Social :



ผีมาใส่บาตร หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

25 ก.ย. 59 23:09
ผีมาใส่บาตร หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

ผีมาใส่บาตร หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

ครั้งนั้น …… หลวงพ่อคูณเริ่มจาริกธุดงค์ออกจากวัดถนนหักใหญ่  อำเภอด่านขุนทด  จังหวัดนครราชสีมา  มุ่งหน้าสู่จังหวัดหนองคาย  เส้นทางธุดงค์ของหลวงพ่อคูณยึดเอาแนวชายดงชายเขาอันเปล่าเปลี่ยวเป็นเส้นทางโคจร  จะหยุดยั้งปักกลดบำเพ็ญสมณธรรม  ก็ถือเอาทำเลชัยภูมิซึ่งห่างไกลชุมชนหมู่บ้านพอสมควร

             หลวงพ่อคูณเดินเท้าไปเรื่อยๆ  กระทั่งถึงจังหวัดหนองคาย  จากนั้นก็อาศัยเรือข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นยังฝั่งลาว

             ราชอาณาจักรลาวสมัยนั้น  ความเจริญมีอยู่แค่เมืองหลวงคือนครเวียงจันทน์เท่านั้นเอง  เลยจากเขตเมืองหลวงไปแล้วก็คือป่าเขาลำเนาไพรซึ่งยังเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์  ชาวลาวดำเนินชีวิตด้วยความเป็นอยู่เรียบง่าย  ทำไร่ทำนาแค่พอกินพอใช้ไปวันๆ  แต่ประชาชนซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นคนยากจนส่วนใหญ่นี้ต่างมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

             หลวงพ่อคูณไม่เคยเข้าไปในประเทศลาวมาก่อน  แต่ท่านไม่รู้สึกปริวิตกแม้แต่น้อย  เพราะจุดหมายปลายทางของพระธุดงค์กรรมฐานนั้นคือการไปให้ถึงโมกขธรรมอันสูงสุด  มิใช่เดินทางไปท่องเที่ยวแสวงหาความรื่นรมย์สนุกสนานหรือสุขสบายใดๆ  ในทางโลกเส้นทางโคจรของท่านจึงมุ่งสู่ความสงบสงัดเป็นทางเอก  และอาศัยบิณฑบาตเท่าที่จะผ่านไปพบเขตคามชุมขนเล็กๆ  ตามรายทางเพียงเพื่อประคองสังขารให้ดำรงอยู่เท่านั้น

             พรรษาแรกในแผ่นดินลาว  หลวงพ่อคูณ  ปริสุทโธ  ปวารณาจำพรรษาอยู่ที่ภูควาย  โดยอาศัยเถื่อนถ้ำแห่งหนึ่งเป็นที่พักบำเพ็ญเพียรตลอดพรรษา  โดยมีชาวบ้านป่าเชิงเขาอุปัฎฐากเรื่องอาหารขบฉัน  ซึ่งท่านจะลงจากภูสูงมาบิณฑบาตที่หมู่บ้านนั้นทุกวัน

             ออกพรรษาแล้ว  หลวงพ่อคูณจึงลงจากภูควาย  จาริกธุดงค์ต่อไปโดยมุ่งหน้าไปทางทุ่งไหหิน  เมื่อไปถึงทุ่งไหหินได้หยุดยั้งปักกลดลง ณ ที่นี้

             ตลอดอาณาบริเวณของทุ่งไหหินเป็นที่ราบกว้างไกลสุดสายตา  คล้ายกับว่าเป็นทำเลที่ตั้งเมืองเก่าโบราณซึ่งได้ล่มสลายสูญหายไปหมดสิ้น  ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ซากปรักหักพัง  คงมีแต่สิ่งอัศจรรย์ทิ้งเอาไว้กลาดเกลื่อนไปตลิดที่ราบของท้องทุ่งนั่นคือ   ไหหิน

