Social :



เรื่องเล่าจากประสบการณ์กับบ้านพักสยองขวัญ

18 ส.ค. 59 21:08
เรื่องเล่าจากประสบการณ์กับบ้านพักสยองขวัญ

เรื่องเล่าจากประสบการณ์กับบ้านพักสยองขวัญ

เรื่องทีจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของความเชื่อ เรื่องลี้ลับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ดิฉันอายุ 32 ปี ทำงานเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางยี้ห้อหนึ่ง ดิฉันมีโอกาศได้ไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ แต่ละจังหวัดที่ไปทำงานนั้น เราจะต้องพักเป็นเวลาหลายวัน ซึ้งที่พักแต่ละที่นั้น มีทั้งดีแหละไม่ดี แต่มีสถานที่หนึ่งนั้น ทำให้ดิฉันลืมมันไม่ลง เป็นสถานที่ ที่ทำให้จำมันมาถึงทุกวันนี้

ดิฉันกับกลุ่มของเราได้รับหมอบหมายให้ไปประชาสัมพันธ์สินค้า ที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เป็นเวลา 3 วัน ดิฉันได้ให้น้องในกลุ่มหาสถานที่พักเหมือนเคย แต่รอบนี้ หาที่พักยากเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงเทศกาล หาเท่าไรก็ไม่ได้สักที จนมาเจอที่หนึ่ง เป็นที่พัก ทีห่างจากตัวอำเภอเมืองพอสมควร ที่พักชั้นล่างเป็นปูน ข้างบนชั้น 2 เป็นไม้ ดูรวมๆ แล้วโอเค เราจึงตัดสินใจพักกันที่นี้ ดิฉันไม่คิดเลยว่า การตัดสินใจครั้ง เป็นการตัดสินใจที่พลาดที่สุดในชีวิต

ก่อนการเดินทางทุกครั้ง เราจะรวมกลุ่มกันไปทำบุญกัน เพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทาง เราเลือกไปทำบุญที่วัดหนึ่งย่านฝั่งธนบุรี ซึ้งเป็นวัดประจำที่เราทำบุญกันก่อนเดินทาง  เราเตรียม สังขทาน ดอกไม้ สิ่งของอื่นๆ ไปถวายพระ ก่อนจะกลับจากวัดนั้น พระท่านได้ทักว่า รอบนี้พวกเอ็งคงกลับมาไม่ครบทุกคนนะ แล้วแต่บุญวาสนา พวกเราหันหน้ามองกัน พี่คนในกลุ่มเลยถามพระว่า มีอะไรหรือป่าวหลวงพ่อ หลวงพ่อมองหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร หลวงพ่อได้หยิบขันพรมน้ํามนต์ มาพรมให้กลุ่มเรา แล้วก็พูดขึ้นว่า อาตมาเป็นพระ พูดอะไรมากไม่ได้หลอก แล้วแต่บุญ แล้วแต่กรรมของแต่ละคนในเวลานั้นพวกเราไม่ได้คิดอะไรเลย ยังแซ่วคนในกลุ่มว่า สงสัยพี่ในกลุ่มจะได้เมียเป็นคนอีสาน คงไม่กลับมาทำงานแล้วละ เราพูดคุยกันกันไปอย่างสนุกสนาน

พอดิฉันกลับมาถึงบ้าน เตรียมเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ ลงกระเป๋า เพื่อการเดินทางวันพรุ่งนี้ ในช่วงเวลาที่ดิฉันกำลังจะนอนรู้สึกกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นไม่รู้ว่าฝันหรือป่าว ดิฉันเห็นภาพของยายของดิฉัน มาบอกว่า อย่าไปเลย พร้อมกับดึงมือของดิฉันไม่ให้ขึ้นรถตู้ พอพูดจบนั้น ดิฉันก็สดุ้งตื่น รู้สึกเจ็บข้อมือ รู้สึกปวดๆ ดิฉันงงว่ามันคือความฝันหรือคิดมากไปเอง เพราะปกติดิฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ดิฉันพยามยามไม่คิดอะไร

พอถึงตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ดิฉันเห็นรูปกลุ่มเราทีถ่ายด้วยกันหล่นพื้น กระจกแตก กระจาย แต่ด้วยรถตู้มารอรับที่หน้าบ้านแล้ว เลยตะโกน บอกแม่เก็บให้ด้วยเพื่อนมารอรับแล้ว ดิฉันรีบเอาเครื่องใช้สัมภาระต่างๆ ขึ้นรถเดินทางทันที ขณะที่รถออกดิฉันมองกลับไปที่บ้าน เห็นคุนยายมายืน อยู่หน้าบ้าน ดิฉันตกใจมากรู้สึกหน้ามืด ตอนนั้นกังวลใจรู้สึกไม่ค่อยดีกับการเดินทางครั้งนี้ เหมือนมีล่างบอกเหตุอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้สนใจพยายามคิดจะรีบทำงานให้เสร็จแล้วรีบกลับบ้าน

ก่อนที่จะถึงตัวจังหวัด ฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที เพื่อนๆต่างพากันนอนพักผ่อน ดิฉันก็เล่นโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยเปลื่อยแต่รถก็ค่อยๆหยุดลง ข้างหน้าได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นรถติดยาว และรถของเราก็ได้ขับผ่านได้เห็นอุบัติเหตุ รถเก๋งกับรถมอเตอร์ไซค์ชนกัน คนขับรถมอเตอร์ไซค์โดนรถที่ขับตามมา เหยียบซ้ำ เหยียบไปครึ่งศรีษะ สมองไหล เป็นภาพที่สยดสยองมาก แต่ที่ผิดสังเกตไปกว่านั้นเราเห็นคนยืนใต้ต้นไม้ กำลังมองมาที่อุบัติเหตุ  คนที่มองมาเหมือนคนขับมอเตอร์ไซค์มาก เราคิดว่าคงใช้แล้วละ ตอนนั้นเราไม่กล้าบอกใครว่าเราเห็นทำอะไรไม่ถูกได้แต่ข่มตาให้หลับ

