Social :



เทคนิคการปลูก และดูแล ส้มเขียวหวาน

06 ส.ค. 62 11:08
เทคนิคการปลูก และดูแล ส้มเขียวหวาน

เทคนิคการปลูก และดูแล ส้มเขียวหวาน

เทคนิคการปลูก และดูแล ส้มเขียวหวาน 

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ส้มเขียวหวาน   สามารถปลูกได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดี  เช่น  ดินร่วน  ดินร่วนปนทราย และดินเหนียวที่ปรับปรุงสภาพให้เหมาะสม  โดยมีการยกร่อง  และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง  ในกรณีที่ปลูกส้มเขียวหวานในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง  มักจะพบปัญหาเรื่องโรครากเน่า  โคนเน่าอยู่เสมอ ดินควรมีสภาพความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ  5.7-6.9  และเนื่องจากส้มเขียวหวานเป็นไม้ผลกึ่งเมืองร้อน  จึงไม่ชอบอากาศที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเกินไป แต่ถ้าปลูกในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น  เช่น  ภาคเหนือของไทย  สภาพอากาศจะมีผลทำให้ผิวมีสีเหลืองเข้มมากขึ้น


ส้มเขียวหวานที่นิยมปลูกทั่วไปในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์บางมด ผลมีลักษณะค่อนข้างกลมแป้นเล็กน้อย ก้นผลเรียบถึงเว้าเล็กน้อย ผิวมีสีเขียวอมเหลืองถึงเหลืองเข้ม ผิวเรียบ มีผิวสม่ำเสมอ เปลือกบางล่อน ปอกง่าย กลีบแยกออกจากกันง่าย มีกลีบประมาณ 11 กลีบ ผนังกลีบบางมีรกน้อย ฉ่ำน้ำ เนื้อผลสีส้ม รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย

พื้นที่ลุ่ม นิยมปลูกแบบยกร่อง  โดยมีขนาดของแปลงดินหลังร่องกว้างประมาณ  6  เมตร ร่องน้ำกว้าง  1.50  เมตร ลึกประมาณ  1  เมตร และด้านล่างของร่องน้ำกว้างประมาณ  0.7 เมตร  ส่วนความยาวไม่จำกัดแนวแปลงควรอยู่ในแนวเหนือ-ใต้  เมื่อปรับพื้นที่เสร็จแล้ว ควรตากดินไว้ประมาณ  1-2  เดือน เพื่อให้ดินแห้ง  ระยะปลูกประมาณ  3.5  เมตร ในพื้นที่  1  ไร่  จะปลูกได้ประมาณ  60  ต้น

พื้นที่ดอน ไม่จำเป็นต้องยกร่อง  ก่อนปลูกควรปรับพื้นที่ให้เรียบและไถกลบดินให้ลึกสัก  2  ครั้ง  เพื่อให้ดินร่วนซุย ระยะปลูกประมาณ  5.5-6 x 5.5-6  เมตร  ในพื้นที่  1  ไร่ จะปลูกได้ประมาณ  45-50  ต้น


- ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
- ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ  50  เซนติเมตร
- ผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกันในหลุมให้สูงประมาณ  2  ใน  3  ของหลุม
- ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม  โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
- ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาปากถุงทั้ง  2  ด้าน (ซ้ายและขวา)
- ดึงถุงพลาสติกออก  โดยระวังอย่าให้ดินแตก
- กลบดินที่เหลือลงไปในหลุม
- กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น
- ปักไม้หลัก  และผูกเชือกยึดเพื่อป้องกันลมพัดโยก
- หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น  เช่น  ฟางข้าว  หญ้าแห้ง
- รดน้ำให้โชก
- ทำร่มเงาเพื่อช่วยพรางแสงแดด

การให้น้ำ
การให้น้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากในการปฏิบัติดูแลรักษา  เพราะถ้าปล่อยให้ส้มเขียวหวานขาดน้ำจะทำให้ต้นโทรม  โรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่าย  ระยะที่ปลูกใหม่ๆ  ควรให้น้ำทุกวัน หลังจากนั้นประมาณ  2  สัปดาห์  ส้มเริ่มตั้งตัวได้แล้ว  การให้น้ำควรให้วันเว้นแต่เมื่อส้มโตแล้วการให้น้ำจะต้องควบคุมให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับช่วงการเจริญเติบโตและสภาพทั่ว ๆ  ไป  เช่น  ในระยะก่อนออกดอกจะต้องการน้ำน้อย  เพื่อให้มีช่วงเก็บสะสมอาหาร  แต่เมื่อติดผลแล้วจะต้องการน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ  จนถึงผลแก เมื่อเข้าสีแล้วควรลดปริมาณน้ำลงจากปกติจะช่วยให้ผลส้มแก่เร็วขึ้น  วิธีการให้น้ำมีหลายวิธี  ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเช่นการให้น้ำทางสายยาง  การใช้เรือรดน้ำ  และการให้น้ำโดยระบบสปริงเกอร์

การใส่ปุ๋ย
ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงอายุ  1  ปี  ควรใส่ปุ๋ยคอกผสมไปที่ดินบนโขดส้มประมาณ  10  ก.ก. หรือ  2  บุ้งกี๋/ต้น  หลังจากปลูกประมา 1 เดือน ให้หว่านปุยยูเรียต้นละ  1  ช้อนแกง หรือ  30  กรัม  ส่วนปุ๋ยเคมีควรใช้สูตร  15-15-15  ต้นละ  100  กรัม  ประมาณ  3  เดือน/ครั้ง  สำหรับปุ๋ยคอกให้อัตรา  2-3  บุ้งกี๋  หรือ 
Lif
10-15  ก.ก. ทุก  4  เดือน

