่ยวต้นสดหลังเก็บเมล็ดแล้วตามลำดับ  ต้นสดมีปริมาณกรมไฮโดรไซยานิก  เฉลี่ยประมาณ  2.15  มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักสด  100  กรัม มีโปรตีนประมาณ  9 %  ทำให้ลำต้นหวานประมาณ  15  องศาบริก  สามารถใช้เลี้ยงสัตว์ได้ 


ลักษณะพิเศษของข้าวฟ่าง :
1.ข้าวฟ่างเป็นพืชทนแล้งได้ดีกว่าข้าวโพด   หากเทียบกับข้าวโพดจะพบว่าใบและข้าวฟ่างจะมีอาการเหี่ยวแห้งช้ากว่าข้าวโพดถึง  2  เท่า  จึงหาอาหารและน้ำได้ดีกว่าข้าวโพด  และที่ใบของข้าวฟ่างยังมีสารคล้ายขี้ผึ้ง  เคลือบอยู่ที่ผิวใบ  และลำต้น ช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากลำต้นช้าลง ทำให้มีการคายน้ำน้อย

2.ลักษณะต้นเตี้ย   ข้าวฟ่างบางพันธุ์ที่มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศและพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ๆ มักจะมีลำต้นเตี้ย  ทำให้คาร์โบไฮเดรต  ที่สังเคราะห์ได้ไม่สูญเสียไปในการสร้างส่วนของลำต้นราก  ใบ  มากไป  เช่น  พันธุ์  Hegary เป็นพันธุ์ที่มีลำต้นสูง  ทำให้ได้ผลผลิตต่ำ  แต่พันธ์ต้นเตี้ยจะมีสมรรถภาพในการให้ผลผลิตสูงขึ้น  ปรุงอาหารได้ดีขึ้น  เนื่องจากแสงแดดสามารถส่องถึงใบล่างและพื้นดินได้ดีกว่าพันธุ์ต้นสูง  ทำให้เกิดโรคทางดิน  โรคทางใบล่างๆ  น้อยลง  การเก็บเกี่ยวก็ทำได้โดยง่าย  เพราะต้นเตี้ยนั้นเหมาะสำหรับการใช้เครื่องมือเก็บเกี่ยวมากกว่าต้นสูง

3.อายุสั้น   การที่ข้าวฟ่างมีต้นเตี้ย  มีความสัมพันธ์  ทางบวกกับอายุ  ทำให้ข้าว่างมีอายุสั้น  สามารถปลูกได้หลายครั้งต่อปี  เป็นการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่  นอกจากนั้นการที่มีต้นเตี้ยยังเป็นการลดความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องของลำต้นหักงอได้อีกด้วย

4.ข้าวฟ่างทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์   การปลูกพืชชนิดอื่นตามหลังข้าวฟ่างจะทำให้ผลผลิตลดลง  ทั้งนี้  เพราะบริเวณรากข้าวฟ่างจะมีปริมาณน้ำตาลสูง  และน้ำตาลดังกล่าวจะกลายเป็นอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินบริเวณรากของข้าวฟ่าง  ขณะที่รากข้าวฟ่างสลายตัว  หลังจากที่เราเก็บเกี่ยวข้าวฟ่างแล้วน้ำตาลที่รากข้าวฟ่างจะถูกใช้ไปและหมดลงในที่สุด  ทำให้จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่รอบๆ  รากข้าวฟ่างในขณะนั้นหันไปดึงอาหาร (N)  จากรากพืชชนิดอื่นที่นำมาปลูกต่อจากข้าวฟ่างมาใช้แทน  จึงทำให้ดินขาดธาตุ  N  ไประยะหนึ่ง  ในระ  1- 2  เดือน  จะทำให้พืชดังกล่าว  ไม่เจริญเติบโต  เพราะขาด  N  วิธีการแก้ไขอาการขาดธาตุ  N  ในช่วงนี้สามารถทำได้โดยการเติมปุ๋ยสูตรที่มี  N  ลงไปในดินขณะที่มีการปลูกพืชใหม่ต่อจากแปลงข้าวฟ่าง 

