Social :



นักธุรกิจไฮโซดังร้องถูก ‘อดีตผู้ช่วยรองประธานสภาฯ-บก.ข่าว’ รีดเงิน 25 ล. แลกเคลียร์คดี

01 ธ.ค. 65 15:12
นักธุรกิจไฮโซดังร้องถูก ‘อดีตผู้ช่วยรองประธานสภาฯ-บก.ข่าว’ รีดเงิน 25 ล. แลกเคลียร์คดี

นักธุรกิจไฮโซดังร้องถูก ‘อดีตผู้ช่วยรองประธานสภาฯ-บก.ข่าว’ รีดเงิน 25 ล. แลกเคลียร์คดี

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่สำนักงาน Sittra Law Firm ถนนสาทร น.ส.ช่อฉัตร โตชูวงศ์ อายุ 55 ปี ไฮโซสาวเจ้าของบริษัทรับผลิตจำหน่ายน้ำยางพารารายใหญ่ เดินทางเข้าพบ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เพื่อขอคำปรึกษากรณีถูกอดีตผู้ช่วยเลขาฯ รองประธานสภา นักข่าว หลอกเรียกเงินจำนวนมูลค่า 25 ล้านบาท แลกกับเคลียร์คดีออกหนังสือรับรองให้กับ 3 บริษัทที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อนพาไปพบตำรวจและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ อ้างมาคอยคุ้มครองความปลอดภัย


นายษิทรา กล่าวว่า ผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจทำโรงงานผลิตน้ำยางทำถนน เมื่อประมาณปี 2562 ปรากฏว่าถูกคณะกรรมการพิจารณา เพื่อรับรองมาตรฐานวัสดุน้ำยางพารา กรณีออกหนังสือรับรองให้กับ 3 บริษัทที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเดินทางไปฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งพบกระบวนการทางศาลได้ใช้ระยะเวลาดำเนินการค่อนข้างนาน ต่อมามีนักข่าวคนหนึ่ง ได้แนะนำให้รู้จักกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งแนะนำตัวว่าเป็น เลขานุการรองประธานสภาฯ โดยเห็นว่าผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจที่มีฐานะดี และอ้างว่าสนิทกับนักการเมืองพรรคชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งการที่จะช่วยเหลือโดยจะให้ผู้ใหญ่ในพรรคดังกล่าว ช่วยให้ยกเลิกคดีได้โดยไม่ต้องเสียเวลาฟ้องร้อง ผู้เสียหายเห็นว่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ต่อมาทางฝั่งผู้ก่อเหตุได้เรียกเงินเป็นจำนวน 50 ล้านบาท และเจรจาต่อรองกันจนเหลือ 20 ล้านบาท และมีการจ่ายเป็นเงินสดในเวลาต่อมา

นายษิทรา กล่าวอีกว่า กระทั่งเรื่องเงียบทางผู้เสียหายจึงได้ทวงถาม แต่กลับถูกเรียกเงินอีกจำนวน 10 ล้านบาท แล้วบอกด้วยว่าหากไม่จ่ายเงินก้อนนี้ เงิน 20 ล้านบาทจะสูญทันที จึงมีการต่อรองเหลือ 5 ล้านบาท จนเริ่มรู้สึกว่าถูกหลอกจึงเดินทางไปแจ้งความที่กองปราบ ทำให้ผู้ก่อเหตุซึ่งพบว่ามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาฯ ในขณะนั้นต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ไปเป็นที่ปรึกษา นายกอบจ.จังหวัดหนึ่งแทน


“ซึ่งทางกองปราบก็รับทำคดี โดยใช้หลักฐานของผู้ต้องหาในการส่งฟ้องเพียงอย่างเดียว โดยไม่เรียกดูหลักฐานของฝ่ายผู้เสียหาย จึงทำให้อัยการเกิดความสงสัยว่าส่งมาแบบนี้ได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ตนจะเดินทางไปหาผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เพื่อให้สืบสวนข้อเท็จจริงของเรื่องดังกล่าว” นายษิทรา ระบุ