ในที่สุดรถก็เข้ามาถึงตัวเมือง เราได้แวะซื้อของกันข้างทาง เพื่อนๆก็เห็นดิฉันทำหน้าไม่ดีไม่สบายใจ ก็พากันถามว่าเป็นอะไรหรือป่าว ดิฉันก็เลยบอกไม่มีอะไรหลอก ปวดหัวนิดหน่อย ไม่อยากทำให้เพื่อนไม่สบายใจ ในขนะนั้นเอง ดิฉันได้เห็นเหมือนพี่น้องแฝดในกลุ่มทั้ง 2 คน ไม่มีศรีษะ ดิฉันตกใจ ทรุดลงไปกับพื้น ตกใจกับภาพที่ได้เห็น ดิฉันเริ่มรู้สึกไม่ดี เลยขอไปนอนพักบนรถตู้ก่อน ทุกคนรีบซื้อของแล้วขึ้นรถตู้ เพราะเริ่มรู้สึกไม่ดีกันแล้ว ในขณะที่กำลังขับไปที่พักนั้น ก็ได้คุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ลุงคนขับตู้ก็บอกว่า รู้สึกไม่ดีตั้งแต่ขับเข้าจังหวัดแล้ว เหมือนมีอะไรสักอย่าง (ลุงคนขับรถตู้เหมือนเป็นคนมีเซ้นส์เรื่องพวกนี้)  เราเลยคุยกันว่ากลับกันก่อนไหม หลังเทศกาลค่อยมาทำงานใหม่ แต่พี่หัวหน้าก็บอกว่ามาขนาดนี้แล้ว จะกลับทำไม อีกอย่างก็ใกล้ถึงที่พักแล้วด้วย หัวหน้ายังบอกอีกว่า วันนี้คงนั่งรถเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับที่พักไปพักกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน สรุปเราจึงเดินทางกันต่อ

ทางเข้าที่พักของเรานั้น สองข้างทางมืดมากแล้วไม่มีบ้านคนอยุ่แถวนั้นเลย บ้านที่เราพักอยุ่ในซอยเปลียว เรามาตามบ้านพักตามแผนที่ แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอมันก็ดึกมากแล้วด้วย เพื่อนทุกคนภายในกลุ่มก็กังวลกันจนมาเจอบ้านหลังหนึ่งเราเลยจอดถามทางว่า ที่พักของเรานั้นไปทางไหนในขนะที่เราบอกชื่อที่พักนั้น ชาวบ้านก็ทำสีหน้าแปลกๆแล้วเอามือชี้ไปทางซ้าย บอกเลย  3 แยกไปก่อน บ้านพักอยู่ในซอยขวามือ แหละเราก็ขับตามที่ชาวบ้านบอกไป พวกเราทั้งหมดก็ตกใจกัน เมื่อกี้เราก็ผ่านตรงนี้มาแล้ว ทำไมไม่เจอ น้องในกลุ่มเริ่มสีหน้าไม่ดี เหมือนจะร้องไห้ บอกพี่หัวหน้า หนูไม่อยากพักที่นี้แล้ว รู้สึกไม่ดี แต่หัวหน้าก็ยืนยันคำเดิมว่าเรามาถึงที่นี้แล้ว เราคงต้องเข้าพักแล้ว

รถตู้ก็ได้มาจอดหน้าบ้าน เราก็พากันยกของลงจากรถเพื่อเข้าไปเก็บในบ้านขณะที่เดินเข้าบ้านเราสังเกตได้ว่า บ้านนี้เพิ่งถูกตัดต้นหญ้า ทำความสะอาด เหมือนไม่มีคนมาอยุ่ที่นี้นานแล้ว เราก็จัดแจงแยกย้ายกันพักผ่อนเวลานั้นไม่คิดอะไรแล้ว เหนื่อย อยากพักผ่อนมากกว่า บ้านมีทั้งหมด 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอนจะอยู่ข้างบนทั้ง 3 ห้อง ใช้ได้ 2 ห้อง อีกห้องหนึ่งเจ้าของบ้านบอกไว้ ห้องนี้เป็นห้องเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เจ้าของบ้านได้ล็อกกุญแจห้องไว้ ห้องที่เราพักอยุ่บนชั้น 2 ติดกับห้องที่ล็อกกุญแจไว้ ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นห้องของพี่น้องฝาแฝด พวกหนุ่มๆนอนข้างล่างกัน ทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อนปกติ เราก็อาบน้ำนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าไปทำงานในตัวเมือง

ในขนะที่นอนอยู่นั้น เราได้ยินเสียงเหมือนได้ยินเสียงคนเดินอยู่ที่ห้องข้างๆ คนลากอะไรสักอย่างดิฉันคิดว่าคงโดนหลอกแล้ว เลยพูดในใจบอกว่า พรุ่งนี้ตอนกลับมาจะซื้อน้ำ ซื้อดอกไม้มาถวายให้ ผ่านไปสักพักเสียงเดินก็ค่อยๆหายไป ขณะที่นอนคลิ้มๆดิฉันรู้สึกเจ็บที่หน้าอกเหมือนมีคนมาหยีบ พยามที่จะขยับตัวแต่ก็ขยับไม่ได้ ดิฉันจะกลั้นใจฝืนลืมตาขึ้นมา เห็นผู้หญิงใส่ชุดสีดำ นั่งยองๆบนหน้าอกอยู่คือตอนนั้นไม่ไหวแล้ว น้ำตาไหล สวดมนต์ ต่างๆให้เค้าไป อย่ามายุ่งกับดิฉันแต่เค้าก็ไม่ไป เค้าก็นั่งโยกตัวอยู่บนหน้าอก แล้วก็พูดพึมพำ จากนั้นเราก็หมดสติไป มารู้สึกอีกทีได้ยินเสียงเคาะประตู ดิฉันเลยรีบลุกไปเปิดประตูห้องเห็นน้องผู้หญิงที่นอนกับดิฉัน ดิฉันรีบเข้ากอดน้องทัน ดิฉันร้องไห้อยากจะกลับบ้าน พอเราทำอะไรเสร็จเราก็รีบลงมาข้างล่างมาคุยกัน เราได้เล่าว่าเราเจออะไรบ้าง พอเราเล่าเสร็จ พี่หัวหน้าที่นอนข้างล่างก็บอกว่า เมื่อคืนนอนๆ อยู่ มองไปที่ข้างบน เห็นเหมือนตาคนมองลงมาที่ข้างล่าง ตาสีแดงกร่ำ พี่หัวหน้าเค้านอนที่ห้องนั่งเล่นซึ้งห้องนั่งเล่นอยู่ตรงกับห้องที่เจ้าของบ้านล็อกห้องไว้ แล้วบนชั้น 2 จะเป็นไม้พี่เค้ามองทะลุช่องไม้ขึ้นไปทุกคนต่างพากันตกใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น มีอะไรอยู่ที่ห้องนั้นหรือป่าว เราเลยถามฝาแฝดว่าเจออะไรไหมนางก็บอกไม่เจอหลับสบายดี

ลุงขับรถตู้ได้เอาเศษหนังบางอย่างให้ดู ในเศษหนังอันนั้นเขียนเป็นอักขระ ลุงบอกเป็นภาษาเขมร ลุงเจอมันหลังบ้าน พี่หัวหน้าก็บอกว่างั้นเดี๋ยววันนี้เราไปทำงานกันก่อน เสร็จแล้วรีบไปวัดกัน หลังจากที่เราเคลียร์งานเสร็จก็รีบไปวัดกัน เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อทำสีหน้าตกใจแล้วบอกว่า รู้ไหมเค้าตามพวกเอ็งมาจากบ้าน ยังนั่งรอพวกเอ๊งอยู่ในรถ ทุกคนพากันเครียดหนัก เลยถามว่าหลวงพ่อมีวิธีไหม หลวงบอกเลยบอกว่า เดี๋ยวจะช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน หลวงพ่อได้น้ำมนต์ไปพรมทั่วรถ ก่อนกลับได้แจกสายสิญจน์คนละอันแล้วบอกว่าขอให้มีสติ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

