Social :



วิธีการเพาะกุหลาบจิ๋ว ด้วยการเพาะเนื้อเยื้อ

13 ก.ค. 62 11:07
วิธีการเพาะกุหลาบจิ๋ว ด้วยการเพาะเนื้อเยื้อ

วิธีการเพาะกุหลาบจิ๋ว ด้วยการเพาะเนื้อเยื้อ

วิธีการเพาะกุหลาบจิ๋ว  ด้วยการเพาะเนื้อเยื้อ

หากให้ทุกคนพูดชื่อไม้ดอกที่ตนชื่นชอบขึ้นมาสักชื่อหนึ่ง  เชื่อว่าจะมีกุหลาบเป็นคำตอบส่วนใหญ่  เพราะกุหลาบ  ได้ชื่อว่าเป็นราชินีของดอกไม้  (Queen  of  flower)  เป็นไม้ดอกที่สวยสง่า  ใช้สื่อความหมายดีๆ  และเป็นไม้ดอกชนิดหนึ่งที่มีการซื้อขายในอันดับต้นๆ  ของตลาดไม้ดอกทั่วโลก  โดยเป็นกุหลาบจำพวกตัดดอก  และต้นกุหลาบที่ปลูกในภาชนะขนาดต่างๆ  ซึ่งยังไม่พบสินค้าที่เป็น   กุหลาบจิ๋ว    หรือ เบบี้โรส(baby rose)   จำหน่ายอย่างแพร่หลายทั่วไป


กุหลาบจิ๋ว  เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมานานหลายสิบปีแล้ว  ในระยะแรกเริ่มผลิตในหมู่นักวิชาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ  ตามมหาวิทยาลัยที่จัดการเรียนการสอนด้านการเกษตร  หน่วยราชการสังกัดกระทรวงเกษตรฯ  การผลิตมีทั้งแบบทำให้กุหลาบออกดอกในขวด  หรือปลูกในกระถางเล็กๆ  เป็นของฝาก  ของแปลก  ให้ระหว่างกัน  ต่อมาจึงมีภาคเอกชนสนใจมองเห็นช่องทางธุรกิจ  จึงนำไปผลิตเป็นการค้าในช่วงระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา  ซึ่งเน้นที่สายพันธุ์ดอกสีแดงเป็นส่วนใหญ่  กุหลาบจิ๋วดอกสีอื่นๆ  ยังไม่แพร่หลายในตลาดการค้า  อย่างไรก็ตาม กุหลาบจิ๋ว  ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ปลูกเลี้ยงเสมอมา

การผลิตกุหลาบจิ๋ว   หมายถึง  การนำกุหลาบในกลุ่มกุหลาบหนู (miniature  rose)  ที่มีการจำหน่ายในตลาดการค้าทั่วไป  คัดเลือกพันธุ์ที่มีทรงพุ่มกระทัดรัด  ออกดอกสวยงาม มาผ่านกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช  (plant  tissue  culture)  ซึ่งเป็นวิธีการขยายพันธุ์พืชวิธีหนึ่ง  ทำให้ได้ต้นกุหลาบหนูความสูงประมาณ  2-3  เซนติเมตร  จำนวนมาก ที่สามารถนำไปปลูกเลี้ยงในภาชนะขนาดเล็ก  และเจริญเติบโตได้รวดเร็ว  ออกดอกสวยงามเหมือนต้นแม่พันธุ์เดิมทุกประการ  ต่างกันที่ต้นกุหลาบหนูที่ผลิตโดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ  จะมีขนาดต้นพืชที่เล็กลง  เราจึงมักเรียกกุหลาบเหล่านี้ว่า กุหลาบจิ๋ว หรือ เบบี้โรส

โดยปกติแล้วกุหลาบจิ๋วออกดอกง่าย  โดยผู้ปลูกเลี้ยงจะเริ่มสังเกตเห็นดอกชุดแรกภายหลังการอนุบาลในถาดหลุมเล็กๆ  ประมาณ  30-35  วัน ในทางวิชาการแล้ว  การออกดอกของกุหลาบจะถูกกระต้นโดยการตัดแต่งดอกที่โรย  กิ่งที่แก่เพื่อกระตุ้นให้เกิดยอดใหม่  ช่อดอกใหม่ ซึ่งหากปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอแล้ว  กุหลาบจิ๋วจะออกดอกหมุนเวียนให้เชยชมตลอดทั้งปี  หรือประมาณ  30-35  วัน  ภายหลังการตัดแต่งกิ่ง