             ไหหินเหล่านี้เป็นแท่งหินทรงกลม  ตรงกลางกลวงเว้าลึกลงไป  แต่ไม่ทะลุออกไปอีกด้านหนึ่ง  หินแต่ละแท่งมีลักษณะคล้ายไหหนึ่งข้าวของชาวลาวทั่วไป  ไหหินซึ่งวางกระจายกลาดเกลื่อนมีหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่  บางไหใหญ่ขนาดหลายคนโอบ  และมีน้ำหนักเป็นตันๆ

             ไม่มีตำนานหรือประวัติบอกกล่าวเล่าถึงที่มาของไหหินเหล่านี้อย่างชัดเจน    จึงทำให้ไม่รู้ว่าเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติหรือถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์  และถ้าเป็นไหหินซึ่งมนุษย์ทำขึ้นมา  พวกเขามีจุดประสงค์ทำขึ้นมาเพื่ออะไรและทำไมถึงได้มีมากมายนับร้อยๆ ไหเช่นนั้น

             เมื่อหลวงพ่อคูณมาถึงทุ่งไหหินเป็นครั้งแรกนั้น  เป็นเวลาโพล้เพล้มากแล้ว  ท่านจึงปักกลดใกล้ๆ  กับพลาญหินราบเรียบส่วนหนึ่งของพลาญหินเป็นโขดหินชะเงื้อมสูงพอสมควร  พอได้อาศัยเป็นที่บังลมอย่างดี  เนื่องจากกระแสลมซึ่งพัดผ่านทุ่งไหหินแห่งนี้ออกจะรุนแรงเอาการอยู่

             หลังจากสวดมนต์ทำวัตรแล้ว  หลวงพ่อคูณก็เข้าที่ภาวนาภายในกลด  คืนนั้นแม้จะเป็นคืนแรม  แต่แสงดาวซึ่งพราวเต็มท้องฟ้าก็ช่วยบรรเทาความมืดไปได้หลายส่วน  ทั่วท้องทุ่งซึ่งมีชื่อว่า  ทุ่งไหหิน ”   แห่งนี้ดูอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวน่าพรั่งพรึงอย่างยากที่จะอธิบายได้ถูกถ้วน  ทว่าหลวงพ่อคูณมิได้ใส่ใจต่อความสงัดวังเวงซึ่งครอบคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ  หากเพ่งไปที่จิตเพื่อรวมเป็นสนามสู่กรรมฐานตามลำดับ

             แต่สำหรับคืนนี้  จิตของหลวงพ่อคูณดูเหมือนจะกระสับกระส่ายคล้ายกับไม่ยอมให้สติควบคุมง่ายๆ  แต่หลวงพ่อก็ไม่ยอมให้จิตมันแส่ส่ายนำไปสู่ภายนอกได้

             และในวาระนั้น ………. หลวงพ่อคูณ  ปริสุทโธก็ได้เผชิญกับความอัศจรรย์  ณ ทุ่งไหหิน

             จู่ๆ  ก็มีเสียงอื้ออึงคล้ายพายุกล้ากำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  ยิ่งใกล้เข้ามาเสียงอื้ออึงก็ยิ่งชัดเจนขึ้น  ประหนึ่งกระแสลมอันบ้าคลั่งจะกวาดเอาสรรพสิ่งในท้องทุ่งไหหินให้ปลิวหายไปจนหมดสิ้น

             แต่เมื่อเสียงนั้นเคลื่อนมาจะถึงกลดของหลวงพ่อคูณ  เสียงของกระสแสลมกลับกลายเป็นเสียงโห่ร้องอึงคนึงของคนนับพันนับหมื่นประหนึ่งมีกองทัพกำลังเคลื่อนขบวนยาตราตรงเข้ามา

             หากผู้ซึ่งเผชิญกับปรากฎการณ์อันชวนให้ขนพองสยองเกล้าดังที่ปรากฎ  ขาดสติหรือมีกำลังจิตหวั่นไหวอ่อนแอ  อาจจะเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงขั้นวิปลาสไปก็ได้  แต่สำหรับหลวงพ่อคูณนั้นท่านเคยผ่านประสบการณ์ความกลัวมาหนักหนาสาหัสยิ่งกว่านี้  เรียกว่าเคยกลัวจนถึงขีดสุด  กระทั่งไม่รู้จักความกลัวใดๆ  ทั้งสิ้นเสียแล้ว …….. เพียงแค่เสียงมากระทบหูเท่านี้จึงไม่ทำให้ท่านเกิดความหวั่นไหวได้