นายษิทรา กล่าวต่อว่า จากการตรวจดูประวัติผู้ก่อเหตุพบว่า เคยติดคุกมาก่อน ประมาณ 5-6 ปีที่เรือนจำคลองเปรม ในข้อหาปล้นทรัพย์
Lif
ก็น่าแปลกใจว่าระหว่างที่ติดคุก ผู้ก่อเหตุได้ไปเรียนต่อปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกที่ประเทศอเมริกาได้ อย่างไร ซึ่งมีใบจบจากอเมริกา 3 ใบ ทั้งนี้จึงอยากฝากถามทางรัฐสภาว่าการที่จะรับคนเข้ามาไม่ได้มีการตรวจสอบประวัติว่าถูกต้องหรือไม่ ประวัติอาชญากรหรือเคยติดคุกมาหรือเปล่า จนมีการนำตำแหน่งหน้าที่ไปแอบอ้างหลอกลวงประชาชน

ขณะที่ น.ส.ช่อฉัตร ผู้เสียหาย กล่าวว่า ช่วงนั้นตนเดินสายร้องเรียนคดีการทุจริต 3 บริษัท ทำให้ถูกตามล่าจากกลุ่มบุคคลมีสีจนอยู่ไม่ได้ต้องไปนอนโรงแรมต่างๆ ย้ายที่อยู่เรื่อยๆ ต่อมามีบรรณาธิการข่าว ซึ่งเรียกตนว่าแม่ บอกว่าคนนี้จะช่วยแม่ได้ จะได้กลับไปนอนบ้าน และพาไปเจอกับผู้ก่อเหตุที่สนามบินดอนเมือง โดยผู้ก่อเหตุได้แนะนำว่า เป็นเลขานุการของรองประธานสภาฯ และบอกตนว่าการที่ตนไปร้องที่ศาลปกครองแบบนี้จะใช้เวลา 2-3 ปี อาจไม่จบ ซึ่งช่วงนั้นจะมีการตั้งรัฐบาลปี 62 และผู้ก่อเหตุได้บอกว่าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งจะได้ร่วมเป็นฝ่ายรัฐบาล โดยจะใช้อำนาจทางการเมืองช่วยเหลือ และบอกว่าการอนุญาตทั้ง 3 บริษัทมีความผิดชัดเจนว่าทั้ง 3 บริษัทที่ตั้งเดียวกัน ใช้กรรมการไขว้กัน และผิดหลักเกณฑ์ตัวอนุญาตด้วย โดยรับปากว่าช่วยได้แน่นอนไม่ต้องกังวล ก่อนจะแยกย้ายกันไป


“ต่อมาผู้ก่อเหตุ ได้ให้บรรณาธิการข่าวไม่ทราบสังกัดอีก 2 ท่านเข้ามาพูดคุยบีบคั้น โดยโทรหาทุกวัน ให้รีบตัดสินใจหากไม่รีบหาเงินมาให้ตนก็จะยิ่งลำบาก ซึ่งบอกด้วยว่าทางผู้ก่อเหตุเป็นคนเดียวที่จะช่วยได้ กระทั่งได้นัดให้ตนไปพูดคุยกับทางผู้ก่อเหตุอีกครั้ง และมีการเรียกเงินจำนวน 50 ล้านบาท ต่อมามีการเจรจาเหลือ 20 ล้านบาท จึงขอกลับไปปรึกษาทนายความส่วนตัวว่าการที่ถูกเรียกร้องลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่ ด้านทนายได้บอกว่าอำนาจทางการเมืองอาจจะช่วยได้ ซึ่งเวลานั้นตำแหน่งหน้าที่การงานของทางผู้ก่อเหตุน่าเชื่อถือ ประกอบกับเชื่อมั่นในบรรณาธิการข่าวทั้ง 2 คนที่พาตนมาเจอ จึงยอมตกลงจ่ายเงินให้ทางผู้ก่อเหตุ 20 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นเงินสดครั้งละ 10 ล้านบาท จำนวน 2 ครั้ง” น.ส.ช่อฉัตร กล่าว

น.ส.ช่อฉัตร กล่าวต่อว่า ซึ่งหลังจากที่ได้เงินไปแล้ว ก็ได้มีการพาตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ผอ.ดีเอสไอ คนหนึ่งมาพบกับตน โดยมีการไปนั่งคุยกันแล้วบอกด้วยว่านี่คือคณะทำงาน และบอกด้วยว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวในสภาวะแบบนี้ถ้าไม่มีใครดูแล จะได้รับอันตรา เพราะฉะนั้นจะตั้งคณะทำงานทั้งดีเอสไอและตำรวจมาคอยดูแลให้

ขอบคุณที่มา    ข่าวเดลินิวส์

โพสต์โดย : ปลายน้ำ