Social :



เทคนิคการปลูกแก่นตะวัน เชิงการค้าเพื่อสร้างรายได้อย่างมืออาชีพ

15 ก.ค. 62 10:07
เทคนิคการปลูกแก่นตะวัน เชิงการค้าเพื่อสร้างรายได้อย่างมืออาชีพ

เทคนิคการปลูกแก่นตะวัน เชิงการค้าเพื่อสร้างรายได้อย่างมืออาชีพ

เทคนิคการปลูกแก่นตะวัน  
เชิงการค้าเพื่อสร้างรายได้อย่างมืออาชีพ

แก่นตะวัน   หรือ  " ทานตะวันหัว "   และ  " แห้วบัวตอง "   เป็นพืชในตระกูลทานตะวัน  สามารถปลูกได้ดีในเขตร้อน  และเขตกึ่งหนาว  โดยลักษณะต้นของ  "แก่นตะวัน"  จะสูงประมาณ  1.5  ถึง  2  เมตร  มีขนตามกิ่งและใบ ส่วนดอกของ  "แก่นตะวัน"  มีสีเหลืองสดใสคล้ายกับดอกบัวตอง  และทานตะวัน  แต่ขนาดจะเล็กกว่ามาก  นอกจากนี้  "แก่นตะวัน"  ยังมีหัวใต้ดินคล้ายมันฝรั่งไว้สำหรับเก็บสะสมอาหาร  ซึ่งที่หัวของแก่นตะวันนี่เอง ที่จัดว่ามีสรรพคุณดีเยี่ยม ถ้าใครที่ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ  "แก่นตะวัน"  ก็ถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีขึ้น  เพราะอินนูลินจะไปช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร  นอกจากนี้ ใครที่อยากลดความอ้วน  "แก่นตะวัน"  ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน  การรับประทาน  "แก่นตะวัน"  ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้  จึงทำให้แก่นตะวันกลายเป็นพืชการค้าที่ได้รับความสนใจสูง  ณ  ปัจจุบัน


พื้นที่ปลูกและฤดูกาลปลูก  :  แก่นตะวัน ควรปลูกในพื้นที่ดินร่วนปนทราย  ระบายน้ำได้ดี  มีความอุดมสมบูรณ์สูง-ปานกลาง  ปลูกได้ทุกฤดู  และควรมีการให้น้ำในช่วงฝนทิ้งช่วง
 
การเตรียมดิน  :   ทำการไถดินตากแดดไว้  7-10  วัน  เพื่อกำจัดวัชพืช  โรคและแมลงที่อาศัยอยู่ในดิน  แล้วจึงทำการใส่ปุ๋ยหมักในอัตรา  2000-3000  กิโลกรัมต่อไร่ โดยผสมคลุกเคล้ากับดินให้สม่ำเสมอกันทุกพื้นที่


การปลูกแก่นตะวัน   :   นำเหง้าแก่นตะวัน  มาทำการตัดท่อน  3-5  เซนติเมตร  ทำการปักชำในแกลบดำที่มีความชื้นสูง  ประมาณ  7  วัน  เพื่อทำให้เกิดต้นอ่อน  แล้วจึงนำไปปลูกลงแปลงปลูกแก่นตะวัน  ระยะห่าง  80x80  เชนติเมตร  และทำการให้น้ำทันทีหลังการปลูกแก่นตะวัน

การดูแลรักษาแก่นตะวัน   :  ทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ  กำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ยสูตร  15-15-15  ในอัตรา 
MulticollaC
25  กิโลกรัมต่อไร่  เมื่ออายุได้  1  เดือน  เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และเพิ่มผลผลิต

การเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษา  :  เมื่อปลูกแก่นตะวันได้  120  วัน  หรือต้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล  ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้  โดยการใช้พลั่วหรือจอบขุดเอาเหง้าขึ้นมา นำไปทำความสะอาดแล้วจำหน่ายเหง้าสดได้ทันที  และหากจำหน่ายไม่หมดสามารถเก็บรักษาเหง้าสดได้ในอุณหภูมิ  5-10  องศาเซลเซียส


สรรพคุณอื่นทางยาสมุนไพร
- ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย 
- ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง 
- แก้อาการท้องเสีย ท้องผูก 
- ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ 
- ลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย 
- ป้องกันพิษของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
- ป้องกันอาการภูมิแพ้ และการแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
- กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียม และธาตุเหล็ก










ข้อมูลอ้างอิง  :   https://www.rakbankerd.com

โพสต์โดย : POK@