             จากเสียงโห่ร้องอึงอลบอกบ่งถึงความดุร้ายกระหายเลือดก็พลันเปลี่ยนไป  กลายเป็นเสียงร่ำไห้คร่ำครวญของผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมานเหลือจะกล่าว  และเสียงเช่นนี้ได้โหยหวยระงมไปทั่วท้องทุ่ง

             หลวงพ่อคูณกล่าวในภายหลังว่า  ณ  ทุ่งไหหินแห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านไม่เคยคิดว่าจะได้ยินก็ได้ยิน  ไม่เคยคิดว่าจะเห็นก็ได้เห็น

             ทุ่งไหหินมีอดีตซับซ้อนทับถมกันอยู่จนยากจะแยกแยะออกมาได้ว่าเป็นยุคใดสมัยใด  แต่ที่แน่นอนก็คือ  ณ  ที่ราบของท้องทุ่งแห่งนี้  เป็นที่สถิตย์ของดวงวิญญาณสัมภเวสีนับไม่ถ้วยซึ่งไม่มีที่จะไป  ได้แต่เร่ร่อนวนเวียนอยู่ด้วยบุรพกรรมของตัวเองอย่างน่าเวทนา

             หลวงพ่อคูณกระทำได้ก็แต่เพียงสำรวมจิตเข้าสู่กุศลแล้วแผ่เมตตาออกไปไม่มีประมาณ  เพื่อชี้ทางสู่สุคติแก่วิญญาณทรมานทั้งหลายเหล่านั้น

             คืนนั้นผ่านไป  เมื่อได้อรุณแล้วหลวงพ่อคูณก็ออกบิณฑบาตไปยังหมู่บ้านเล็กๆ  ซึ่งอยู่ไกลลิบ  พวกชาวบ้านซึ่งเป็นคนป่าคอยดูเหมือนจะไม่คุ้นหรือไม่มีศรัทธาในการทำบุญใส่บาตร  เหตุนี้หลวงพ่อคูณจึงได้เพียงข้าวเหนียวมาปั้นเดียว  ไม่มีกับข้าวคาวหวานใดๆ  ทั้งสิ้น  แต่ท่านก็มิได้อนาทรร้อนใจ  ได้อะไรก็ฉันเท่านั้น  เพราะฉันเพียงเพื่อเลี้ยงดูสังขารให้มันแค่ดำรงอยู่  มิใช่ฉันเพราะต้องการความเอร็ดอร่อยแต่อย่างใด

             หลวงพ่อคูณหยุดยั้งอยู่ที่ทุ่งไหหินเป็นระยะเวลาสั้นๆ  เพราะเห็นว่าไม่เป็นที่สัปปายะสมควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรม  ประกอบกับผู้คนจำนวนน้อยซึ่งอยู่อาศัยในเขตชายทุ่งไหหินเป็นชาวป่าชาวเขาที่ค่อนไปทางป่าเถื่อน  ไม่นับถือพระไม่นับถือพุทธ  ทางเลื่อมใสบูชาลัทธิผีบรรพบุรุษ  มีเจ้าป่าเจ้าเขา  หลวงพ่อคูณจึงได้เก็บบริขารออกจากทุ่งไหหิน  ธุดงค์รอนแรมต่อไปโดยบ่ายหน้าสู่ทิศที่ตั้งของนครเวียงจันทน์