 

หลังที่เรากำลังจะกลับลุงขับรถตู้ได้บอกว่า เค้ามีญาติที่รู้จักกับพ่อหมอ เห็นเค้าบอกว่าอยู่จังหวัดนี้ ถ้าเราอยากไปเด๋วเค้าจะโทรไปถามทางให้  ทุกคนพากันตกลงเดินทางไปหาพ่อหมอ พอเดินทางไปถึงบ้านพ่อหมอนั้น สุนัขได้พากันหอน ตลอดทางเข้าบ้านพ่อหมอ พอถึงบ้านพ่อหมอได้มีหญิงชราแก่ๆ คนหนึ่งเดินมารับหญิงชราคนนี้ได้แต่งตัวชุดสีขาว เหมือนคนถือศีล หญิงชราได้บอกว่า พ่อหมอรออยู่ในเรือนรีบเข้าไปหาเค้า ดิฉันสังเกตได้ว่า หญิงชราคนนั้นได้แต่มองรถตู้ทำสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน เมื่อเราได้ขึ้นบ้านไปพบพ่อหมอในห้องของพ่อหมอ มีโต๊ะพระเครื่องชุดใหญ่แล้วก็มีหุ่นแปลกๆดูท่าทางน่ากลัวบรรยากาศทำให้ขนลุก หมอเป็นผู้ชายน่าจะอายุ 70-80 ปี พ่อหมอได้พูดขึ้นว่า พวกเอ็งรู้อยู่ป่าวว่าเล่นอยู่กับอะไร ทำไมพวกเอ็งถึงไปยุ่งกับเค้า พวกเอ็งอยากเจอดีกันใช่ไหม

ทุกคนพากันตกใจ พี่ในกลุ่มเลยพูดไปว่าพวกเรามาทำงานไม่ได้มารบกวนใคร ทำงานเสร็จแล้วเราจะรีบกลับบ้านกัน พ่อหมอก็บอกว่าพวกเอ็งไปอยู่ที่ของเค้า เค้าจะเอาพวกเอ็งไปอยู่ด้วย และลุงคนขับรถตู้ก็ได้หยิบหนังที่เก็บได้ให้พ่อหมอดู พ่อหมอได้สีหน้าเปลี่ยนไป แล้วบอกว่าหนังที่เก็บได้อันนี้เป็นหนังของคนตายโหง คนที่ทำเกี่ยวกับพวกนี้เป็นคนที่เล่นของเขมร พ่อหมอได้นำหนังอันนั้นใส่ขัน ในขันมีน้ำมนต์แล้วพ่อหมอก็สวดทำพิธี ขณะสวดมนต์อยู่นั้นได้เกิดลมแรง ปิดประตูหน้าต่าง เสียงดังหลายครั้ง หมาแถวนั้นก็พากันหอนตลอด แล้วก็ได้กลิ่นแปลกๆคล้ายกลิ่นซากศพ ลอยมาพอทำพิธีเสร็จ ลมกับเสียงต่างๆก็ได้หยุดลง พ่อหมอได้พูดอีกว่า เค้ายังไม่จบ เค้าจะเอาพวกเอ็งไปอยู่ ไปรับใช้เค้า พี่ในกลุ่มเลยพูดว่างั้นเรากลับ กทม กัน ไม่อยู่ที่นั้นกันแล้ว พ่อหมอก็บอกอีกว่า เอ็งหนีไปพ้นหลอกในเมื่อพวกเอ็งไปอยู่ที่ของเค้าแล้ว เค้าก็จะตามเอาเอ็งไปอยู่ด้วย

คือตอนนั้นเราทนไม่ไหวแล้วได้พูดกับพ่อหมอไป ดิฉันสับสนไปหมดกับเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย เราไปทำอะไรให้เค้า เค้าถึงได้ตามมาเอาชีวิตเราพวกเราทำอะไรผิด พูดจบ พ่อหมอได้หยิบเชือกให้ พ่อหมอบอกว่าให้เอาเชือกนี้ไปพูกรอบบ้าน แล้วอย่าไปยุ่งกับที่ของเค้า  เราก็ถามพ่อหมอว่าทีของเค้าคือบ้านหรือว่าอะไร ในตอนนั้นเราคิดขึ้นได้ทันที หรือว่าจะเป็นห้องที่เจ้าของบ้านใส่กุญแจห้องไหม เราเลยถามคนในกลุ่มเราว่า มีใครได้ไปยุ่งอะไรกับห้องนั้นไหม พี่น้องแฝดเลยบอกว่า เมื่อคืนก่อนจะนอนได้ยินเสียงเหมือนอะไรอยู่ในห้องนั้นหลายรอบ คือน้องบอกว่ารำคาน นอนไม่หลับ เลยไปเคาะประตูห้อง แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป น้องแฝดก็ไม่ได้คิดอะไร กลับห้องมานอนเหมือนเดิม

คือตอนนั้นในกลุ่มเราเข้าใจทันทีเลย ว่าต้องมีอะไรในห้องนั้นแน่ๆเลยถามพ่อหมอไป พ่อหมอเลยบอกว่าอย่าไปยุ่งทีของเค้า ต่างคนก็ต่างอยู่ไป ถ้าคืนนี้ผ่านไปได้ก็ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราทุกคนต่างพากันไหว้ ขอบคุณพ่อหมอแล้วกลับที่พักกันพอกลับไปถึงที่พัก เปิดประตูเข้าไปปุ๊บ กลิ่นซากศพลอยมาก่อนเลย  ข้าวของ กระจัด กระจายเต็มห้อง ผนังห้องถูกเขียนด้วยลิปสติกสีแดง ลุงขับรถตู้บอกเป็นภาษาเขมร ทำให้ทุกคนกลัวกันเข้าไปใหญ่ ลุงขับรถตู้ก็พูดปลอบว่าไม่มีอะไรหลอก เดี๋ยวเอาเชือกที่พ่อหมอให้มาไปผูกรอบบ้านก็คงไม่มีอะไรแล้วละ ทุกคนเลยต่างพากันเก็บของทำความสะอาด ลุงขับรถตู้ได้เอาเชือกที่พ่อหมอให้ไปผูกไว้รอบบ้าน ลุงขับรถตู้ได้เล่าให้ฟังว่า ขนาดที่นำเชื่อไปผูกอยู่นั้นเค้าได้เห็น เงาดำๆ อยู่บนต้นไม้ แล้วมองมาที่พวกเรา

