“หน.ศปม.” เผย ดำเนินการขั้นเด็ดขาดผู้ละเมิดกม. เริ่ม 12 ก.ค.
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 11 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (หน.ศปม.) แถลงหลังศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์ประจำวัน ว่า ตามที่รัฐบาลออกข้อกำหนดจึงฉบับที่ 27 ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 กรกฎาคม เป็นการยกระดับมาตรการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดหรือจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคคล ลดการรวมกลุ่มของบุคคล เพื่อควบคุมและลดการแพร่เชื้อโควิด-19 ศปม.ที่ประกอบด้วย กองทัพไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการร่วมกับกรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ซึ่งจะมีความเข้มข้นตามระดับพื้นที่ โดยในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด จะบังคับใช้การห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 21.00 -04.00 น. โดยจะมีการตรวจการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคและตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าออกจังหวัด โดยในกทม.มีการตั้งจุดตรวจ 88 แห่ง จังหวัดปริมณฑล 5จังหวัด 20 แห่ง และจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 จังหวัด 39 แห่ง จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีการจัดชุดตรวจสายตรวจร่วม และชุดลาดตระเวนร่วมในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อตรวจและกวดขันให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้งบังคับใช้มาตรการห้ามการจัดกิจกรรมในการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนมากกว่า 5 คน และร่วมกลุ่มทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค
พล.อ.เฉลิมพล กล่าวว่า
สำหรับจังหวัดอื่นๆ นั้นได้จัดตั้งจุดตรวจคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้าออกจังหวัดโดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยแนวทางปฏิบัติของศปม.จะเริ่มจัดจุดตรวจจุดตรวจสายตรวจร่วมและชุดลาดตระเวนร่วมตั้งแต่บัดนี้ โดยในขั้นต้นเป็นการตรวจตามการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค โดยใช้วิธีชี้แจงทำความเข้าใจและขอความร่วมมือจากประชาชน และเมื่อข้อกำหนดมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 กรกฎาคม ทาง ศปม.จะยึดหลักความเข้มงวดในการบังคับใช้มาตรการ จะดำเนินการต่อผู้ละเมิดอย่างเด็ดขาด สำหรับประชาชนทั่วไปที่ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดอาจได้รับผลกระทบบ้างเจ้าหน้าที่จะดำเนินการโดยให้มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตน้อยที่สุด
พล.อ.เฉลิมพล กล่าวว่า ขณะที่พื้นที่ชายแดนมีการเข้มงวดตรวจขันป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมถึงการลักลอบขนส่งยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายต่างๆ ตลอดจนการดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยใช้กองกำลังป้องกันชายแดนในการจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัดและลาดตระเวนเฝ้าตรวจพื้นที่ โดยเฉพาะช่องทางธรรมชาติจะเสริมด้วยการวางเครื่องกีดขวางและใช้เครื่องมือพิเศษเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น กล้องวงจรปิด กล้องตรวจการเวลากลางคืน รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากชุมชนเข้มแข็งบริเวณชายแดนในการให้เบาะแสแจ้งข่าวสารต่อเจ้าหน้าที่
นอกจากนั้น ยังได้ร่วมกับฝ่ายปกครองทำการสำรวจตรวจสอบหมู่บ้านตามแนวชายแดน มีการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ที่เป็นพื้นที่พักรอของผู้ลักลอบเข้าเมืองและร่วมกับหน่วยราชการเครือข่ายภาคประชาชนในการจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด ทั้งแบบประจำที่และไม่ประจำที่ รวมถึงจัดชุดสายตรวจรวมลาดตระเวนตามเส้นทางตลอดแนวชายแดนและเส้นทางในการลัดลอบเข้าสู่สู่พื้นที่ทางตอนใน ในห้วงที่ผ่านมาแม้จะมีการจับกุมผู้ลักลอบได้เป็นจำนวนมากทั้งแรงงานผิดกฎหมายและผู้นำพา แต่ยังคงมีความพยายามที่จะลักลอบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งศปม.จะเพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามพยายามยุติกระบวนการทั้งหมดขึ้นไป จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาหาประโยชน์ในทางกฎหมาย บนความเดือดร้อนของประชาชนแล้วความเสียหายของประเทศอย่างมหาศาล ช่วงที่ผ่านมาได้รับข้อมูลเบาะแสจากประชาชนนำไปสู่การจับกุมได้หลายครั้ง ตนขอขอบคุณที่ส่งความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และขอเชิญชวนในการร่วมมือให้ข้อมูลที่สายด่วน 191, 1599, 1138, 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง การดำเนินการของเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้
ขอบคุณที่มา ข่าวมติชน
โพสต์โดย : ปลายน้ำ