             ในพรรษานั้น  หลวงพ่อคูณจำพรรษาอยู่ที่วัดหนึ่งในนครเวียงจันทน์

             หลังออกพรรษาแล้ว ……… หลวงพ่อคูณ  ปริสุทโธ  ได้อำลาเจ้าอาวาสผู้มีเมตตาอารีออกเดินธุดงค์ต่อไปอีก  และยังไม่คิดกลับเมืองไทย  เนื่องจากพอใจในสภาพโดยทั่วไปของแผ่นดินลาวซึ่งอุดมไปด้วยป่าเขาอันรื่นรมย์  เหมาะสมต่อการบำเพ็ญสมณธรรมขจัดกิเลสให้เบาบางไปจนถึงสูญสิ้นในที่สุด

             หลวงพ่อคูณจาริกธุดงค์ไปเรื่อยๆ  หากพบหมู่บ้านก็พอได้อาศัยโคจรบิณฑบาต  หากไม่พบพานชุมชนคนอาศัยก็เท่ากับอดอาหารงดฉันไปโดยปริยาย แต่มิได้ทำให้เดือดร้อนวุ่นวายอะไรนัก  เพราะจิตใจนั้นอิ่มเอิบเบิกบานอยู่ด้วยธรรมตลอดเวลา

             จากเวียงจันทน์  หลวงพ่อคูณจาริกไปจนถึงเมืองหลวงพระบางและได้จำพรรษาที่หลวงพระบางอีกหนึ่งพรรษา  ครั้นออกพรรษาแล้วก็ออกธุดงค์จากทางเหนือล่องลงมาทางใต้ของประเทศ  กระทั่งเข้าเขตเมืองผาเลน

             ห่างจากเมืองผาเลนไปไม่ไกลนัก  มีทิวเขาโอบล้อมทอดตัวสลับซับซ้อนอยู่ด้านหนึ่ง  เมื่อหลวงพ่อคูณจาริกผ่านเชิงเขาขนาดย่อมก็พบถ้ำแห่งหนึ่งดูร่มรื่นสงัดเงียบเป็นที่น่าพอใจ  ไม่ไกลจากถ้ำมีธารน้ำไหลใสสะอาด  พออาศัยใช้เป็นน้ำสรง  น้ำดื่มได้สะดวก  และที่ตีนเขามีหมู่บ้านหลายหลังคาเรือน  ชาวบ้านเหล่านั้นก็แสดงความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

             เมื่อชาวบ้านเห็นหลวงพ่อคูณมาปักกลดบำเพ็ญธรรมอยู่ที่ถ้ำผาเลน  ก็พากันปีนป่ายไต่เขาขึ้นมานมัสการท่านถึงในถ้ำ  แล้วนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่ถ้ำนี้นานๆ  เพื่อที่พวกตนจะได้มีโอกาสทำบุญใส่บาตรสร้างกุศลกันบ้าง  เพราะไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าผ่านมานานแล้ว  หลวงพ่อคูณก็รับนิมนต์  ทำให้ชาวบ้านพากันปีติยินดีกันทั่วหน้า และกล่าวย้ำแก่ท่านว่าอย่าได้วิตกกังวลเรื่องภัตตาหาร  พวกเขาจะเตรียมอาหารไว้ใส่บาตรทุกๆ  เช้ามิให้ขาด

             คืนนั้น ……. หลวงพ่อคูณเข้าไปอาศัยถ้ำใหญ่แห่งนั้นเป็นที่บำเพ็ญเพียรด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งเป็นที่น่าพอใจ  เพราะอากาศภายในถ้ำไม่อับชื้น  มีกระแสลมไหลผ่านวนเวียนตลอดเวลา

             ตราบกระทั่งถึงเวลาได้อรุณ …..