 

หลังจากที่ช่วยกันเก็บของเสร็จ เราก็คุยกันว่า เดี๋ยวเราแยกย้ายทำภาระกิจส่วนตัว แล้วลงมารวมกันที่ห้องนั่งเล่น ดิฉันกับน้องที่พักด้วยกันได้ขึ้นกลับไปที่ห้องต่างรีบเก็บเสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัว แล้วรีบโทรศัพท์หาแม่ ดิฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ดิฉันเองก็ตกใจแล้วบอกว่า รู้สึกไม่ค่อยดีนอนไม่ค่อยหลับ ตั้งแต่ที่ดิฉันเดินทางไปต่างจังหวัด แม่เล่าให้ฟังอีกว่า ฝันเห็นคุณยายของดิฉัน มาบอกว่ากำลังจะเกิดอันตรายกับคนในบ้าน ขณะที่คุยกับแม่อยู่ได้ยินเสียงเหมือนแจกันตกพื้น ดังมาจากห้องข้างๆ แล้วหน้าต่างห้องดิฉันก็เปิดออกลมก็พลัดเข้ามาในห้อง ดิฉันรีบวิ่งไปปิดหน้าต่างก็เหลือบไปเห็นหน้าต่างห้องข้างๆ เปิดอยู่แล้วก็มี เงาดำๆ ยื่นหน้ามองมาหา ดิฉันรีบปิดหน้าต่างแล้วบอกน้องเรา 2 คนรีบลงไปรอข้างล่างกันเถอะ ขณะทีเรากำลังออกจากห้องกันได้ยินเสียง คนทุบประตูดังมาจากห้องข้างๆ เรารีบวิ่งลงมาข้างล่างกัน พี่ก็ถามว่าเป็นอะไรกันหรือป่าว ดิฉันก็เล่าให้พี่เค้าฟัง พี่หัวหน้าก็เล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อกี้ตอนอาบน้ำเหมือนมีคน มองอยู่ ข้างนอก ความรู้สึกเหมือนมีคนมาเดินอยู่รอบๆ เราคุยกันไปได้สักพักน้องที่นอนห้องเดียวกับดิฉันก็มาบอกว่า ลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง ขึ้นไปเอาเป็นเพื่อนหนูหน่อยได้ไหม ดิฉันก็ อืมมม โอเคได้ เด๋วให้ลุงขับรถตู้ขึ้นไปเป็นเพื่อนในขณะที่เรากำลังขึ้นบรรได ก็ได้ยินเสียงเหมือนบทสวดมนต์เป็นภาษาเขมร เรารีบหยิบโทรศัพท์แล้วรับออกจากห้อง ขณะที่กำลังจะเดินลงบรรได ฉันหันไปเห็นผู้หญิงที่เหยียบหน้าอกฉัน ยืนอยู่ที่มุมห้อง แล้วค่อยๆ เดินมาหาพวกเรา

ตอนนั้นเรารีบลงบรรไดกันมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วนั่งรวมกลุ่มกัน รอเวลาให้ถึงเข้าตอนนั้นประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ต่างคนต่างเงียบไม่มีใครพูดอะไรกัน ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่กลัวที่สุดในชีวิต ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้  จู่ๆพวกเราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์อีกรอบรอบนี้ดังกว่ารอบก่อนๆ ประตูกับหน้าต่างก็ค่อยๆ เปิดออก เห็นเงาดำๆหลายเงา เดินอยู่รอบๆบ้านจังหวะนั้นนึกขึ้นได้ว่า พี่น้องแฝดอยู่บนห้องตั้งแต่กลับมา ยังไม่ได้ลงมาข้างล่างเลย ดิฉันจึงตะโกนเรืยก แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ เราจะปรึกษากันขึ้นไปตามกันทั้งหมดนี้แหละพวกเราทุกคนขึ้นไปตาม ไปเคาะหน้าห้องกัน แต่พี่น้องฝาแฝดก็ไม่ยอมเปิดประตู ดิฉันหันไปมอง ห้องข้างๆ ห้องฉัน ห้องที่ล็อกกุญแจปรากฏว่า แม่กุญแจตกอยู่ที่พื้น ดิฉันก็สะกิดบอกลุงคนขับรถตู้ เมื่อลุงเห็นแบบนั้นจึงเดินเข้าไปหน้าห้องแล้วเปิดประตู

พอเปิดประตูเสร็จ มันเป็นเหมือนห้องทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง มีกลิ่นเหม็นสาบ กลิ่นซากศพ ลอยออกมา เรามองไปเห็นแฝดพี่กำลังนั่งกรีดข้อมือตัวเองอยู่ที่มุมห้อง เราพากันเข้าไปห้าม ไปเอามือออกแต่เลือดไหลเยอะมากก และเราได้ยินเสียงคนเปิดหน้าต่างออก พอหันไปดูเห็นแฝดน้องนั่งอยู่ขอบหน้าต่าง และได้หันหน้ามาหาพวกเรา แฝดน้องยิ้มให้พวกเรา แต่คือ รอยยิ้มของแฝดน้องฉีกไปถึงใบหู ยิ้มเสร็จ น้องก็กระโดดไปข้างล่าง คือตอนนั้นพวกเราทำอะไรไม่ถูก มันเกิดขึ้นเร็วมาก พี่หัวหน้าได้บอกให้ลุงไปสตาร์ทรถ จะพาฝาแฝดไปโรงพยาบาล เราช่วยกันแบกแฝดพี่ลงมาข้างล่างเและเราก็ไปหาแฝดน้องกัน พอไปเห็นแฝดน้อง เราร้องไห้ก่อนเลย รู้ว่าน้องคงไม่รอดแล้วละ เธอตกลงมาหัวฝาดกับหินข้างล่าง แต่พวกเราก็แบกเธอขึ้นรถพาไปโรงพยาบาล

เราต้องเข้าตัวเมืองเพื่อไปโรงพยาบาล ขณะที่กำลังเดินทาง ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเอาเล็บมากรีดกระจกทั้ง 2 ข้าง ได้ยินเสียงไปตลอดทาง จนถึงโรงพยาบาลทุกคนต่างเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดิฉันนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ภาวนาให้ทั้ง 2 คนไม่เป็นอะไร ในที่สุดหมอก็ออกจากห้องมา เรารีบวิ่งไปถามหมอเกี่ยวกับอาการทั้ง 2 คน หมอบอกว่าเสียใจ ไม่สามารถช่วยชีวิตทั้ง 2 คนไว้ได้ ตอนที่หมอบอกมานั้น ดิฉันล้มทั้งยืนไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับพวกเรา พี่หัวหน้าก็ได้เข้ามาปลอบ บอกน้องแฝดหมดกรรมแล้ว เค้าคงไปดีแล้ว ตอนนี้เรามาช่วยกันคิดวิธีบอกพ่อแม่ของน้องเค้าดีกว่าไหม