เมื่อปี  2552  ศูนย์ขยายพันธุ์พืชสยาม  จังหวัดเชียงใหม่ ได้ทดลองผลิตกุหลาบจิ๋วดอกสีแดงและสีส้มอมชมพู  (ที่ศูนย์ขยายพันธุ์พืชสยามเรียกสีโอโรส)  โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ รวม 2 สี ออกจำหน่ายแบบขายปลีกตามกาดนัด  (ตลาดนัดของคนเชียงใหม่)  ถนนคนเดิน  และงานแสดงสินค้าทางการเกษตรหลายงานในจังหวัดเชียงใหม่  พบว่ามีกลุ่มลูกค้าให้ความสนใจสินค้ากุหลาบจิ๋วมากทีเดียวเมื่อเทียบกับสินค้าไม้ดอกไม้ประดับอื่นๆ  ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเรียน  นักศึกษา  แม่บ้าน  ข้าราชการ  และผู้สนใจปลูกกุหลาบโดยเฉพาะ  ลูกค้าหลายรายกลับมาซื้อหลายรอบ  เพราะเมื่อใครเห็นก็ขอไป  จึงต้องกลับมาซื้อใหม่  ประกอบกับที่กุหลาบจิ๋วมีขนาดเล็ก  สามารถวางบนฝ่ามือได้  จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงเทศกาลสำคัญๆ  เช่น  ปีใหม่  และวาเลนไทน์ ทำให้การผลิตต้องมีการผลิตเพิ่ม  รวมทั้งมีความต้องการให้ผลิตสีอื่นสู่ตลาดด้วย


ศูนย์ขยายพันธุ์พืชสยาม   จึงดำเนินการศึกษา  เพื่อหาแนวทางในการผลิตกุหลาบจิ๋วสีอื่นๆ  โดย วิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ   ซึ่งมีขั้นตอนพอสรุปได้  ดังนี้

1.ดำเนินการรวบรวม  และคัดเลือกกุหลาบหนูพันธุ์การค้าในท้องตลาดที่มีลักษณะทรงพุ่ม  ดอก  และการเจริญเติบโตที่เหมาะสมประมาณ  30  สายพันธุ์

2.ศึกษาหาวิธีการผลิตต้นพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ  ซึ่งพบว่าประมาณ  80  เปอร์เซ็นต์  หรือประมาณ  24  สายพันธุ์ตอบสนองต่อวิธีการผลิต  และสามารถนำไปผลิตเป็นต้นพันธุ์กุหลาบหนูเชิงธุรกิจได้

3.ทำการทดลองปลูกเพื่อคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีลักษณะที่เหมาะสมต่อการผลิตเป็นกุหลาบจิ๋ว  และคัดเลือกเพิ่มขึ้นได้อีก  6  สายพันธุ์  คือ  สีอิฐ  สีชมพูเข้ม (chalky  pink)  สีชมพูอ่อน  สีขาว  สีม่วง  และสีเหลือง


ต้นกุหลาบจิ๋วจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ  เมื่อนำออกอนุบาลจะมีเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตมาก-น้อยแตกต่างกัน  ขึ้นอยู่กับ  2  ปัจจัยสำคัญ 
MulticollaC
คือ พันธุกรรม  หรือสายพันธุ์กุหลาบ และการจัดการสภาพแวดล้อม  โดยหากอนุบาลในโรง  evaporative  house  ที่ควบคุมอุณหภูมิได้  เปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตของต้นกุหลาบจิ๋วจะสูงกว่าการอนุบาลในสภาพธรรมชาติ  มีลูกค้าหลายรายอยากขอซื้อต้นพันธุ์แบบที่อยู่ในขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากทางศูนย์  แต่ศูนย์ไม่เคยจำหน่ายออกไป  เพราะเกรงว่าหากลูกค้าไม่มีประสบการณ์ในการอนุบาล  อัตราการรอดชีวิตอาจเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์

