Social :



สุดเวทนา! หนุ่มพลเมืองดี ช่วยน้ำท่วมเมื่อปี54 ขาติดเชื้อ-ตัดทิ้ง เลี้ยงลูก3คนลำพัง

18 ส.ค. 62 16:08
สุดเวทนา! หนุ่มพลเมืองดี ช่วยน้ำท่วมเมื่อปี54 ขาติดเชื้อ-ตัดทิ้ง เลี้ยงลูก3คนลำพัง

สุดเวทนา! หนุ่มพลเมืองดี ช่วยน้ำท่วมเมื่อปี54 ขาติดเชื้อ-ตัดทิ้ง เลี้ยงลูก3คนลำพัง

สุดเวทนา! หนุ่มพลเมืองดี ช่วยน้ำท่วมเมื่อปี54 ขาติดเชื้อ-ตัดทิ้ง เลี้ยงลูก3คนลำพัง


สุดเวทนา หนุ่มเมืองช้าง 36 ปีป่วยธาลัสซีเมีย-โรคเมลิออยด์-ม้ามโต จิตอาสาช่วยเหลือน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 54 เกิดแผลติดเชื้อต้องตัดขาทิ้งรักษาจนหมดตัว เมียหนีไปมีครอบครัวใหม่ทิ้งลูก 3 คนให้เลี้ยงลำพัง มีเพียงรายได้เบี้ยคนพิการ-บัตรสวัสดิการฯ ต้องไป รพ.เกือบทุกสัปดาห์ อาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีวิต ไข่ฟองเดียวแบ่งกิน 4 คน วอนช่วยเหลือ


วันนี้ (18 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านโคกสำโรง คุ้มโคกเจริญ สพฐ.208 หมู่ 9 ต.ราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ พบครอบครัวฐานะยากจนไม่มีแม้ข้าวสารจะกรอกหม้อ อาศัยอยู่กัน 4 คนพ่อลูก ทราบชื่อคือ นายอนุชิต นิราชโศรก อายุ 36 ปี พิการขาขวาขาด ป่วยโรคธาลัสซีเมีย โรคเมลิออยด์ และม้ามโต โดยลูกสาวได้รับบ้านพระราชทานจากในหลวง ร.๙ เมื่อปี 2558 ภายในบ้านมีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่รับบริจาคมาพร้อมบ้านหลังใหม่ มีตู้เย็น เตาแก๊ส กระทะไฟฟ้า และพัดลมตัวเก่าสภาพไม่พร้อมใช้งาน ภายในบ้านถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสะอาด มีห้องครัว และห้องน้ำในตัว มีข้าวสารที่ไปขอมาจากวัด และอุปกรณ์ทำครัว



ส่วนอาหารวันนี้มีเพื่อนบ้านเอาไข่มาให้ 2 ฟอง พบเด็กชายพงศกร นิราชโศรก อายุ 9 ขวบ กำลังล้างจานอย่างขยันขันแข็ง และเข้าครัวทำกับข้าว โดยใช้กระทะไฟฟ้าทอดไข่ไก่ 1 ฟอง (แก๊สหมดถังไม่มีเงินเติม) ซึ่งลีลาในการทอดมีความชำนาญดีการหยิบจับกระฉับกระเฉง ต่อมา เด็กชายจิรายุ อายุ 6 ขวบ หยิบซีอิ๊วขาวมาเทราดลงที่ข้าวนั่งคลุกกินด้วยความหิวอย่างเอร็ดอร่อย และได้นำไปแบ่งให้พ่อและพี่ชายคนละคำสองคำเพื่อคลายหิว เพราะทั้งครอบครัวไม่ได้กินข้าวเช้า ส่วนข้าวเที่ยงก็กินข้าวคลุกซีอิ๊วขาว ซึ่งปกติแล้วงานบ้านทุกอย่างพี่สาวคนโตคือเด็กหญิงกัลยา นิราชโศรก อายุ 14 ปี จะเป็นผู้ดูแลทุกอย่าง แต่เคราะห์ร้ายถูกหมากัดที่นิ้วมือทั้งสองข้างและที่ท้องจนทำให้ไม่สามารถทำงานได้และโดนน้ำไม่ได้ ภาระทุกอย่างจึงตกไปอยู่ที่น้องชายคนกลางคือเด็กชายพงศกร อายุ 9 ขวบ