Lif
ขอบฟ้าเริ่มเรืองแสงจางๆ  หลวงพ่อคูณจึงเตรียมตัวออกบิณฑบาต  แต่อากาศขณะนั้นยังขมุกขมัวมืดมัวไปทั่ว  ประกอบกับภูมิอากาศบนภูเขามีหมอกลงจัดทำให้มองออกไปไกลๆ  ไม่ได้เลย

             หลวงพ่อคูณสะพายบาตรเรียบร้อยก็ออกจากบริเวณหน้าถ้ำเดินลงมาตามทางเล็กๆ  ซึ่งคดเคี้ยวและลาดชัน  มาจนถึงทางแยกลงทางที่ทอดลงไปยังหมู่บ้านตีนเขา  จึงตัดสินใจไปทางซ้าย

             เส้นทางสายนี้อ้อมภูเขาลาดลงไปไม่ชันนัก  แต่ทางเดินออกจะรกเรื้อด้วยหญ้าและวัชพืชคลุมหน้าดินค่อนข้างหน้า

           เดินตามทางไปสักครู่ใหญ่ความสว่างได้เพิ่มขึ้นและหมอกก็จางลง  หลวงพ่อคูณเพิ่งสังเกตเห็นว่าทางที่ท่านเดินผ่านไปนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ  กระทั่งไปบรรจบที่ราบกว้าง  มีเงาตะคุ่มของกองอิฐเก่าๆ  ซึ่งทะลายลงมาระเกะระกะ  และมีซากกำแพงปรักหักพังเป็นส่วนๆ  อยู่ในบริเวณนั้น

             หลวงพ่อคูณรู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เห็นภูมิประเทศออกจะพิกลอยู่  ท่านจำได้ว่าตอนที่เดินผ่านหมู่บ้านก่อนจะขึ้นภูเขามาถึงถ้ำไม่เคยเห็นกองอิฐกองหินหรือซากกำแพงแม้แต่น้อย  แต่เหตุใดเช้าวันนี้จึงได้มีสภาพผันแปรเปลี่ยนไปผิดตามากเหลือเกิน  หรือว่าท่านอาจจะมาผิดทาง  เลยเดินเข้าหมู่บ้านด้านซึ่งไม่เคยผ่านมาก่อน

             แล้วความคิดซึ่งไม่แน่ใจว่ามาผิดทางก็พลันหมดไป  เมื่อแลไปข้างหน้าชาวบ้านทั้งหญิงชายหลายคนยืนถือขันข้าวและถาดใส่อาหารรอคอยใส่บาตรอย่างเงียบๆ  อยู่ข้างทางเดิน  หลวงพ่อคูณจึงเดินเข้าไปด้วยกริยาอันสำรวม  สายตาทอดต่ำเพียงมองเห็นเลยไปแค่  3 – 4  ก้าว

             หลวงพ่อคูณเปิดฝาบาตร  รับข้าวและกับข้าวซึ่งห่อด้วยใบตองเป็นห่อเล็กๆ  ไปจนสุดแถว  แล้วท่านก็เดินกลับโดยอาการอันสงบเช่นเดิน  ขณะที่เดินย้อนกลับขึ้นเขาหลวงพ่อคูณยังมีข้อสะกิดใจสงสัยอยู่อีกประกากรหนึ่งก็คือ  ทำไมชาวบ้านที่นำอาหารมาใส่บาตรจึงเงียบเชียบกันเหลือเกิน

             ตลอดเวลาที่ท่านเดินผ่าน  ไม่มีใครสนทนาพูดคุยกันเลย  ทุกคนไม่ว่าจะใส่บาตรแล้วหรือกำลังรอใส่บาตรต่างก็ยืนนิ่งทื่อๆ  ยืนอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายหรือเดินไปเดินมาตามประสาคนทั่วไป  ไม่มีการทักทายหรือพูดคุยซึ่งกันและกัน  ซึ่งออกจะผิดวิสัยธรรมชาติของสังคมคนหมู่มากทำให้บรรยากาศดูสงัดวังเวงบอกไม่ถูก

             หลวงพ่อคูณครุ่นคิดเพียงเท่านี้ก็เลิกใส่ใจ  ด้วยเห็นว่าไร้ประโยชน์ไร้สาระที่จะนำมาเป็นกังวล  ท่านเดินมาตามเส้นทางเดิมซึ่งทอดอ้อมเขาขึ้นมาจนถึงถ้ำ