 

พอถึงตอนเช้าเราได้ไปแจ้งความ แจ้งสถานที่เกิดเหตุ แจ้งพ่อแม่ของน้อง เราได้พาตำรวจไปที่พักของเรา พอไปถึง เราก็ไปชี้จุดกิดเหตุ

MulticollaC
แต่ที่แปลกมากที่สุดคือ รอยเลือดของน้องทั้ง 2 คนไม่มีเลย เราเลยพาตำรวจขึ้นไปชั้นที่ 2 ของบนบ้านไปห้องที่เกิดเหตุปรากฏว่าห้องนั้นล็อกเหมือนเดิม ทางตำรวจเลยช่วยกันพังประตูเข้าไป ก็พบเหมือนสถานที่ทำพิธีกรรม มีหัวกะโหลก มีรูปปั้นต่างๆ ที่แปลกคือ ประตูล็อกได้ยังไง ใครเป็นคนมาล็อก ตำรวจก็ถ่ายรูปเก็บหลักฐานต่างๆ ตอนเย็นก็นำศพเข้ามาใน กทม เพื่อบำเพญกุศล ดิฉัน 2 คนกับหัวหน้าก็นั่งอยู่ด้วยกันในรถที่มีศพของน้องมาด้วยก่อนจะถึง กทม ดิฉันเผลอหลับไป ดิฉันได้ฝันว่าได้กลับไปที่บ้านหลังนั้น ฉันยืนอยู่หน้าบ้าน เห็นน้องทั้ง 2 คน ยืนมือออกมาจากหน้าต่าง เหมือนขอความช่วยเหลือ

แต่พี่หัวหน้าก็ปลุกฉัน หัวหน้าบอกมีคนโทรมาบอกว่า รถตู้ที่ลุงคนขับรถกับน้องอีกคนหนึ่งที่กำลังกลับ กทม เกิดอุบัติเหตุ น้องผู้ชายเสียชีวิตคาทีเกิดเหตุ ส่วนลุงคนขับรถอยู่ในห้อง ICU ดิฉันร้องไห้อีกรอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา เรื่องนี้ยังไม่จบใช้ไหมแล้วใครที่จะต้องมาตายเป็นหลายต่อไป พอถึง กทม ฉันกับพี่หัวหน้าได้แยกย้ายกันกลับบ้าน พอฉันถึงบ้านฉันรีบวิ่งไปกอดแม่แล้วร้องไห้คือตอนนั้นเราไม่ไหวจริงๆ พอเราจะเข้าบ้านแม่ก็ทักว่า แล้วทำไมไม่เรียกเพื่อนเข้าบ้านด้วยละลูก ดิฉันรีบบอกให้แม่เข้าบ้าน แล้วเราเรื่องให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ดิฉันตกใจ ถามดิฉันว่าไปทำอะไรให้เค้าไม่พอใจหรือป่าว ฉันก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แค่อาศัยนอนตื่นมาก็ไปทำงาน ดิฉันเลยถามว่าแม่ว่าควรทำยังไงดี ฉันไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แม่เลยบอก เดี๋ยววันเสาร์นี้จะพากลับบ้านต่างจังหวัด เดี๋ยวแม่จะพาไปหาพระป่าท่านหนึ่ง ฉันก็โอเค ฉันก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จจะไปปิดหน้าต่างจะนอน ห้องของฉันอยู่ ชั้น 2 อยู่ด้านหน้า สามารถมองเห็นหน้าบ้านจากหน้าต่าง ในขณะที่กำลังปิดหน้าต่างฉันเห็นคนหลายคน เป็นเงาดำๆเดินไปมาอยู่หน้าบ้าน พอกำลังจะปิดหน้าต่างคนพวกนั้นก็หันมามองที่ฉัน ฉันรีบปิดหน้าต่างเข้านอนทันทีฉันเพลียมากเลยหลับไป แล้วฉันก็ได้ฝันว่า ได้ไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น ได้เห็นเหตุการณ์เดิมๆซ้ำไปซ้ำมา

 

 

มาตื่นอีกทีตอน 7 โมงเช้า เราคิดไว้ว่าคืนนี้เราจะไปงานศพของน้องฝาแฝด เราเลยโทรไปชวนพี่หัวหน้า พี่หัวหน้าก็โอเค เดี๋ยวเราเจอกันที่วัดพอเรามาถึงวัดเราก็บอกพี่หัวหน้าไปว่า วันเสาร์นี้เราจะกลับบ้านกับแม่จะไปหาพระป่าพี่จะไปด้วยกันหรือป่าว พี่เค้าบอกไม่ไปเพราะพี่เค้าจะเคลียร์งาน เคลียร์ปัญหาต่างๆ เราก็โอเค พอถึงเวลาสวดอภิธรรมของน้องฝาแฝด สิ่งแปลกๆก็เกิดขึ้น เสียงหมาในวัดหอนกันดังมาก หอนไม่หยุดผู้คนก็พากันแตกตื่น สีหน้าพระก็ไม่ค่อยดี มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง น่าจะเป็นพระผู้ใหญ่ ได้เดินไปด้านหน้าศาลา แล้วพนมมือสวดมนต์ เสียงหมาหอน ก็พากันหยุด แล้วก็เริ่มสวดอภิธรรมกันต่อ สวดไปได้สักพัก เหตุการณ์ก็ยังไม่จบ อยู่ดีๆ ชั้นวางศพของน้องแฝดก็หัก ทำให้โรงศพของน้องร่วงลงพื้น ฝาโรงศพก็เปิดออก เรากับพี่หัวหน้าพร้อมกับพ่อแม่ของน้องได้เดินไปหยิบฝาโรงศพเพื่อที่จะมาปิดเหมือนเดิม ก่อนที่เราจะมาปิดเราได้เห็นศพของน้องเค้า ยังไม่หลับตา ศพของน้องแห้ง ผิวดำคือมันไม่เหมือนศพปกติทั่วไปอ่ะ ดิฉันรู้สึกไม่ค่อยดีกับเหตุการณ์นี้แล้ว มีพระผู้ใหญ่คนเดิมได้เดินเค้ามาดู แล้วพระก็บอกว่า โยมทั้ง 2 ที่ตายไปโดนของดำเป็นของเขมร

