หนุ่มเมาอาละวาดน้อยใจแม่เรียกตำรวจจับ ใช้เสื้อผูกคอดับคาห้องขังโรงพัก

ที่เกิดเหตุอยู่ภายในชั้นล่างของโรงพัก พบร่างนายภัฎ ญารินธนัน อายุ 27 ปี อาชีพขับรถส่งพัสดุ สภาพนอนหงายหายใจรวยริน ไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงขาสั้นลายสก๊อต เจ้าหน้าที่พยายามทำ CPR กว่า 45 นาที แต่ไม่เป็นผล เสียชีวิตในเวลาต่อมา จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงโทรฯ ให้ญาติผู้ตายเข้ามาดูศพ เมื่อภรรยาผู้ตายมาถึงได้ปรี่เข้าไปโอบร่างผู้ตายพร้อมกับร่ำไห้ปริ่มใจจะขาด เจ้าหน้าที่ต้องนำเชือกกั้นเพื่อรอแพทย์ จากการตรวจสอบตามร่างกายพบบาดแผลบริเวณลำคอมีรอยช้ำ และหัวเข่าข้างซ้ายถูกของมีคมกรีด และพบบาดแผลรอยกรีดที่แขนข้างขวา

น.ส.กันยกร โกศินานนท์ อายุ 28 ปี ภรรยาผู้ตาย เปิดเผยว่า ตนคบหากับผู้ตายมา 8 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีลูกด้วยกัน 1 คน วานนี้ (28 ก.พ.) ก่อนเกิดเหตุผู้ตายมาชวนให้ไปวิ่งงานที่ต่างจังหวัดเป็นเพื่อน แต่ตนไม่ไปเนื่องจากต้องเคลียร์งานก่อน ทำให้ผู้ตายโมโห โวยวายใส่ตน เพราะมีอาการเมา เนื่องจากดื่มสุราไป 1 กลม กระทั่งผู้ตายหลับไป ตนจึงหนีไปอยู่บ้านแม่ จนเมื่อช่วงเช้าผู้ตายมาที่ตึก แม่ตนจึงให้ตนไปหลบซ่อนเพื่อไม่ให้ผู้ตายเห็น เนื่องจากกลัวจะมีปัญหา ส่วนเหตุการณ์วันนี้ตนไม่รู้ รู้แค่ผู้ตายเมาอาละวาด และทางแม่ผู้ตายให้เจ้าหน้าที่คุมตัวมาไว้โรงพัก ซึ่งครั้งนี้ตนถูกผู้ตายทำร้ายเป็นครั้งที่ 2 สาเหตุที่ทะเลาะกัน คิดว่าผู้ตายหึงหวง

ด้าน พ.ต.ท.ธีรศักดิ์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงประมาณบ่ายโมง ได้รับแจ้งจากญาติว่า ผู้ตายเมาอาละวาดทำร้ายตัวเอง เจ้าหน้าที่จึงไปตรวจสอบ พร้อมกับพาตัวไปส่ง ที่ รพ.บางปะกอก 8 โดยผู้ตายใช้มีดกรีดแขนตัวเอง เมื่อไปถึง รพ. ผู้ตายไม่ยอมให้หมอรักษาและวิ่งหนีหมอ ต่อมาทางแม่ผู้ตายได้ขอให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว พร้อมเซ็นหนังสือยินยอม เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยตัวกลับบ้านกลัวจะไปทำร้ายบุคคลอื่นด้วย จากนั้นเมื่อนำตัวมาไว้ห้องควบคุมขังและใส่เครื่องพันธนาการไว้กับลูกกรงห้องขัง ต่อมาช่วง 17.00 น. แม่ผู้ตายเข้ามาเยี่ยมที่โรงพักแต่เห็นว่าลูกหลับจึงเดินทางกลับ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดช่วงเย็นที่ผ่านมา เห็นว่าผู้ตายอยู่ในอาการสงบ จึงปลดเครื่องพันธนาการออก กระทั่งช่วง 21.00 น. เห็นว่าผู้ตายใช้เสื้อผูกคอตัวเองจนเสียชีวิต จึงรีบนำตัวออกจากห้องขังและประสานให้กู้ชีพเข้ามาช่วยเหลือแต่ไม่ทันการ

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนมอบให้อาสานำร่างผู้ตายส่งไปชันสูตรที่นิติเวช รพ.ศิริราช เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด ก่อนให้ญาตินำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

ขอบคุณที่มา     ข่าวเดลินิวส์