สถานการณ์คลี่คลาย! รัฐบาล เร่งแก้ปัญหาฝุ่นPM 2.5ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

รัฐบาล เร่งแก้ปัญหาฝุ่นPM 2.5 หลังวิกฤต ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด – หลีกเลี่ยงออกพื้นที่โล่งแจ้ง คาดหลัง 7 ก.พ. สถานการณ์คลี่คลาย

 

 

 

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี? แถลงข่าวความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน โดยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

 

โดยเฉพาะเมืองขนาดใหญ่ อย่างกรุงเทพมหานครสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ มีจุดความร้อนกระจายอยู่ 1,200 จุด สอดคล้องภาพถ่ายดาวเทียม เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เพียง 2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดยพบว่าจังหวัดที่พบจุดความร้อนสูงประกอบด้วย กาญจนบุรีชัยภูมิ น่าน เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ลพบุรีลำปาง พะเยา ราชบุรี แพร่ เชียงใหม่กาฬสินธุ์ อุตรดิตถ์ และนครราชสีมา

 

นอกจากนี้ยังมีฝุ่นควันข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยค่าPM 2.5 จะเริ่มลดลง วันที่ 5 กุมภาพันธ์ลดลง โดยในวันที่ 7 กุมภาพันธ์จะลดลงสู่ค่ามาตรฐาน แต่มีข้อเสนอให้ลดการจราจร work from home เข้มงวดการก่อสร้าง การเผาในที่โล่ง ส่วนพื้นที่อื่นๆจะดำเนินการตามแผนเฉพาะกิจโดยจะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้วในปี 2566 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บังคับการห้ามเผาอย่างเด็ดขาด ในภาวะวิกฤตมีการบริหารเชื้อเพลิง เพื่อควบคุมจุดความร้อน โดยขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ผ่านทาง Application Air4thai

 

ด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านภูมิแพ้ จากมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ฝุ่นละอองทำให้เกิดการแพ้ในพื้นที่สัมผัส ทั้งระบบทางเดินหายใจ ดวงตา ซึ่งส่งผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดกลั้นได้สูงกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้ได้มากขึ้น นอกจากนี้เส้นเลือดในสมองอุดตันและแตกได้เช่นเดียวกัน

 

ส่วนในระยะยาวสามารถทำให้การทำงานของไตเสื่อมเร็วกว่าสิ่งแวดล้อมปกติ อัตราการเป็นโรคเบาหวานสูงขึ้น รวมไปถึงสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งปอด ซึ่งมีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนโดยกลุ่มคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด มีหลักการดูแลหลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้าน สวมหน้ากาก รวมไปถึงในสเปย์ ยาพ่น เพื่อลดการสัมผัส หากแสบตาห้ามขยี้โดยใช้น้ำตาเทียมแทน หากคัดจมูกห้ามขยี้เด็ดขาด

 

ขอบขอบคุณข้อมูลจาก:innnews