หลังจากสวดอภิธรรมเสร็จก็แยกย้ายกับพี่หัวหน้ากลับบ้าน ดิฉันต้องขับรถกลับบ้านในระวังที่ออกจากวัดนั้น หน้าวัดจะมีต้นไม้ใหญ่ ฉันได้มองขึ้นไปเห็นเงาคนดำๆ นั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ แล้วมองมาที่รถฉัน ฉันพยายามไม่คิดอะไรขับไปต่อ พอเลี้ยวรถออกจากวัดเสร็จ ฉันก็รีบขับกลับบ้าน ตอนนั้นฉันได้เปิดเพลงเสียงดังพยามยามข่มใจ พยามร้องเพลง พยามยามทำทุกอย่างให้ไม่คิด พอเลี้ยวเข้าซอยบ้าน อยู่ดีๆเสียงเพลงที่เปิดอยู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นเสียงสวดภาษาเขมร ที่ฉันเคยได้ยินที่บ้านหลังนั้น แล้วฉันได้มองกระจกหลัง เห็นเงาคนดำๆ วิ่งตามรถของฉันมา จังหวะนั้นไม่สนใจอะไรแล้วพอถึงบ้านเสร็จ เปิดประตูรถวิ่งเข้าบ้านทันที

 

พอฉันถึงบ้านแม่ก็รีบมาหาฉันมาปลอบดิฉัน ตอนนั้นดิฉันกลายเป็นคนเสียสติ พ่ำเพ้อ คือทุกอย่างที่ดิฉันได้เจอ ฉันรับมันไม่ไหวแล้ว คือตอนนั้นอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่สิ่งที่เรียกสติขึ้นกลับมา คืนฉันได้เห็นคุณยายของฉัน เข้ามาลูบหัว เข้ามากอดฉัน จากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้เลย ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว ฉันรีบไปคุยกับแม่บอกเรากลับบ้านวันนี้กันเลย แม่ตกลงฉันเลยรีบไปเก็บเสื้อผ้าต่างๆ ก่อนที่จะกลับบ้านต่างจังหวัดฉันได้โทรศัพท์ไปบอกพี่หัวหน้า คือโทรไปขอร้องพี่เค้าให้กลับบ้านพร้อมเรา ไปหาพระป่าด้วยกัน แต่พี่หัวหน้าก็ปฏิเสธ พี่หัวหน้าจะคอยเคลียร์ปัญหา เราทำใจแล้วบอกหัวหน้าให้ดูแลตัวเองดีๆ มีเรื่องอะไรให้รีบโทรศัพท์มาบอกเรา

ฉันจึงเดินทางกลับบ้านกับแม่ มีพี่ชายลูกของป้าเป็นคนขับรถให้ ประมาน 5 โมงเย็นเราแวะทานข้าวกันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ก่อนถึงตัวจังหวัด พี่ชายก็เล่าให้ฟังว่าตอนขับรถรู้สึกว่ามีอะไร กุ๊ก ก๊ะ อยู่บนหลังคารถ พอทานข้าวกันเสร็จเราทั้ง 3 คน ก็ได้ไปดูที่หลังคารถเห็นเป็น รอยเลือดสีดำๆ อยู่บนหลังรถพี่ชายก็รีบล้างเลือดนั้นออกแล้วเดินทางต่อ พอมาขับเข้ามาในตัวจังหวัดแล้ว ฉันสังเกตุเห็นพี่ชายมองกระจกข้างแปลกๆ ฉันเลยถามว่ามีอะไรไหม ทำไมมองกระจกแปลกๆ พี่ชายบอกว่า เห็นเหมือนมีเงาอะไรตามเรามาตลอดตั้งแต่ออกจากปั้มแล้ว จากพี่ชายได้เห็นสิ่งผิดปกติที่ตามรถของเรามานั้น เราจึงตัดสินใจรีบเดินทางกลับบ้านของแม่ให้เร็วที่สุด ในขณะที่กำลังกลับบ้านนั้นพี่หัวหน้าได้โทรศัพท์มาหาเรา พี่หัวหน้าได้บอกว่า ลุงคนขับรถเสียชีวิตแล้วนะ เราอึ้ง พูดไม่ออก อยู่ๆน้ำตาเราก็ไหล แล้วพี่หัวหน้าบอกกับฉันว่า เหลือแค่เรา 2 คนแล้วสินะ ดูแลตัวเองให้ดีด้วยหลังจากวางสายเสร็จ แม่ได้โทรบอก ป้าที่บ้านว่ากำลังจะถึงบ้านแล้ว แต่มีบางสิ่งบางอย่างตามมา ให้ช่วยเรียกลุงมาดูให้หน่อย

เมื่อถึงบ้านดิฉันได้พบลุง ลุงได้ถือมีดเล็กๆไว้ในมือ ลุงได้ดึงปอกมีดออก ตัวของมีดเล่มนั้น มีอัขระเขียนน่าจะเป็นมีดหมอ ลุงได้ท่องบทสวดพร้อมทั้งนำมีดกรีดไปที่พื้น แล้วบอกให้รีบเข้าบ้านทันที ที่เข้าบ้านลุงเอ๋ยปากพูดกับเราว่า อีหนูเอ็งไปทำอะไรมา พวกเค้าจะมาเอาชีวิตเอ็ง เราเลยเล่าได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ลุงฟัง ลุงไล่เราให้รีบไปอาบน้ำไปทำธุระให้เสร็จแล้วขึ้นไปนอนห้องพระ ลุงบอกคืนนี้ เค้าคงจะมาเอาเอ็งไปแน่ ถ้าคืนนี้ไม่มีปัญหาอะไรพรุ่งนี้เช้าจะได้ไปหาพระท่านให้ท่านช่วยเหลือ

ตอนนั้นทุกคนในบ้านต่างหวาดระแวง ลุงได้ปิดบ้าน ปิดประตู ปิดทุกอย่าง และได้บอกกับดิฉันว่า คืนนี้ถ้าเกิดได้ยินเสียง ได้ยินอะไรผิดแปลห้ามออกมาจากห้องพระเด็ดขาด ให้อยู่ในห้องจนถึงเช้า ดิฉันได้เข้าไปอยู่ในห้องพระของลุง ในห้องพระนั้นได้จุดเทียน เพื่อเป็นแสงสว่าง มีกลิ่นธูปบูชาอยู่ในห้องพระนั้นทำให้ดิฉันสบายใจมากยิ่งขึ้น ดิฉันก็เลยได้นั่งสมาธิ แผ่ส่วนบุญ ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร แต่แล้วเทียนก็ดับลง มีคนมาเคาะประตูห้อง แต่ลุงบอกดิฉันห้ามเปิดเด็ดขาด  ดิฉันจึงไม่ได้ไปเปิด ได้แต่นั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่หน้าหิ้งพระ ผ่านไปสักพักหนึ่ง มีคนมาทุบหน้าต่างห้องพระ ทุบหลายครั้งมาก แต่ดิฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยิน แต่จู่ๆหน้าต่างก็เปิดออกเอง เราหันไปดู เจอเงาดำๆนั่งหยองๆ อยู่ขอบระเบียงนั่งจองมองมาทีเราจากที่เงานั่งจองดิฉันอยู่ที่ระเบียง ดิฉันก็ไม่สนใจนั่งหลับตา ทำสมาธิต่อไป คือดิฉันหลับไปตอนไหนไม่รู้ ดิฉันมารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว ดิฉันหันไปดูที่หน้าต่าง เห็นแสงพระอาทิตย์ จึงเปิดประตู ลงไปข้างล่าง เห็นแม่กับลุงได้เตรียมของกัน มีดอกไม้ ธูปเทียน เสื้อผ้าชุดสีขาว และผ้าดิบ เรานั่งทานข้าวกัน แล้วลุงก็ถามว่าเมื่อคืนเอ็งคงเจอหนัก เอ็งรีบทำอะไรให้เสร็จแล้วไปหา พระป่าด้วยกัน เราช่วยกันแบกสิ่งของต่างๆขึ้นหลังรถ แล้วเดินทางวัดของท่านพระป่า อยู่ห่างจากตัวเมืองไปมาก ทางเข้าลำบากเป็นดินแดงตลอดทาง กว่าจะถึงก็เอาเรื่องเหมือนกัน