5. ข้าวฟ่างที่มี  Tannin สูง  หรือมากกว่า  1%  ของน้ำหนักเมล็ดเป็นผลดีในช่วงระยะน้ำนม  สามารถป้องกันอันตรายจากนกได้ดี  แต่ข้าวฟ่างที่มี  Tannin  ประกอบจะทำให้คุณภาพของโปรตีน  วิตามิน  และธาตุอาหารต่างๆ  ลดลง


มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด  สำหรับข้าวฟ่างพันธุ์พื้นเมืองของไทยคือ  ข้าวฟ่างหางช้าง”  ซึ่งชาวบ้านนิยมปลูกกันตามขอบรั้วรอบไร่  ปลายนา  เพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ในครัวเรือน ไม่ได้ปลูกเพื่อการค้า 

ข้าวฟ่างหางช้าง  มีลำต้นสูง  2.5  -  3.0  เมตร  เมื่อแก่จัดลำต้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล  แตกกอได้ดี  ช่อดอกหลวม  เมล็ดกลมเล็ก  สีขาวนวล  กาบหุ้มเมล็ด  สีน้ำตาล  ทนทานต่อการหักล้ม  ปรับตัวได้ดีกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย  โดยทั่วไปเกษตรกรจะปลูกข้าวฟ่างเป็นพืชรอง  หลังจากปลูกพืชชนิดอื่นไปแล้ว  เช่น  หลังจากปลูกข้าวโพด  เกษตรกรจะปลูกข้าวฟ่างตามเมื่อคาดว่ายังมีฝนตกอยู่  อีกประมาณ  1-2  เดือน 

ประเทศไทยมีพื้นที่ในการเพาะปลูกข้าวฟ่างประมาณ  9  แสนไร่  (2539)  แหล่งปลูกส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคกลาง  ได้แก่  ลพบุรี  นครสวรรค์  เพชรบูรณ์ 
MulticollaC
และ สระบุรี  และยังพบว่ามีการเพาะปลูกข้าวฟ่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนืออยู่บ้าน  สำหรับภาคใต้นั้นกลับไม่พบรายงานว่ามีการเพาะปลูกข้าวฟ่างเพื่อการค้า  ผลผลิตข้าวฟ่างของประเทศนั้นนับว่ายังต่ำอยู่มาก  คือ  มีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ  2  แสนตัน/ปี  เท่านั้น

1. การเตรียมดินปลูกข้าวฟ่าง 
ข้าวฟ่างเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด  ในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำขัง  แต่ชนิดของดินที่ข้าวฟ่างสามารถเจริญเติบโตได้ดีที่สุดคือ  ดินร่วนปนทราย  ที่มีค่า  pH (ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน)  อยู่ระหว่าง  5.5  -  7.5  และควรมีการเตรียมดินปลูกข้าวฟ่าง  ดังนี้

ไถดินให้มีความลึกประมาณ  12  - 15  ซม.  ตากหน้าดินไว้  1-2  สัปดาห์  เพื่อเป็นการกำจัดแมลงและวัชพืชที่มีอยู่ในดิน  จากนั้นทำการไถพรวนดินอีก  1-2  ครั้ง  เพี่อย่อยดินให้มีความละเอียดเหมาะสำหรับการงอกของต้นกล้า 

ในการปลูกพืชทุกชนิดให้สังเกตดูว่าดินที่ใช้ในการปลูกพืชนั้นมีความอุดทสมบูรณ์ของดินในระดับไหน  หากดินมีความอุดมสมบูรณ์ดี  มีอินทรียวัตถุในดินสูง ก็ไม่ควรใส่ปุ๋ย  เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์  แต่ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ  ควรมีการปรับปรุงดินโดยการเติม  ปุ๋ยคอก  หรือ ปุ๋ยหมักลงดินเพื่อเป็นการปรับสภาพดินให้  ดียิ่งขึ้น 

ในการปลูกข้าวฟ่างควรใส่ปุ๋ยสูตร  16-20-0  ในอัตรา  30 - 50  กก./ไร่  รองพื้นขณะเตรียมดิน

