Social :



นศ.สาวม.ดังช่วยอาจารย์ทำงานวิจัย พลาดสารเคมีกระเด็นเข้าตาบอด1ข้างวอนช่วย

11 ม.ค. 66 19:01
นศ.สาวม.ดังช่วยอาจารย์ทำงานวิจัย พลาดสารเคมีกระเด็นเข้าตาบอด1ข้างวอนช่วย

นศ.สาวม.ดังช่วยอาจารย์ทำงานวิจัย พลาดสารเคมีกระเด็นเข้าตาบอด1ข้างวอนช่วย

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. นางมะลิ (นามสมมุติ) อายุ 43 ปี พร้อมด้วย น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี บุตรสาว นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นชาว อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เข้าร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชนว่า น.ส.บี ถูกสารเคมีเข้าตา ขณะช่วยอาจารย์ทำงานวิจัย เป็นเหตุให้ดวงตาบอด 1 ข้าง กลายเป็นคนพิการ ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด ส่วนอาจารย์หัวหน้าโครงการวิจัย ได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ และได้หยุดให้การช่วยเหลือ ทำให้ได้รับความเดือดร้อน 

น.ส.บี เล่าว่า เมื่อปี พ.ศ. 2562 ตนเรียนอยู่ชั้นปี 3 มหาวิทยาลัยใน จ.อุบลราชธานี ทุกวันศุกร์ ตนจะกลับบ้านที่ อ.ขุนหาญ ซึ่งในวันที่ 30 ส.ค. 62 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันศุกร์ ตนได้เดินทางกลับมาถึงบ้านแล้ว มีเพื่อนที่เรียนด้วยกันโทรศัพท์มาบอกว่า อาจารย์ให้ตนไปช่วยงานวิจัย ในวันเสาร์ ที่ 31 ส.ค. 62 ซึ่งอาจารย์ท่านนี้เป็นที่ปรึกษางานวิจัยของตน ให้ไปช่วยงานส่วนตัวของอาจารย์ โดยบอกให้เอางานวิจัยของตนไปทำด้วย จึงเดินทางไปช่วยตามที่อาจารย์ร้องขอ เพื่อช่วยทำงานโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนากระบวนการผลิตน้ำมันรำข้าวขาวดอกมะลิ 105 อินทรีย์ พร้อมบริโภคที่มีอายุการเก็บรักษานาน” เป็นการทำเกี่ยวกับสารเคมี โดยวิธีการตวงผสม สารนั้นคือ กรดอะซิติกผสมคลอโรฟอร์ม อัตราส่วน 3:2 ทำตั้งแต่ เวลา 09.00 น. จนกระทั่งถึงเวลา 17.00 น. และได้เกิดอุบัติเหตุสารเคมีดังกล่าว กระเด็นถูกบริเวณหัวไหล่ข้างซ้าย ใบหน้า และเข้าตาข้างซ้าย อาจารย์และคณะวิจัยได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี พร้อมกับแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ ก่อนที่จะส่งต่อไปที่โรงพยาบาลอุบลรักษ์ธนบุรี ในเวลา 19.30 น. เนื่องจากมีแพทย์เฉพาะทางประจำการอยู่ ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจารย์หัวหน้าโครงการวิจัยจะรับผิดชอบจนกว่าจะหายเป็นปกติ

แต่เนื่องจากตาซ้ายของตนมองไม่เห็น จึงได้ไปตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แพทย์แจ้งว่าเนื้อเยื่อถูกทำลายร้อยละ 70 แพทย์จึงได้ให้การรักษาด้วยการหยอดซีรัมจากเลือดผู้ป่วยเป็นเวลา 2 เดือน สายตายังมองไม่เห็น แพทย์จึงได้วางแผนที่จะปลูกถ่ายเนื้อเยื่อในขั้นตอนต่อไป
Lif
ซึ่งการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ จะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 200,000 บาท 


ด้านนางมะลิ แม่ของนักศึกษาสาวผู้เคราะห์ร้าย กล่าวว่า หลังจากที่เกิดเหตุกับน้องแล้ว ทางอาจารย์หัวหน้าโครงการวิจัยก็ได้ให้ความช่วยเหลือมาเรื่อยๆ โดยโอนเงินเข้าบัญชีน้องบี เป็นค่าใช้จ่ายในการไปรักษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จนกระทั่งเมื่อเดือน ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา อาจารย์ได้โอนเงินมาให้ จำนวน 3,765 บาท หลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลย ไม่โอนมาอีก รวมแล้วที่อาจารย์ช่วยมาประมาณ 400,000 บาท แต่ตาน้องบี ก็ยังไม่หาย ยังต้องไปพบแพทย์ ไปตรวจตามนัด บางเดือนนัด 2-3 ครั้ง ก็มีค่าใช้จ่ายไม่น้อย

ซึ่งตนกับพ่อของน้องบี ก็อยากไปนั่งคุยกับอาจารย์ต่อหน้า ให้รู้ว่าจะเอาอย่างไรต่อไป เพราะเงินก็ไม่ได้ส่งมาช่วยหลายเดือนแล้ว ตาของน้องบี ก็ถึงขั้นบอดแล้ว เป็นคนพิการแล้ว เคยไปยื่นคำร้องขอทำใบอนุญาตขับขี่ก็ไม่ได้ เพราะเป็นคนพิการ  และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีโทรศัพท์เป็นเสียงผู้หญิงอ้างว่าเป็นน้องสาวของอาจารย์หัวหน้าโครงการ พูดกับแม่ว่า อาจารย์บอกว่า ทางอาจารย์กับผู้ร่วมวิจัยได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายมามากแล้ว ขอหยุดการช่วยเหลือไว้แค่นี้ ให้ต่างฝ่ายต่างช่วยดูแลกันเอง ทั้งที่ตอนแรกอาจารย์ได้รับรองเป็นหนังสือมาแล้ว บอกว่าจะช่วยเหลือจนกว่าจะหาย  ตาของลูกแม่ไม่ได้บอดมาแต่กำเนิด ลูกแม่เกิดมาครบ 32 ประการ ทุกอย่างดีหมด ตาของลูกมาบอดเพราะไปช่วยงานอาจารย์ ไม่ใช่เพราะไปเรียนหรือทำงานของลูก อาจารย์จะปัดไม่ช่วยเหลือคงจะไม่ถูกต้อง

นางมะลิ กล่าวว่า ตนและครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีเงินมากที่จะใช้จ่ายในการรักษาลูก ตนไม่ต้องการที่จะฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล อยากคุยกันดีๆ ตนจึงอยากขอวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาช่วยดูแล ไกล่เกลี่ยเรื่องของครอบครัวตนให้ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา ให้ตาลูกหายเป็นปกติด้วย

ขอบคุณที่มา      ข่าวเดลินิวส์

โพสต์โดย : ปลายน้ำ