พอไปถึงท่านพระป่าก็ได้เดินมาหาเรา บอกให้ดิฉันไปเปลี่ยนใส่ชุดขาว หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จ ดิฉันได้คุยกับพระ ก็เลยถามว่า พี่อีกคนหนึ่งจะเป็นอะไรไหม พระท่านก็บอกว่า เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงเค้าหลอก เค้ามีคนช่วยเหลืออยู่ เอ็งควรเป็นห่วงตัวเองดีไหม ถ้าเอ็งผ่านคืนนี้ไปไม่ได้เอ็งก็คงได้ตามเพื่อนๆ ของเอ็งไป พอพูดจบ ลุงได้ยกโรงศพเก่าๆมาวาง แล้วบอกว่าคืนนี้เอ็งต้องนอนในโรงศพผีตายโหง เวลาประมาน 6 โมงเย็น ดิฉันได้เข้าไปในโรงศพ ตัวของดิฉัน ถูกพันด้วยผ้าดิบ พนมมือ ถือดอกไม้ธูปเทียน ทำเหมือนเป็นคนตาย แล้วลุงก็ยกโรงของดิฉันไปไว้ที่หนึ่ง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าได้ยกโรงศพไปว่างที่ไหน เมื่อเวลาผ่านสักระยะหนึ่งจากเสียงทีเงียบสนิท หมาก็เริ่มหอนกัน เสียงลม ค่อยๆพลัดเข้ามา ดิฉันได้ยินเสียงคนเดินรอบๆโรงศพ ตอนนั้นรู้สึกกังวล จิตตก กลับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ดิฉันรู้สึกเหมือนมีคนมานอนข้างๆโรงศพ หันหน้าเข้ามาหาดิฉันแล้วสวดภาษาเขมรใส่ตอนนั้นพยายามตั้งสติ สวดมนต์ แต่ก็มีอะไรบางอย่างค่อยๆขึ้นมาอยู่บนโรงศพ  แล้วทุบโรงศพที่อยู่ด้านหน้าของเรา เสียงทุบ เริ่ม ดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จากเสียงทุบ กลายเป็นเสียง กริ๊ดร้อง ช่วงเวลานั้น เรารู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้ามาก ได้แต่หลับตารอให้ถึงเช้า

พอถึงตอนเช้าลุงก็มาเปิดโรงศพออก ดิฉันลุกขึ้นมาเห็นบริเวณรอบๆเป็นเหมือน หลุมศพ เป็นเหมือนป่าช้า ดิฉันก็ไม่ถามอะไรมาก ต่างพากันกลับที่ไปวัด ดิฉันได้อาบน้ำมนต์ ตอนนั้นดิฉันรู้สึกดีขึ้น รู้สึกสบายใจ พระท่านได้บอกว่า เค้าไม่มายุ่งกับเอ็งแล้วละ เอ็งสบายใจได้แล้ว เราก็เดินทางกลับบ้านปกติ ไม่มีเสียง ไม่มีสิ่งแปลกอะไรเกิดขึ้นกับตัวดิฉันแล้ว ส่วนพี่หัวหน้านั้น ดิฉันมารู้ทีหลังว่าเค้าเป็นคนมีองค์ ค่อยช่วยเหลือปกป้องเค้า ยังมีเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากกลับจากวัด

หลังจากที่เหตุการณ์ต่างๆ ได้จบลงพ่อแม่ของน้องแฝดได้มาหาดิฉันที่บ้าน ได้มาบอกดิฉันว่า ฝันถึงน้องฝาแฝด ในฝันแม่ของน้องแฝดได้เล่าให้ฟังว่า เห็นน้องแฝดทั้ง 2 คน อยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง พยายามขอความช่วยเหลือ น้องฝาแฝดพยายามหนีออกมา แต่ก็หนีออกมาไม่ได้ดิฉันคงคิดว่าน้องทั้ง 2 ยังอยู่ที่บ้านหลังนั้น ดิฉันจึงได้ตัดสินใจกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับไปบ้านหลังนั้นอีก ฉันได้โทรศัพท์หาเจ้าของบ้านพัก แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ฉันเลยหาข้อมูลต่างๆในอินเตอร์เน็ต หาข้อมูลเกี่ยวกับคดีว่ามีอะไรเกิดที่บ้านหลังนั้นหรือป่าว แต่ก็ไม่มีข้อมูลของบ้านหลังนั้นเลย

ดิฉันได้โทรหาพี่หัวหน้าเล่าเรื่องราวให้เค้าฟังและได้ชวนกลับไปที่นั้น กันเราตกลงกันว่าจะเดินทางไปที่บ้านหลังนั้นอีก ในขณะที่เรากำลังเดินทางไปบ้านหลังความรู้สึกแปลกๆ ได้กลับมาอีกครั้ง เรา 2 คนได้ไปสอบถามข้อมูลต่างๆ ภายในจังหวัดแต่ก็ไม่มีใครทราบข้อมูลของบ้านหลังนั้นเลย พี่หัวหน้าได้บอกว่า ยังจำชาวบ้านเราถามทางกันตอนแรกได้ไหม เราไปถามที่นั้นกัน ในขณะที่เราเดินทางไปหาชาวบ้านฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที บรรยากาศรอบตัวทำให้รู้สึกกลัวแบบบอกไม่ถูก

