Social :



6 สุดยอดเรื่องเล่าสยองขวัญน่าขนลุกที่กลายเป็นเรื่องจริง

19 ก.ค. 59 18:01
6 สุดยอดเรื่องเล่าสยองขวัญน่าขนลุกที่กลายเป็นเรื่องจริง

6 สุดยอดเรื่องเล่าสยองขวัญน่าขนลุกที่กลายเป็นเรื่องจริง

     บางครั้งเรื่องจริงก็เหลือเชื่อกว่านิยายเสียอีกนะครับ นี้ บ้านเรามีผีอาฆาต,ความเชื่ออะไรน่ากลัว และที่เมืองนอกก็มีเหมือนกันนะครับ แถมบางเรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่ฮิตในอเมริกา แต่แล้วจู่ๆ เรื่องนี้กับกลายเป็นเรื่องจริงซะนี้ ดังที่เห็นตัวอย่างต่อไปนี้

( Cammy  จัดเองตามใจชอบ เหอๆ      เรื่องนี้ผมอุตส่าห์หาจากหลายๆ ที่เลยนะนี้ และถามคนอื่นตั้งเยอะ ใครลอกอะไรใส่เครดิตด้วยนะครับ ขอบคุณปอและนันที่มาช่วยแบ่งเบา)

 

อันดับ  6  บางสิ่งในภาพนั้น ( Something Off About That Picture )

                

เรื่องเล่า

                  มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตาภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆไป เขาถามหญิงชราว่านี่ใครกัน

“ โอ !!”  หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆในอ่างล้างจาน  “ ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้ว แต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย ??”

เรื่องจริง !!  ( http://en.wikipedia.org/wiki/Post-mortem_photography )

มีประเพณีประหลาดๆ เกิดขึ้นในประเทศยุโรปตะวันออกและบางที่ในสหรัฐครับ มันถูกเรียกว่า  Post-mortem photography  หมายถึงภาพหลังความตาย เป็นงานศิลปะมากกว่าธรรมดา เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัวและถ่ายรูปให้เสมือนพวกเขามีชีวิต(ทำท่าเหมือนหลับนอนลึก)ก่อนนำไปฝัง ซึ่งมีคนดังหลายคนได้รับการบริการแบบนี้เช่น    ซีเรีย( Church ) หัวหน้าบาทหลวงหลังตายก็ถูกนำมาตกแต่งเต็มยศและนำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขาเสมือนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่  (1945 )  หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาดก็นำมาต่อใหม่และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น

ในยุคพระนางเจ้าวิคตอเรียศิลปะแบบนี้นิยมกับมาก ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาวหรือทารกซึ่งพ่อแม่เด็กรับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไปแล้ว เด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บ่อยบางครั้งการจัดท่ากับของเล่นโปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่ามากกว่าปรกติในเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำบนเฟรมการออกแบบพิเศษ

ศิลปะนี้สาปสูญในศตวรรษที่ 19 แต่กระนั้นมันก็ยังมีให้เห็นอยู่ศตวรรษ 20 ในราชวงศ์ชั้นสูงบางแห่ง

 

อันดับ 5 ศพในพรม ( The Corpse in the Carpet )

                

  เรื่องเล่า

                 มีชายคนหนึ่งพบพรมปูพื้นเก่าๆ ในซอย เขาชอบพรมนี้เลยเอากลับบ้านเพื่อปูพื้นบ้านแบบฟรีๆ แต่เมื่อเขาคลี่พรมออกเขากลับพบสิ่งหน้ากลัวที่อยู่ในพรม    มันคือศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆ ของชายคนหนึ่ง และตู้เย็นและตู้เสื้อผ้าของเขาเก็บมาได้ก็เช่นกันเมื่อเขาเปิดออกมามีศพเป็นชิ้นส่วนถูกสับทิ้งราวกับขยะไม่ปาน มันเป็นเครื่องเตือนความจำว่าอย่าเก็บของเก่ามาใช้ใหม่เด็ดขาดไม่งั้นคุณอาจเจอดี

ความจริง !! http://www.angelfire.com/hiphop2/crazyeri/urban.html#under

ในปี ค.ศ. 1984 สามนักเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบียพบการม้วนพรมบนทางเดินริมถนน จากนั้นพวกเขาก็ลากมันกลับบ้าน(จะบ้าเรอะพรมของใครก็ไม่รู้) และเมื่อเขาลากพรมเข้าห้องนอนรวม พวกเขาก็ม้วนพรมออกและค้นพบศพที่เน่าเหม็นนานแล้วของผู้ชายไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่ง เขาตายด้วยกระสุนปืนสองนัดในกะโหลกศีรษะของเขา และคดีนี้เป็นคดีปริศนาไม่มีใครรู้ตัวฆาตกร แต่ที่แน่ๆ สามนักเรียนคนนั้นโดนปรับเงินกว่า 50 พันดอลลาร์ฐานทำลายหลักฐาน เคลื่อนย้ายศพออกจากที่เกิดเหตุ(สม ขี้เหนียวดีนัก โดนซะ)