ในระยะปีที่ 2- ควรใส่ปุ๋ยคอกทุก 4 เดือน อัตรา 2-3 บุ้งกี๋ หรือ 10-15 ก.ก. และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 300-500 กรัม/ต้น ประมาณ 3 เดือน/ครั้ง
ในช่วงอายุ 3 ปีขึ้นไป ส้มจะเริ่มติดผล ดังนั้นในช่วงที่ผลใกล้แก่ควรให้ปุ๋ยสูตร  13-13-21  เพื่อช่วยให้ผลส้มมีคุณภาพดีขึ้น
การตัดแต่งกิ่ง

เครื่องมือที่ใช้ในการตัดแต่งกิ่ง  ได้แก่ กรรไกรตัดแต่งกิ่ง  เลื่อย  มีด  และบันได  โดยเลือกตัดแต่งกิ่งแขนงที่รกทึบด้านล่างและกลางลำต้นออกเพื่อให้แสดงแดดสามารถส่องถึงโคนต้น กิ่งปลายยอดที่ห้อยลงชิดดิน  กิ่งที่อ่อนแอ  กิ่งน้ำค้าง  กิ่งที่มีลักษณะคดงอไขว้กัน  ทับกัน  และกิ่งที่เป็นโรคหรือถูกแมลงทำลาย


การกำจัดวัชพืช
ควรมีการกำจัดวัชพืชอยู่เสมอ  อย่าปล่อยให้วัชพืชขึ้นรก โดยใช้เครื่องมือตัดหญ้าแบบสะพายไหล่  ซึ่งสามารถตัดต้นวัชพืชได้อย่างดีไม่นิยมใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชใกล้ๆ  กับต้นส้ม  เพราะส้มเขียวหวานเป็นพืชที่มีระบบรากตื้นอาจจะได้รับอันตรายจากสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืช บางประเภทได้

การเก็บเกี่ยวการตลาด  และการคัดขนาดส้มเขียวหวาน
การเก็บผลส้มเขียวหวานจะเริ่มเก็บได้เมื่อผลมีอายุประมาณ 8-9 เดือนนับจากดอกบาน  การเก็บนิยมใช้วิธีปลิดผลโดยใช้มือจับทางด้านใต้ผลขึ้นไปแล้วหักทับตรงบริเวณขั้วผลไปทางด้านใดด้านหนึ่ง  ผลก็จะหลุดออกมาได้โดยง่าย

สำหรับการซื้อขายจะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงสวน  และเจ้าของสวนนำออกไปขายยังตลาดกลางเอง ส่วนใหญ่จะชั่งขายเป็นกิโลกรัม  ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล  ส่วนพ่อค้าเมื่อซื้อส้มแล้วจะนำมาทำการคัดขนาดเพื่อสะดวกในการกำหนดราคาขายต่อไป โดยช่วงคัดขนาดของส้มมีทั้งหมด  6  เบอร์  คือ
- เบอร์  3  มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  5  ซ.ม. เป็นส้มขนาดเล็กที่สุด มีราคาต่ำ  ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะนำไปคั้นน้ำทำน้ำส้ม
- เบอร์  2  มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  5.5  ซม. มีขนาดใกล้เคียงกับส้มเบอร์  3
- เบอร์  1  มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  6  ซม. เป็นส้มที่มีขนาดกลางผู้บริโภคส่วนใหญ่จะนิยมซื้อไปรับประทานสด
- เบอร์  0  มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  6.5  ซม. ขนาดใกล้เคียงกับส้มเบอร์  1  เป็นขนาดที่ผู้บริโภคนิยมเช่นกัน
- เบอร์  00  มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  7  ซม. เป็นส้มที่มีขนาดใหญ่มากผู้บริโภคไม่ค่อยนิยม  เพราะมีเปลือกค่อนข้างหน้า  เนื้อฟ่าม  รสชาติจืด
- เบอร์  000  ส้มที่มีขนาดใหญ่กว่าเบอร์  00  ขึ้นไปถือว่าเป็นเบอร์  000  ทั้งหมดเป็นส้มที่มีขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ  ซึ่งจะมีไม่มากนัก

การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
หลังจากทำความสะอาดและคัดขนาดผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก็นำผลส้มไปบรรจุลงในภาชนะ  เช่น  กล่องกระดาษ  หรือตะกร้าพลาสติก  เพื่อรอการจำหน่ายต่อไป  โดยระหว่างรอจำหน่ายควรมีการเก็บรักษาผลส้มไม่ให้เสื่อมคุณภาพด้วย ซึ่งวิธีการเก็บรักษาก็สามารถทำได้หลายวิธี  เช่น  การเก็บไว้ในห้องเย็น เก็บไว้ในห้องมืด  และวิธีเคลือบผิวส้มด้วยน้ำยา  เช่น  ขี้ผึ้ง  พาราฟิน  แฟตตี้แอสิค  และเอลเตอร์  ซึ่งวิธีนี้จะรักษาส้มเขียวหวานไว้ได้นาน  ประมาณ  45-60  วัน  โดยส้มไม่เสื่อมคุณภาพ  และน้ำหนักของส้มไม่ลดลงมากนัก











ข้อมูลอ้างอิง  :   https://www.baanjomyut.com/



โพสต์โดย : POK@