เราได้ตะโกนเรียกชาวบ้านอยู่นาน จนมีชายแก่ๆคนหนึ่งมาเปิดประตู แล้วเดินมาหาเรา 2 คน พอชายแก่ได้เห็นเราเค้าก็ทำหน้าตกใจพยายามมองหาอะไรสักอย่าง ชายแก่ได้บอกกับเราว่า พวกเอ็งกลับไปเถอะ เอ็งมากันที่นี้อีกทำไม ชายแก่พูดเสร็จได้รีบเดินกลับเข้าบ้าน แต่พวกเรา 2 คนก็ยังตามไป ชายแก่ได้พูดอีกว่าพวกเอ็ง 2 คน มาถามเกี่ยวกับเรื่องบ้านหลังนั้นใช้ไหม ข้าไม่รู้อะไรเกียวกับบ้านหลังนั้น พวกเอ็งกลับไปซะเถอะ หลังจากที่คุยกับคุณลุงอยู่หน้าบ้านก็ได้เกิดลมพลัดแรง ได้ยินเสียงกริ๊ดร้องโหยหวน ลอยมาตามลม คุณลุงได้บอกให้รีบเข้าบ้านก่อนมีอะไรเข้ามาคุยกันในบ้าน คุณลุงทำท่าทางตกใจได้รีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่าง พวกเราได้เข้ามาอยู่ในบ้านของลุง ภายในบ้านของลุงนั้น คล้ายเป็นสำนักสงฆ์ มีโต๊ะพระเครื่อง  มีดอกไม้บูชา เราได้นั่งพูดคุยกัน ฉันได้ถามลุงว่า บ้านหลังนั้นเคยมีประวัติไม่ดีหรือป่าว ลุงได้เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนได้มีคนเขมรมาเช่าบ้านหลังนั้นอยู่ อาศัยบ้านหลังนั้นทำคุณไสยมนต์ดํา มีคนต่างพื้นที่เข้ามาทำคุณไสยกันเยอะ แต่เกิดเรื่องไม่มีดีขึ้น

ลุงแกเล่าให้ฟังว่า หมอไสยดำคนนั้น ได้ทำเกี่ยวกับพวกของต่ำ พอทำไปมากๆ คุณไสยที่ทำก็เข้าตัวเอง วิญญานทั้งหลายที่ถูกนำมาทำก็ไปไหนไม่ได้ ได้แต่อยู่ในบ้านหลังนั้น ผู้คนที่อยู่ที่นี้ก็พากันย้ายออกไปหมด ไม่มีใครกล้าอยู่ที่นี้ ลุงได้เล่าอีกว่า ก่อนที่พวกเอ็งจะมา ลุงได้ขับรถเข้าไปในตัวเมืองได้ผ่านบ้านหลังนั้น ลุงได้เห็นผู้หญิงที่มากับเราตอนแรก ยืนอยู่ที่บ้านหลังนั้น พอเสียงลุงพูดจบประตูบ้านก็ค่อยๆ เปิดออก กลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ ได้ลอยเข้ามาในบ้าน และมีเงาดำๆ รูปร่างใหญ่ ยืนอยู่ที่ประตูบ้าน

เมื่อลุงเห็นแบบนั้น ลุงได้จุดธูปที่โต๊ะพระเครื่องแล้วนั่งพนมมือสวดมนต์ ลมได้พัดแรงขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ลุงสวดมนต์ ไฟในบ้านลุงก็เกิดดับ เหลือแต่ไฟจากแสงเทียน เสียงโหยหวน ได้ดังผ่านมาตามลม พอลุงสวดมนต์จบได้เดินไปที่หน้าบ้านแล้วพูดว่า ” พวกมิงอยู่ที่ไหน พวกมิงกลับไปเดี๊ยวนี้ อย่ามายุ่งทีของกู ”
เสียงลม เสียงร้อง ได้เงียบหายไป เหตุการณ์ได้กลับมาปกติอีกครั้ง ฉันได้ถามลุงเกี่ยวกับผู้หญิงที่ลุงเจอที่บ้านหลังนั้น ว่ามีรูปร่าง ลักษณะอย่างไร ลุงบอกลักษณะน้องคนนั้นมา ซึ้งตรงกับน้องที่นอนอยู่กับดิฉันที่บ้านหลังนั้น ฉันคิดว่าใช่น้องคนนั้นจริง ๆ

ขอย้อนกลับไปตอนส่งฝาแฝดไปโรงพยาบาล น้องที่นอนกับดิฉันได้ขอตัวกลับบ้าน เพราะทนไม่ไหวกลับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันกับพี่หัวหน้าก็ไม่ห้ามอะไรเห็นน้องทนไม่ไหว แต่เมื่อน้องกลับไปแล้ว มี messageส่งมาบอกพวกเราว่า ” พวกมิงทุกคนต้องตาย ” ตอนนั้นเรายังไม่ทราบว่าน้องคนนั้นต้องการอะไรกันแน่  พอกลับไปที่ กทม ไปตามหาที่ห้องพัก ก็ไม่เจอน้องคนนั้นแล้ว น้องได้กลับมาเก็บของย้ายออกไปแล้ว

พอถึงตอนเช้าเราเลยถามลุงว่ามีวิธีไหนที่แก้เรื่องแบบนี้ ลุงบอกถ้าอยากจะช่วยจริงๆ ให้พาพ่อแม่ของคนที่เสียชีวิตมาหาลุงเพื่อจะได้ทำพิธี เราได้โทรไปนัดหมายพ่อแม่ ให้มาทำพิธีลุงบอกให้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ของคนตาย ผ้าถุงแม่กับผ้าขาวมาเพื่อประกอบพิธี พอทุกอย่างพร้อมเราเดินทางไปที่หน้าบ้านหลังนั้นแล้วเริ่มทำพิธี ลุงได้เตรียมหุ่นฟางกับขันใส่น้ำมนต์ วางไว้หน้าบ้าน แล้วนำสิ่งของเครื่องใช้ของคนตายติดไว้ที่ตัวหุ่นฟาง จากนั้นลุงก็ท่องบทสวดมนต์ พอท่องเสร็จ ได้นำผ้าถุงแม่ไปคลุมหุ่นฟางจากนั้นนำผ้าขาวไปใส่ในขันใส่น้ำมนต์ จากผ้าที่ขาวสะอาดเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ ลุงบอกให้นำผ้าสีดำนี้ ไปเผาในที่เผาศพของคนตาย

หลังจากที่ทำพิธีเสร็จเราได้เดินทางกลับมา กทม ตลอดทางที่กลับ กทม ได้ยินเสียงเหมือนคนเคาะกระจกรถ ได้ยินเสียงคนนั่งอยู่นหลังรถแล้วเอามือทุบหลังคา ก่อนทีจะถึงวัด ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่ก็ต้องทำเพราะลุงได้สั่งไว้ว่าให้เผาในคืนนี้ เราได้เดินทางไปที่วัดเผาศพของน้อง ได้เรียกสัปเหร่อมาเผาเพื่อจะได้เสร็จพิธี เสียงหมาในวัดก็พากันหอนตลอด ลมพลัดแรง หลังจากทำพิธีเสร็จเสียงต่างๆก็เงียบลง เรากับพ่อแม่ของน้องได้พากันแยกย้ายกลับบ้าน เรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ดิฉันก็เหมือนคนมีปมไม่กล้าไปค้างคืนที่ไหน ไม่กล้าพูดคุยกับใคร เหมือนฉันอยู่ในโลกส่วนตัวของฉันคนเดียว

 

โพสต์โดย : nampuengeiei9760