3. การปลูกข้าวฟ่าง 
ปลูกโดยการหว่านเมล็ด  
เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมกันมากในปัจจุบัน  เพราะใช้แรงงานน้อยภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ผู้หว่านจะต้องมีความชำนาญพอสมควร จึงจะสามารถหว่านให้เมล็ดข้าวฟ่างกระจายลงพื้นได้อย่างสม่ำเสมอ และใช้เมล็ดพันธุ์ไปในจำนวนที่พอเหมาะ  คือ  1.5  -  2  กก.  ต่อไร่  แต่สำหรับข้าวฟ่างบางสายพันธุ์จำเป็นต้องใช้เมล็ดพันธุ์ในการหว่านสูง เพื่อให้ได้ผลผลิตดี  เช่น  พันธุ์  สุพรรณฯ 1  จะใช้เมล็ดพันธุ์  2.5  กก./ไร่  และ พันธุ์  ลูกผสมอย่าง  Pacific  801  ที่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ในการหว่านสูงถึง  3.5  กก. /ไร่  จึงจะได้ผลผลิตที่เหมาะสม 


ปลูกแบบโรยเป็นแถว
สำหรับการปลูกแบบเป็นแถวจะต้องให้มีระยะห่างระหว่างแถว  65  ซม.  ถึงจะได้ผลดี วิธีนี้ทำโดยการปลูกโดย หลังจากการเตรียมดิน แล้ว ให้ทำการเปิดร่องปลูกให้ลึก  ประมาณ  5  ซม.  จากนั้นโรยเมล็ดพันธุ์ลงไปในร่องให้เป็นแถวแล้วกลบหน้าดิน เมื่อข้าวฟ่างอายุได้  20  วันให้ทำการถอนแยกต้นที่มีลักษณะที่ไม่แข็งแรงออก  ให้ได้ระยะระหว่างต้น  10  ซม. 

การปลูกแบบเป็นหลุม
วิธีนี้ ทำได้โดยการการขุดหลุมที่ได้จากการเตรียมดินให้มีความลึก  ประมาณ  5  ซม.  ระยะห่างระหว่างหลุม  30  ซม.  และระยะห่างระหว่างแถว  65  ซม.  ปลูกหลุมละ  3  ต้นแล้วกลบหน้าดิน

การปลูกโดยใช้เครื่องจักร
ใช้เครื่องปลูกข้าวฟ่างติดท้ายรถแทรกเตอร์  กำหนดระยะระหว่างแถวและจำนวนเมล็ดที่จะหลูกลงแปลงในแต่ละแถว  เมื่อทำการปลูก  จะต้องตรวจสอบเสมอว่าเมล็ดพันธุ์ลงในดินสม่ำเสมอหรือไม่  วิธี้เหมาะสำหรับการหปลูกในแปลงขนาดใหญ่

แหล่งปลูกข้าวฟ่างที่เหมาะสม 
โดยทั่วไปข้าวฟ่างเจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด  ตั้งแต่ดินทราย  ดินร่วนปนทราย  จนถึงดินเหนียว  แต่ดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าวฟ่างให้ได้ผลผลิตสูง  ควรเป็นดินร่วนเหนียวที่มีการระบายน้ำดี  มีความเป็นกรด ด่างอยู่ระหว่าง  5.0-7.5

อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและสร้างเมล็ดของข้าวฟ่างจะอยู่ระหว่าง  27-30  องศาเซลเซียส  ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้  จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการสร้างเมล็ด

ข้าวฟ่างต้องการปริมาณน้ำฝนตลอดฤดูปลูกประมาณ  320-500  มิลลิเมตร  โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวฟ่างตั้งท้อง  ดอก  บาน  และเมล็ดในระยะเป็นน้ำนมถ้าขาดน้ำในช่วงเหล่านี้  จะมีผลต่อการติดเมล็ด  ขนาดเมล็ดจึงมีผลกระทบต่อ  ผลผลิตเป็นอย่างมาก  ความต้องการน้ำของข้าวฟ่าง  จะลดลงในระยะที่เมล็ดเริ่มแก่จนถึงเก็บเกี่ยว   นอกจากนี้ข้าวฟ่างไม่ทนทานต่อสภาพน้ำขังในช่วงแรกของการเจริญเติบโต  (ระยะกล้า)  จะพบว่า ข้าวฟ่างมีใบ  เหลืองต้นแคระแกร็น  และอาจตายไปในที่สุด 