             หลังจากฉันเรียบร้อยแล้วหลวงพ่อคูณได้นำบาตรไปชำระล้างที่ลำธาร  เศษข้าวเศษอาหารซึ่งเหลือจากฉันได้นำมากองไว้บนก้อนหินเพื่อให้ทานแก่สัตว์ตัวเล็กๆ  อีกต่อหนึ่ง  แล้วหลวงพ่อก็นำบาตรกลับมาผึ่งแดดที่หน้าถ้ำ  จากนั้นท่านจึงเข้าที่ปฏิบัติทางจิตนั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรม  กระทั่งครบกำหนดเวลาในตอนเย็นหลวงพ่อคูณก็ไปสรงน้ำที่ลำธาร

             คราวนี้ท่านรู้สึกแปลกใจที่เห็นเศษข้าวเศษอาหารซึ่งท่านวางกองไว้บนก้อนหินมิได้พร่องไปเลย  แสดงว่าไม่มีสัตว์เล็กๆ  เข้ามากินแม้แต่ตัวเดียว  ซึ่งเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกเอาการ

             เพราะตลอดระยะเวลาที่ท่านเดินธุดงค์  หากมีเศษข้าวเศษอาหารเหลือจากฉันแล้วท่านวางกองทิ้งไว้  สัตว์เล็กๆ  จะเข้ามากินจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือทุกครั้ง

             แต่สำหรับครั้งนี้  แม้แต่มดตัวเล็กๆ  ก็ยังไม่มาตอมเสียด้วยซ้ำ

             เช้าวันต่อมา ……….. ก่อนออกไปบิณฑบาต  หลวงพ่อคูณแวะไปดูกองเศษข้าวและเศษอาหารเพราะกลัวจะบูดเน่า  ปรากฎว่าหายไปหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเศษเล็กเศษน้อยตกค้างเอาไว้เลย  เมื่อเข้าไปพิจารณาดูใกล้ๆ  ยิ่งน่าแปลกหนักเข้าไปอีก  เพราะถ้าหากมีสัตว์มากินเศษอาหารจะต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่เท่าที่หลวงพ่อคูณเห็นขณะนั้น  บนก้อนหินเกลี้ยงเกลาประหนึ่งไม่เคยวางเศษอาหารใดๆ  เอาไว้เลย

             ดุจ …. เศษอาหารทั้งหมดหายวับไปเฉยๆ

             หลวงพ่อคูณปฏิบัติสมณธรรมอยู่ที่ถ้ำผาเลนได้  3 – 4  วัน  ชาวบ้านตีนเขาหลายคนก็ขึ้นมาหาหลวงพ่อถึงที่ถ้ำด้วยความเป็นห่วง  เพราะตั้งแต่ท่านมาอยู่ถ้ำผาเลนไม่เคยลงไปบิณฑบาตที่หมู่บ้านเลยทั้งๆ  ที่รับนิมนต์พวกเขาไว้แล้ว

             หลวงพ่อคูณบอกว่าได้ลงเขาไปบิณฑบาตทุกเช้าไม่ได้เว้นแม้แต่วันเดียว  ทำไมชาวบ้านจึงกล่าวหาว่าท่านไม่ไปบิณฑบาตล่ะ

             ชาวบ้านก็พากันงุนงงสงสัย  เพราะทั่วทั้งหมูบ้านไม่มีใครเห็นหลวงพ่อ  อีกทั้งข้าวปลาอาหารซึ่งทำเตรียมไว้เพื่อใส่บาตรก็ค้างเก้อมาทุกวัน  จะว่าหลวงพ่อคูณหลงทางไปบิณฑบาตหมู่บ้านอื่นก็เป็นไปไม่ได้  เพราะตลอดระแวดนี้ไม่มีหมู่บ้านอื่นใดอีกมีแต่ป่าเขาและดงไม้ไปตลอด

             ชาวบ้านสอบถามหลวงพ่อคูณว่าท่านลงจากเขาไปทางทิศไหน  หลวงพ่ออธิบายว่าออกจากถ้ำแล้วก็ไปตามทางเดินลงเขา  พอถึงทางแยกก็เลี้ยวซ้ายเป็นทางอ้อมภูเขาไป