ปิ  2554  ศูนย์ได้พัฒนาสินค้ากุหลาบจิ๋วรูปแบบใหม่  เป็นต้นพันธุ์กุหลาบจิ๋วในถาดเพาะกล้า  104  หลุม (seeding  tray)  ที่ผ่านการอนุบาลแล้วพร้อมปลูก  เพื่อจำหน่ายแก่ลูกค้าในกลุ่มที่มีโรงเรือนปลูกต้นไม้  หรือมีร้านจำหน่ายต้นไม้เป็นของตนเอง เช่น ตลาดนัดสวนจตุจักร  และตลาดนัดสนามหลวง2  หรือที่ตลาดต้นไม้คำเที่ยง  จังหวัดเชียงใหม่

กุหลาบจิ๋ว  ต้องการพื้นที่ปลูกไม่มากนัก  พื้นที่  1  ตารางเมตร  สามารถวางกุหลาบจิ๋วในกระถาง  2-3  นิ้วได้ประมาณ  130  กระถาง  การดูแลก็เช่นเดียวกับการปลูกกุหลาบทั่วไป  โดยใช้เวลาประมาณ  45-60  วัน  ผ่านการตัดแต่งกิ่ง  1-2  ครั้ง  กุหลาบจิ๋วจะออกดอกสวยงามพร้อมจำหน่ายแก่ลูกค้าได้ต่อไป


สำหรับลูกค้าซื้อปลีก  มักมีคำถามว่ากุหลาบจิ๋วจะมีอายุยาวนานหรือไม่  ในความเป็นจริง  กุหลาบเป็นพืชอายุยืนนาน  ขึ้นอยู่กับการดูแลของผู้ปลูกเลี้ยง  แต่ที่ศูนย์ก็มีต้นกุหลาบจิ๋วที่ปลูกมามากกว่า  2  ปี  ในกระถางขนาดเล็ก เป็นต้นตัวอย่างให้ลูกค้าชม  เพื่อเป็นแนวทางในการปลูกเลี้ยง  พร้อมให้คำแนะนำใน การดูแลกุหลาบจิ๋ว   ซึ่งสรุปพอสังเขปได้ดังนี้

1.แสง  กุหลาบเป็นพืชกลางแจ้ง  เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแสงแดด  100  เปอร์เซนต์ ตลอดวัน

2.ความชื้น  รดน้ำให้ชุ่มวันละ  1-2  ครั้ง  หลังพระอาทิตย์ขึ้น  และ/หรือก่อนพระอาทิตย์ตกดิน  1-2  ชั่วโมง แต่สำหรับในฤดูฝน  ความชื้นสูง ต้องพิจารณาให้น้ำตามความเหมาะสม

3.การให้ปุ๋ย  พิจารณาตามความเหมาะสม  อาจใช้สูตร  25-7-7  หรือสูตร  15-15-15  ละลายน้ำ  1  ช้อนชา/น้ำ  1  บัวรดน้ำ  ทุก  30  วันในช่วงพัฒนาทรงพุ่ม  สำหรับช่วงเกิดดอก  อาจใช้สูตร  12-24-12  รดแบบเดียวกัน

4.การแต่งกิ่ง  ให้หมั่นแต่งกิ่งแก่หรือดอกแก่ทิ้งเป็นประจำ  เพื่อกระตุ้นให้เกิดยอดและดอกใหม่ๆ  หมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี

5.ศัตรูพืช  หากปลูกไม่มาก  ไม่แนะนำให้ใช้สารเคมี  แต่แนะนำให้สังเกตแมลงเจาะดูด  เช่น  เพลี้ยอ่อน  และเพลี้ยไฟ  บริเวณยอดอ่อน  และใบอ่อน  สามารถใช้แปรงขนอ่อนปัดทิ้ง  และเอามือบี้

เอาน้ำฉีดแรงๆ  บริเวณที่มีแมลง  ส่วนเรื่องโรค  เช่น  เชื้อราที่ชอบความชื้น  ควรรดน้ำตามที่แนะนำในข้อ 2  เพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องใบให้แห้งก่อนมืดค่ำ









ข้อมูลอ้างอิง  :   https://www.technologychaoban.com/

โพสต์โดย : POK@