แหล่งปลูกที่สำคัญ  ได้แก่  ลพบุรี  เพชรบูรณ์  นครสวรรค์  สระบุรี  สุพรรณบุรี
การปลูกข้าวฟ่างเพื่อให้ได้ผลผลิตเมล็ดสูง :   ควรปลูกในปลายฤดูฝน  หรือตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน 

สำหรับการปลูกข้าวฟ่างครั้งเดี่ยวที่ต้องการปลูกเพื่อตัดต้นสดในรุ่นแรก และเก็บเกี่ยวเมล็ดในข้าวฟ่างต่อ ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนหรือประมาณเดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนมิถุนายน 

การปลูกข้าวฟ่างเพื่อเก็บเมล็ดอย่างเดียว  ควรพิจารณาดูว่า  ต้นข้าวฟ่างจะไม่ขาดความชื้นสำหรับการเจริญเติบโต  จนถึงระยะที่ดอกข้าวฟ่างบาน 


การดูแลรักษา : 
เมื่อข้าวฟ่างงอกได้ประมาณ  2  สัปดาห์  ถ้าต้นข้าวฟ่างในแปลงจำนวนหนาแน่นเกินไปให้ถอนแยกให้เหลือประชากร  10  ต้นต่อความยาว  1  เมตร  ในกรณีที่แปลงปลูกมีน้ำท่วมขัง  ให้ทำการระบายน้ำออกจากแปลงปลูกเพราะในสภาพน้ำ  ท่วมขังแปลง  จะทำให้ต้นข้าวฟ่างไม่เจริญเติบโต  มีผลทำให้ต้นข้าวฟ่างมีขนาดเล็กและช่อข้าวฟ่างมีขนาดเล็ก  หรือตายได้ในที่สุด

การป้องกันกำจัดวัชพืช :
การไถพรวนดินเพื่อเตรียมดินปลูกข้าวฟ่าง  เป็นวิธีการหนึ่งที่ป้องกันการรบกวนจากวัชพืช  แต่ถ้ายังมีวัชพืชอยู่มากอาจจะใช้สารกำจัดวัชพืช เช่น อาทาซีน ฉีดพ่นในอัตรา  350 - 400  กรัม/ไร่  ภายหลังจากปลูกข้าวฟ่างเสร็จแล้ว และดินยังคงมีความชื้นอยู่  เพื่อควบคุมวัชพืชไม่ให้งอกขึ้นมารบกวนข้าวฟ่างขณะที่ต้นยังเล็กอยู่  ซึ่งเป็นช่วงที่พืชปลูกจะอ่อนแอต่อการแข่งขันกับพืชอื่น  หรือจะใช้การทำรุ่น(ดายหญ้า) เมื่อข้าวฟ่างมีอายุ  1  เดือนเป็นต้นไป

การเก็บเกี่ยว : 
เมื่อเมล็ดข้าวฟ่างมีการสุกแก่เต็มที่แล้วเมล็ดจะมีลักษณะแข็ง  สีเข้ม  ก้านช่อเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ลำต้นและใบเริ่มแห้งแสดงว่าสามารถเก็บเกี่ยวได้  โดยใช้มีดหรือเคียวตัดที่ก้านช่อดอก  จากนั้นนำไปตากประมาณ 2-3  วัน  จึงค่อยทำการกะเทาะเปลือกหรือสีเอาเมล็ดออกจากรวง  ขณะที่กะเทาะเมล็ดนั้นเมล็ดควรมีความชื้นประมาณ  15%  อย่างไรก็ตาม  น้ำหนักแห้งของข้าวฟ่างจะสูงที่สุด  จะอยู่ที่ระยะสุกแก่เต็มที่ แต่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องยากที่จะทำการตรวจสอบและปฏิบัติตาม



ข้อมูลอ้างอิง  : https://www.rakbankerd.com

โพสต์โดย : POK@