 

อันดับ 4 ผู้หญิงพิษ ( The Toxic Woman )

                

เรื่องเล่า

                  ผู้หญิงคนหนึ่งเกิดอาการป่วย เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และเมื่อนางพยาบาลใช้สายยางเพื่อนำมาต่อกับถุงเลือดสำรองกับพบว่าเลือดเธอเป็นพิษแสนน่ากลัว ทำให้นางพยาบาลและคนอื่นๆ ที่สัมผัส-ดมเลือดของเธอเข้าเกิดอาการผิดปกติและตายอย่างทรมานในเวลาต่อมา....................

เรื่องจริง !!   http://discovermagazine.com/1995/apr/analysisofatoxic493

เมื่อเวลา  8:15    ในตอนเย็น เมื่อวันที่  19  กุมภาพันธ์ , 1994  กลอเรีย รามิเรซ Gloria    Ramirez อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองแคลิฟอร์เนียทางใต้ของ Riverside  ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ อาการตื่น หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้นแต่ก็พูดตะกุตะกะ    โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอ

                คณะแพทย์ที่รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดให้กับ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่างนั้นเอง บางคนได้กลิ่น ของผลไม้ออกจากปากของเธอ

แพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ นางพยาบาล  Susan    Kane ทำการแนบกระบอกฉีดยา และเธอเลือดของเธอมีสีแปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยามันไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้าของเธอไหม้ !!  เธอล้มลงไปกับพื้น คลื่นเยนอาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคนก็ล้มชักอีกคน จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน   ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับเพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิด

ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พบว่าหญิงคนนั้นและคนป่วยทั้งหมดในเหตุการณ์คนนี้ เป็นหลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ,    เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายทนทุกข์ทรมานและตายในสองสัปดาห์ให้หลัง ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาที หลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ(แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถระเหยเป็นไอได้ ใครสูดสามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรมาถึงเกิดเลือดพิษแบบนี้ ทำให้เรื่องราวของเธอยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้

 

Lif
อันดับ 3 ชู้รักไร้หัว ( The Headless Lover )

                

  เรื่องเล่า

หญิงท้องคนนึง บอกสามีของเธอว่า ลูกในท้องไม่ใช่ลูกเขาแต่เป็นลูกของผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลทั้งหมด สามีเลยตัดสินใจตัดหัวชู้รักแล้วเอามาฝากภรรยาที่กำลังตั้งท้องแก่ มันเป็นเรื่องเล่าหลายแบบ แต่หลักๆแล้วมันก็แนวนี้แหละ

                  เรื่องจริง !!   http://www.snopes.com/horrors/gruesome/headless.asp

จ่าสิบเอก สตีเฟน แชพ (Sgt    Stephen    Schap) และ ไดแอน แชพ (Diane Schap) คู่รักพลเรือนทหาร ในค่ายที่เยอรมันนี ในปี  1993  เขากำลังยินข่าวดีเมื่อภรรยาเขาตั้งท้อง แต่มันคงจะเป็นข่าวดีสุดๆ หรอกถ้าสตีเฟนไม่ได้ทำหมัน.......(ตรูเป็นหมันแล้วมันท้องได้ไงฟ่ะะ) ไดแอนจำต้องยอมรับว่าเธอไปมีชู้กับเพื่อนรักของสตีเฟน ชื่อ เกรกอรี่ โกลเวอร์

โชคร้ายสตีเฟนแก้แค้นเธอล้ำลึกกว่าที่เอาเก้าอี้ขว้างใส่เธออีก

ธันวาคมตอนเย็น ไดแอนตั้งครรภ์ในเตียงโรงพยาบาลเธอโทรศัพท์ถึงชู้รักเธอเกรกอรี่ และแล้วจู่ๆ สายเขาก็ขาด    ไดแอนไม่รู้อะไรเกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้นแต่เธอไม่ต้องคิดนานหรอก เพราะอีกชั่วโมงต่อมาสตีเฟนเข้ามาในห้องของเธอแล้วเขาก็ขว้างหัวสดๆ ของเกรกอรี่จากกระเป๋าหิ้วใส่หน้าเธอ จากนั้นสตีเฟนก็พูดว่า