ในทุกๆ เช้า นายอนุชิต นิราชโศรก (พ่อ) อายุ 36 ปี กับลูกชายคนเล็กวัย 6 ขวบ จะขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างไปรอรับพระที่จะออกไปบิณฑบาต โดยใช้ขาซ้ายที่มีอยู่สตาร์ทเครื่อง ใส่เกียร์ ออกเดินทางจากบ้านไปวัด ระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร โดยรับพระบิณฑบาตระยะทางไกลกว่า 3 หมู่บ้าน และจะกลับมาพร้อมกับข้าวมื้อที่อร่อยที่สุด ซึ่งหลังจากหลวงพ่อฉันเสร็จจะแบ่งอาหารให้นายอนุชิตเอากลับมากินกับลูกๆ ที่บ้าน

นายอนุชิตมีลูกอยู่ 3 คน คนที่ 1 ชื่อเด็กหญิงกัลยา นิราชโศรก อายุ 14 ปี (ไม่ได้ศึกษาต่อ) คนที่ 2 ชื่อเด็กชายพงศกร นิราชโศรก อายุ 9 ขวบ เรียนชั้น ป.3 โรงเรียนใกล้บ้าน คนที่ 3 เด็กชายจิรายุ นิราชโศรก อายุ 6 ขวบ เรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนเดียวกัน

นายอนุชิตเล่าว่า เมื่อปีที่น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร ตนไปช่วยหน่วยทหาร ทางทหารให้ตนช่วยลากเรือพลาสติกขนอาหารไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามซอยต่างๆ และรับส่งประชาชนที่จะเข้า-ออก โดยการเดินลุยน้ำซึ่งลึกเท่าคอ ลากเรือไป-มา ตนอาสาช่วยได้อยู่ประมาณ 3 เดือนส้นเท้าขวาก็เป็นแผลเสียดสี จึงเกิดอาการติดเชื้อ และขาขวาเริ่มมีสีคล้ำจนกลายเป็นสีดำในที่สุด ตนเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และกลับมารักษาตัวที่สุรินทร์
Lif


ทีมแพทย์ที่ จ.สุรินทร์ระบุว่า อาการขาขึ้นเป็นสีดำจะลุกลามขึ้นวันละ 1 เซนติเมตร กระทั่งต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วนโดยการตัดขาที่ติดเชื้อทิ้งไป ต่อมาทางโรงพยาบาลที่ จ.สุรินทร์ได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพื่อไปรักษาอาการติดเชื้อกว่า 2 ปี แพทย์ระบุว่าตนมีภูมิต้านทานทางร่างกายต่ำเพราะเป็นโรคธาลัสซีเมีย (โรคโลหิตจาง) ซึ่งในขณะที่ตนลุยน้ำช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้นตนไม่คิดว่าต้องมาเป็นแบบนี้

หลังจากแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล ตนและครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านแฟนที่ จ.ศรีสะเกษ แล้วจึงย้ายเข้ามาอยู่ที่ จ.สุรินทร์ อยู่ได้สักระยะหนึ่งแฟนตนไม่สามารถทนอยู่กับความลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ได้ จึงขอเดินทางเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ และได้ไปมีครอบครัวใหม่ มีลูกใหม่ ทิ้งลูกไว้ให้ตนเลี้ยงดูทั้ง 3 คน ในขณะนั้นตนรู้สึกท้อมาก ทั้งเรื่องลูก และจะต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่ตลอด ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังต้องพึ่งยาคลายเครียด ยาแก้โรคซึมเศร้าอยู่

ตอนนั้นตนไม่รู้จะทำมาหากินอะไร จึงเดินทางไปส่งพระบิณฑบาตและพระจะแบ่งอาหารมาให้ เอามาให้ลูกๆ กิน จะกินได้แค่ 2 มื้อคือเช้า-เที่ยง เพราะส่วนใหญ่เป็นกับข้าวสำเร็จ เก็บไว้ได้ไม่เกินเที่ยง ส่วนอาหารเย็นหาซื้อกับข้าวทำกินเอง และปัจจุบันนี้ตนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จึงไม่สามารถออกไปส่งพระบิณฑบาตได้ ทางพระก็แบ่งข้าวสาร-อาหารแห้งมาให้กินกัน