             ชาวบ้านพอรู้ว่าหลวงพ่อคูณไปทางไหน   พวกเขาก็พูดแทบจะพร้อมๆ  กันว่า   หลวงพ่อไปบิณฑบาตกับผีเสียแล้ว ”   จากนั้นจึงได้อธิบายต่อไปว่าเส้นทางที่จะลงจากเขาไปสู่หมู่บ้านนั้นต้องแยกเข้าทางเดินขวามือ  หากเลี้ยวซ้ายซึ่งเป็นทางเดินเก่าๆ  อ้อมภูเขาไปนั้นคือทางไปเมืองร้างมาแต่โบราณกาล  ไม่มีผู้คนอยู่อาศัยแม้แต่คนเดียว  ชาวบ้านตีนเขายังไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปในเขตเมืองร้างแห่งนั้น  เพราะเคยมีคนไปเจอภูตผีปิศาจน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่เมืองร้างมาแล้ว

             หลวงพ่อคูณรับฟังเรื่องซึ่งท่านไม่เคยคาดคิดมาก่อนเมื่อพวกชาวบ้านเล่าความจนหมดสิ้น ่นก็ได้แต่หัวเราะหึๆ  บอกแก่ทุกคนว่า

             เป็นบุญของผีเมืองร้างที่ได้ใส่บาตรพระ  ซ้ำยังช่วยต่อชีวิตพระไปได้อีกหลายมื้อ  จะว่าไปแล้วข้าวปลาอาหารของผีนี่มันก็แซ่บหลายอยู่ ……”

             เช้าวันรุ่งขึ้น ………. หลวงพ่อคูณก็ออกบิณฑบาตตามกิจของท่าน  เมื่อลงจากเขามาถึงทางแยกซ้ายขวา  ท่านตัดสินใจเดินไปทางซ้าย  ซึ่งเป็นเส้นทางไปบรรจบกับเมืองร้าง  เมื่อเข้าสู่เขตเมืองร้างแล้ว  คราวนี้ท่านมองไม่เห็นมีใครมารอคอยใส่บาตรเช่นทุกเช้าที่ผ่านมา  ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางสายหมอกหม่นมัว  คือซากปรักพังของเมืองโบราณซึ่งล่มสลายไปหมดสิ้น  ความรุ่งเรืองของศิลปวัตถุทั้งหลายเหลือเพียงแต่เศษอิฐหินที่รอคอยการผุพังกลายเป็นธุลีดินไปในที่สุด

             หลวงพ่อคูณสงบจิตจนแนบสนิทอยู่กับกุศลซึ่งท่านได้สั่งสมมา  แล้วแผ่เมตตาออกไปยังวิญญาณทั้งหลายที่ยังวนเวียนอยู่ในอาณาบริเวณเมืองร้างแห่งนี้  เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้พบกับทางไปสู่สุคติที่ดีกว่า ……….

             จากนั้น …… หลวงพ่อคูณ  ปริสุทโธ  ก็เดินกลับย้อนไปตามทางเดิม  เมื่อถึงทางแยกท่านก็เลี้ยวไปตามทางลงเขาทอดไปสู่หมู่บ้านตีนเขา  ซึ่งชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารรอคอยใส่บาตรอยู่

             อ่านแล้วท่านทั้งหลายมีความรู้สึกอย่างไร  ท่านเชื่อหรือไม่ว่าในโลกนี้จะมีสิ่งเร้นลับอยู่ปะปนกับพวกเรา  เพียงแต่ว่าอยู่คนละภพเท่านั้น

             นี่คือประสบการณ์เผชิญวิญญาณบนเส้นทางธุดงค์ครั้งหนึ่งของหลวงพ่อคูณ  ปริสุทโธ  หรือท่านเจ้าคุณพระญาณวิทยาเถระ  แห่งวัดบ้านไร่  อำเภอด่านขุดทด  จังหวัดนครราชสีมา ……



ที่มา http://www.thaiassethome.com

โพสต์โดย : nampuengeiei9760