"ดูสิไดแอน ฉันพาคนรักของเธอมาให้แล้ว เธอจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนทั้งวัน สมใจเลยแหละ ”  สตีเฟนกล่าวกับภรรยา นี้เป็นการแก้แค้นที่สะใจสำหรับเขาแล้ว

 

อันดับ 2 ความตายในกลหลบหนี  The Not-So-Death Defying Escapist

                 

เรื่องเล่า

มีนักมายากลคนหนึ่งคิดกลหลบหนีโดยให้คนอื่นมัดเขาใส่กุญแจมือแล้วหย่อนให้ฉลามกิน แต่แล้วเมื่อถึงเวลาแสดงจริงเขากลับลืมกุญแจ ส่งผลให้เขากลายเป็นเหยื่อฉลามในที่สุด

เรื่องจริง (  http://www.aintnowaytogo.com/burrus.htm )

แน่นอนกลการหลบหนีนั้นมันเป็นกลอันตราย นักมายากลหลายรายมักบาดเจ็บและเสียชีวิตจากกลนี้เสมอ แต่เจ้าหมอนี้นั้นทำให้เราประหลาดใจ ชายที่ชื่อ เบอร์รุส (Burrus)

เบอร์รุสเป็นศิลปินกลหลบหนี แต่หมองูก็ตายเพราะงูเมื่อเขาทำการแสดงกลครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา  “ กลฝังทั้งเป็น ”  โดยเขาจะทำหลบหนีจากหลุมฝังศพด้วยตัวเองของ ในโลงศพแก้งในขณะที่ตัวเขาสวมกุญแจมือและคล้องโซ่อย่างหนาแน่นจากนั้นโรงศพนั้นถูกหย่อนลงในหลุมลึกถึงเจ็ดฟุต-สามฟิท และมันก็ถูกกลบเหมือนครีมโรยหน้าขนมบนเค้ก

ไม่รู้เคล็ดลับของกลนี้เป็นอย่างไร แต่ที่นี้หลายๆ คนก็ประหลาดใจเมื่อเบอร์รุสไม่ปรากฏตัวให้คนอื่นเห็น หลายฝ่ายเห็นท่าไม่ดี พวกเขาเลยต้องรีบขุดโลงศพของนักมายากลคนนั้นออกมาดู ก็พบว่าเขาตายคาที่เนื่องจากโลงศพของเขาแตก ดินหนักกว่า 7 ตันทะลักทับตัวเขาจนขาดอาการหายใจ

มีการสอบสวนในเวลาต่อมา ดูเหมือนว่าเขาอาจถูกฆาตกรรม มีใครบางคนสับเปลี่ยนโลงให้มันเบาะบางลง เพื่อเป็นการดับดาวรุ่ง แต่ปริศนาก็เป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน

 

อันดับ 1 หัวที่มีชีวิต ( The Living Severed Head )

 

                 เรื่องเล่า

                  เมื่อโดนตัดหัว หัวของผู้ตายหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต !!

เรื่องจริง !!  ( http://www.straightdope.com/columns/read/ 1172/ does-the-head-remain-briefly-conscious-after-decapitation )

เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม จากหลักฐานและผลวิจัย ผมขอบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ !!  เหลือเชื่อครับ ว่าหัวเราแม้จะโดนตัดคอแต่เรายังมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง โดยสมองสามารถสั่งการได้ประมาณ 15 วินาทีหลังถูกตัดคอครับ

1794  เพชฌฆาตคนหนึ่ง ตัดคอนักโทษโจรกรรม  Paul Marat  จากนั้นเขาก็หยิบหัวเธอชูสูงขึ้นและตบแก้ม และแล้วหัวที่ถูกตัดนั้นได้พูดคำว่า  “ ไม่ได้ ” ( couldn )

1836    เพชฌฆาตชื่อคนหนึ่ง ยอมรับว่าเขาเห็นหัวของนักโทษชื่อ  Prunier  กะพริบตามายังเขา

ใน 1879 แพทย์ทำการทดลองสูบเลือดสุนัขใส่เข้าไปในหัวฆาตกรชื่อ  Menesclou  หลังจากเขาโดนตัดหัวนานสามชั่วโมง แต่แล้วเขาก็พบว่าหัวนั้นมีชีวิตอยู่ มันสั่นริมฝีปาก ดึงหนังตา ,    และหัวทำท่าทางพูดแม้จะไม่มีคำออกมาก็ตาม  ใน  1905  จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม)    ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา

แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น   เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า

"หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย ”

ขอขอบคุณข้อมูล www.dek-d.com
โพสต์โดย : nampuengeiei9760