รายได้ตอนนี้มีแค่เงินเดือนผู้พิการ 800 บาท และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หากเวลาที่ตนและลูกต้องเข้าโรงพยาบาลต้องไปหาหยิบยืมเงินญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านบ้าง ซึ่งตอนนี้ตนมีโรคประจำตัวอยู่หลายโรค ทั้ง โรคธาลัสซีเมีย คือโรคโลหิตจาง ซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมและลูกสาวคนโตได้รับโรคนี้ด้วย ต้องไปรับเลือดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกเดือน ตน 1 ครั้ง ลูกตนอีก 1 ครั้ง หนึ่งเดือนเข้าโรงพยาบาลประมาณ 2-4 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งต้องขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง และต้องพาลูกๆ ไปทุกคนเพราะทิ้งลูกคนเล็กไว้ไม่ได้ ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร (กม.) หากวันไหนที่ตนขี่ไม่ไหวก็จำเป็นต้องให้ลูกสาวเป็นคนขี่แทน

ลูกสาวคนโตตอนนี้อายุประมาณ 14 ปี เรียนชั้น ม.1 โรงเรียนประจำตำบล แต่ลูกไม่ได้ไปเรียนเพราะไม่มีเงินให้ลูกไปเรียนประมาณปีกว่าๆ แล้ว อีกอย่างจำเป็นจะต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำเพราะต้องเข้าไปรับเลือดและก็ต้องมาดูแลตนด้วย เพราะม้ามตนเริ่มโตเกิดอาการเจ็บปวดที่ท้องทำอะไรไม่ได้เลย กินข้าวก็ปวดเพราะกระเพาะขยายตัวไปโดนม้าม เดินได้ไม่ถึง 10 เมตร

แต่ละวันลูกสาวต้องรับผิดชอบงานบ้านทุกอย่าง ทั้งหุงข้าว ล้างจาน ซึ่งเวลาที่ตนเจ็บปวดเมื่อยเพราะอาจจะเดินมากไปหรือนั่งมากไป ลูกสาวก็จะมาบีบนวดให้ ส่วนโรคที่ 2 คือโรคเมลิออยด์ อาการมีไข้สูงจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล


ส่วนอาหารการกินอยู่บางครั้งมีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง หากไม่มีกับข้าวลูกๆ จะราดซอสคลุกข้าวกิน บางครั้งเพื่อนบ้านสงสารเอาอาหารมาแบ่งบ้าง หากวันไหนไม่มีข้าวสารกรอกหม้ จะไปขอที่วัด สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ แพทย์ให้ตนตัดสินใจว่าจะผ่าม้ามหรือไม่ หากไม่ผ่าทางโรงพยาบาลก็จนปัญญาจะช่วยให้หาย ส่วนตัวตนอยากผ่า เพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมก็แนะนำให้ผ่า ซึ่งม้ามมันโตมากแล้ว มันดูดเลือดไปหมดเพราะร่างกายตนไม่สามารถสร้างเลือดเองได้เหมือนคนปกติ

แต่มันลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะไม่รู้หลังผ่าตัดจะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานแค่ไหน และลูกคนเล็กกับคนที่ 2 ต้องเรียนด้วยไม่มีใครดูแล เลยทำให้ลำบากใจในการตัดสินใจ และไม่มีเงินที่จะไปนอนรักษาตัวด้วย เมื่อหลายปีก่อนทาง อบต.ส่งชื่อไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยสงเคราะห์ ได้มา 2,000 บาท และตอนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์เดินทางมาที่ ต.ราม ตนได้เงินช่วยเหลืออีก 2,000 บาท

อย่างไรก็ตาม หากผู้ใจบุญมีจิตศรัทธาอยากช่วยเหลือ สามารถโอนเงินเข้าบัญชีได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี นายอนุชิต นิราชโศรก เลขที่บัญชี 403-382280-7 หรือโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดกับ นายอนุชิต นิราชโศรก ที่หมายเลข 08-0174-5803



ขอบคุณข้อมูล  mgronline

โพสต์โดย : Ao