อำเภอที่ผมอยู่นั้น อยู่ห่างจากตัวจังหวัดเกือบ 100 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง มีรถโดยสารประจำทางวิ่งอยู่ตลอดทุกวัน เส้นทางเป็นถนนลาดยาง 2 เลน จึงสะดวกในการเดินทางเป็นอย่างมาก
ครั้ง หนึ่งผมมีธุระในตัวจังหวัด ผมจึงขับรถปิคอัพส่วนตัวเดินทางไปคนเดียวแต่เช้า โดยไม่เร่งรีบอะไรนักกระทั่งมาถึงตัวจังหวัดตามกำหนดเวลา ก็ได้ทำกิจธุระต่างๆ จนเสร็จเรียบร้อย ด้วยว่ามีธุระหลายอย่างจึงต้องวิ่งเต้นทั้งวัน จนกระทั่งมืดค่ำจึงได้ไปหาอาหารทาน ที่ร้านอาหารในตัวเมืองก่อนจะเดินทางกลับ เวลา ประมาณ 2 ทุ่ม พอผมจ่ายค่าอาหารเสร็จก็ขึ้นรถขับกลับบ้าน โดยใช้เส้นทางเดิมเหมือนตอนขามา โดยขับมาเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านตามรายทางหลายหมู่บ้าน มีป่าละเมาะสลับเป็นระยะๆ ทั้ง 2 ฟากทาง แต่มันน่าแปลก ที่ไม่ยักเห็นมีรถวิ่งสวนไปมาสักคันเดียว บรรยากาศก็ดูเงียบผิดปกติ แสงไฟจากหน้ารถส่องสว่างไปเรื่อยๆ ฉับ พลัน! สายตาของผมได้มองไปเห็นร่างร่างหนึ่งเข้าร่างนั้นยืนอยู่ทางซ้ายมือ ตรงบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นถนนลูกรังกำลังโบกมืออยู่ไหวๆ คล้ายกับว่าจะขอโดยสารไปด้วยทำนองนั้น โดยร่างนั้นผมยาวสยาย รูปร่างผ่ายผอมบอบบาง สวมเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงสีดำทั้งชุด ใน ใจตอนนั้นคิดว่าเป็นหญิงสาว แต่พอรถเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่าร่างนั้นถือตะกร้าสีดำ แบบที่คนแก่ชอบใส่หมากพลู อีกทั้งร่มที่ถืออยู่ก็สีดำ ทุกอย่างเห็นมีแต่สีดำทั้งสิ้น พอ ผมจอดรถเสร็จเรียบร้อย ก็โน้มตัวไปทางประตูฝั่งตรงข้าม พร้อมเอื้อมมือไปเปิดล็อก และไขลดกระจกลงอย่างช้าๆ พอเธอโผล่หน้าเข้ามา ก็ให้สังเกตว่าหน้าตาดูเหี่ยวย่น ประมาณอายุคง 60 ปีเห็นจะได้ เธอพูดด้วยเสียงเนิบนาบช้าๆ ขึ้นว่า
?ฉันขอโดยสารไปด้วยคน จะไปลงที่หมู่บ้านข้างหน้าโน่น...ได้ไหมจ๊ะ?
?ได้...ได้ครับ...เชิญเลยครับ? ผมพยักหน้าตอบรับ
หญิง ชราคนนั้นได้เปิดประตูรถ แล้วก้าวเท้าขึ้นมานั่งตรงเบาะหน้ารถคู่กับผมทันที โดยวางร่มกับตะกร้าหมากพลูไว้ข้างๆ ตัว พอแกนั่งเสร็จ จมูกของผมก็ได้กลิ่นแปลกๆ คล้ายกลิ่นควันธูปโชยมากระทบอย่างจัง แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไร ผมค่อยๆ เหยียบคันเร่งออกจากที่นั่นทันที พร้อมกับถามไปว่า
?เอ่อ...แล้ว...แล้วนี่คุณยายไปยังไง มายังไง ถึงได้มายืนอยู่แถวนี้ล่ะครับ?
?ยายมางานศพที่หมู่บ้านนี้ แต่ไม่มีรถกลับ จึงต้องมายืนรอรถอย่างที่เห็นนี่แหละจ้ะ?
หญิงชราตอบกลับช้าๆ โดยไม่ยอมหันหน้ามาทางผมเลย ได้แต่นั่งเพ่งสายตาไปเบื้องหน้า ดูแข็งทื่อยังไงชอบกล ผมเลยถามต่ออีกว่า
?แล้วบ้านคุณยายอยู่ที่ไหนล่ะครับ??
?บ้านยายอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากหรอก อีกไม่นานก็จะถึงแล้ว ถึงเมื่อไหร่แล้วจะบอกนะจ๊ะ?
ผม ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ สายตาเพ่งมองไปข้างหน้า ที่มีแสงไฟสาดส่องไปตามเส้นทาง โดยไม่ได้ซักถามหรือพูดคุยอะไรอีก กระทั่งรถวิ่งมาได้อีก 5-6 กิโลเมตร หญิงชราคนนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า
?เอ่อ...ถึงแล้ว ตรงปากทางนั่นแหละ ยายจะลงตรงนั้น จอดให้ด้วยนะจ๊ะ?
ผมชะลอความเร็วลง พอถึงปากทางแยกก็ค่อยๆ แตะเบรกหักแอบข้างทาง จนรถหยุดอยู่กับที่ หญิงชราก็พูดขึ้นว่า
?ยายขอบใจมาก ที่อุตส่าห์มีน้ำใจให้นั่งรถมาด้วยขอบใจนะจ๊ะ?
พูด จบแกก็เอื้อมมาหยิบร่มและตะกร้าที่อยู่ข้างๆ ตัวถือติดมือ พร้อมกับเปิดประตูรถก้าวเท้าออกไป และโบกมือให้ผมไหวๆ ผมจึงขับรถเคลื่อนตัวออกมาจากบริเวณนั้นช้าๆ แสงจันทร์บนท้องฟ้าสาดส่องลงมาเบื้องล่างพอมองเห็นผมขับรถออกมาได้สักระยะหนึ่ง ก็เหลือบมองดูกระจกส่องหลัง ฉับพลัน! ผมก็แทบสะดุ้งโหยงตื่นตกใจ เพราะมองเห็นร่างของหญิงชราในชุดสีดำกำลังยื่นมือยาวๆ ไล่หลังผมอย่างกระชั้นชิด มัน เหมือนกับนางนาคพระโขนง ที่เคยดูในภาพยนตร์ทำนองนั้น เล่นเอาผมแทบหัวใจวาย รีบเหยียบคันเร่งเต็มที่ จนรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยอาการขวัญผวาอย่างหนัก