Social :



จับขบวนการทุจริตโครงการคนละครึ่ง

18 ธ.ค. 63 18:12
จับขบวนการทุจริตโครงการคนละครึ่ง

จับขบวนการทุจริตโครงการคนละครึ่ง

18 ธ.ค.กรุงเทพฯ. -ตำรวจประเดิมจับขบวนการทุจริตเงินโครงการคนละครึ่งจับ ผู้ต้องหาตั้งตัวเป็นโบรกเกอร์หาลูกค้าป้อนร้านโชว์ห่วยที่สมุทรสาคร แต่โป๊ะแตกถูกจับได้ เพราะลูกค้าอยู่ไกลถึงเชียงใหม่


ตำรวจจับ 4 ผู้ต้องหา ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง   โดยมีลักษณะวิธีการทุจริต 2 รูปแบบ รูปแบบแรก ร้านค้าคนละครึ่งที่รับแลกเงินสด มีการโอนเงินให้กับประชาชนที่ใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง (สิทธิคนละครึ่ง) โดยตรงผ่านทาง mobile banking , ATM , และเงินสด ซึ่งรูปแบบนี้ไม่ได้มีการซื้อ - ขายสินค้าจริงแต่ไปรับเงินโดยตรง

 ส่วนรูปแบบที่ 2 ลักษณะเป็นเจ้ามือ ประชาชนที่ต้องการแลกเงินมีการให้ข้อมูลการ  Login เข้าแอปพลิเคชันเป๋าตังแก่ร้านค้าเพื่อใช้สิทธิคนละครึ่งแทน โดยวิธีนี้ร้านค้าจะหาลูกค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก เป็นต้น ซึ่งหากมีประชาชนสนใจจะมีการตกลงแบ่งผลประโยชน์  กระทำการเสมือนมีการค้าขายแต่ไม่มี  โดยผู้ต้องหาจะแสดงตนเป็นทั้งร้านค้า และประชาชนผู้ใช้สิทธิ์  โดยกรณีนี้ตำรวจได้สืบสวนจากข้อมูลพบว่าที่อยู่ร้านค้า และผู้ใช้สิทธิอยู่ต่างภูมิลำเนา และคนละจังหวัด ทั้งเชียงใหม่ สงขลา ฯลฯ


พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุ ขณะนี้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 4 คนแล้ว ในข้อหาฉ้อโกง และข้อหาฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และเรียกสอบปากคำประชาชน 14 คน
Lif
ที่นำข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับรหัสเข้าแอปพลิเคชันเป๋าตังส่งให้กับร้านค้าผู้กระทำความผิด  หลังจากนี้ตำรวจจะพิจารณาว่าจะต้องแยกการดำเนินคดีต่อไปอย่างไร โดยร้านค้าผู้กระทำความผิดพบว่ามีประชาชน 200 คน ที่เข้าข่ายร่วมกระทำความผิด โดยรัฐได้โอนเงินให้กับร้านค้าไปแล้วกว่า 220,000 บาท ในจำนวนนี้มีทั้งการซื้อ - ขายแบบสุจริต และการกระทำทุจริตโดยลูกชายของเจ้าของร้านเป็นหนึ่งในผู้หาวิธีฉ้อโกง เนื่องจากทราบช่องโหว่เชิงเทคนิค เช่น การไม่สแกนซื้อสินค้า  ส่วนสามี-ภรรยา ทำหน้าที่เป็นนายหน้าพบว่าได้เงินส่วนต่างจากการกระทำผิด 10 วัน ประมาณ 10,000 บาท

ยอมรับยังสรุปความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่เชื่อว่าความเสียหายนั้นจะไม่สูง เนื่องจากทางธนาคารได้เฝ้าระวังและสั่งหยุดต่ายเงินทันทีเมื่อพบความผิดปกติ


สำหรับข้อมูลพบว่า มีร้านค้าที่กระทำความผิดจำนวนอีกกว่า 700  ร้านค้า ซึ่งหลังจากนี้ตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบและจับกุมดำเนินคดีต่อไป              ส่วนการสอบสวนดำเนินคดีในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ ระบุ ตำรวจกองปราบและตำรวจท่องเที่ยวลงพื้นที่เก็บพยานหลักฐาน คาดว่าสัปดาห์หน้าจะสรุปคดีได้ หากพบเป็นเป็นคดีฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น จะออกหมายจับ ส่วนฉ้อโกง จะออกหมายเรียก เนื่องจากมีอัตราโทษหนักเบาไม่เท่ากัน. -สำนักข่าวไทย



ขอคุณข้อมูล- สำนักข่าวไทย Online

โพสต์โดย : Ao