Social :



อ้างรู้จักตำรวจใหญ่! ทนายดังพาหนุ่มจีนถูกทำร้ายในรพ.ร้อง 6 เดือนคดีไม่คืบ

10 มี.ค. 66 13:03
อ้างรู้จักตำรวจใหญ่! ทนายดังพาหนุ่มจีนถูกทำร้ายในรพ.ร้อง 6 เดือนคดีไม่คืบ

อ้างรู้จักตำรวจใหญ่! ทนายดังพาหนุ่มจีนถูกทำร้ายในรพ.ร้อง 6 เดือนคดีไม่คืบ

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พานายโทนี่ (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี ผู้เสียหายชาวจีน เข้าร้องขอความเป็นธรรม กับ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. กรณีผู้เสียหายถูกเพื่อนร่วมประเทศ ทำร้ายร่างกายที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งพื้นที่ สน.แสมดำ ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเอกชนย่านฝั่งธนบุรี พื้นที่ของ สน.ท่าข้าม แต่ผู้ก่อเหตุสุดเหิมเกริมบุกเข้าไปทำร้ายซ้ำอีกในห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลดังกล่าว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 65


นายรณณรงค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการแจ้งความดำเนินคดีกับทางโรงพักท้องที่ทั้ง 2 พื้นที่ไว้แล้ว คือ สน.แสมดำ ข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนพื้นที่ สน.ท่าข้าม แจ้งข้อหาพยายามฆ่า เนื่องจากมีการใช้อาวุธเข้าไปก่อนเหตุในห้องฉุกเฉินของทางโรงพยาบาล แต่คดีไม่มีความคืบหน้า เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นนักธุรกิจที่รู้จักกับนายตำรวจระดับสูง และพบข้อมูลว่า มีนายตำรวจระดับสูง ประสานมาไกล่เกลี่ยคดีกับทางโรงพัก จึงมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้ช่วยเร่งรัดคดี


นายรณณรงค์ ระบุอีกว่า กรณีนี้ถือเป็นเรื่องที่ชาวต่างชาติกับชาวต่างชาติทะเลาะวิวาทกันก็จริง แต่สิ่งที่ตนกับผู้เสียหายสงสัยคือ การทำงานของทางตำรวจที่จนถึงขณะนี้ระยะเวลาผ่านมานานกว่า 6 เดือน คดีความทั้ง 2 คดี กลับยังไม่มีความคืบหน้าอะไร รวมถึงโรงพยาบาลที่เกิดเหตุก็ไม่มีการแจ้งความกับผู้ก่อเหตุที่บุกเข้าไปก่อเหตุแบบอุกอาจ ซึ่งหากเป็นเรื่องปกติโรงพยาบาลต้องดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับทางผู้ก่อความวุ่นวายในโรงพยาบาลแล้ว เพราะถือเป็นเรื่องที่ยอมความกันไม่ได้ และหากเป็นคนไทยคงต้องถูกดำเนินคดีจนถึงขั้นติดคุกไปแล้ว


นายรณณรงค์ กล่าวว่า สอบถามผู้เสียหายทราบว่ารู้จักกับทางผู้ก่อเหตุกันทางธุรกิจ และเพิ่งเคยเจอกันเพียง 3 ครั้ง ครั้งแรกที่ประเทศจีน และอีก 2
MulticollaC
ครั้งในไทย ซึ่งครั้งที่ 3 เป็นวันที่เกิดเหตุ ขณะที่มีการนัดกินข้าวเพื่อเจรจาธุรกิจซึ่งทางผู้เสียหายยืนยันกับทางตนว่า ไม่ได้มีปัญหาผิดใจกับทางผู้ก่อเหตุหรือขัดแย้งทางธุรกิจแต่อย่างใด รวมถึงในวันเกิดเหตุก็ไม่ได้มีการทำพฤติการณ์ใด ๆ ที่เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่าทางผู้เสียหายจะล่วงเกินผู้ก่อเหตุ มีเพียงการที่ผู้เสียหายไปชนกำปั้นกับทางผู้หญิงคนไทยรายหนึ่งซึ่งมากับทางคู่กรณี โดยผู้เสียหายให้รายละเอียดกับตนว่าเป็นการทักทายกันตามปกติในวงที่มีการเล่นเกม ในวงทานอาหาร ไม่ได้มีการล่วงเกินอย่างอื่น ทั้งการกระทำและคำพูด แต่หลังจากมีการชนกำปั้นได้ประมาณ 2-3 นาที ผู้ก่อเหตุก็เริ่มทำร้ายร่างกาย เอาแก้วเบียร์ฟาดไปที่หน้าผากจนแตก จึงคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการก่อเหตุในครั้งนี้


นายรณณรงค์ กล่าวอีกว่า ซึ่งหลังก่อเหตุจากทางร้านอาหารผู้เสียหายได้เดินทางไปรักษาร่างกายที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แต่คู่กรณีก็เดินทางตามไปทำร้ายร่างกายซ้ำอีก จนทำให้ผู้เสียหายรู้สึกหวาดกลัวเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยจึงตัดสินใจเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อรักษาตัว ก่อนจะเดินทางย้อนกลับมาที่ประเทศไทย และประสานตนเพื่อขอให้พาเข้าแจ้งความและช่วยติดตามคดีในครั้งนี้ เพราะผู้เสียหายต้องการให้มีการดำเนินการทางคดีกับทางผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด ส่วนตัวผู้ก่อเหตุขณะนี้ทราบว่า ยังอยู่ในประเทศไทย


นายรณณรงค์ ยังระบุอีกว่า ตนยังพบข้อมูลอีกว่ามีนายตำรวจระดับสูง ยศ พล.ต.ท. ในตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยงานหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการติดต่อมาทำการเคลียร์คดีกับทางตำรวจพื้นที่ ทำให้คดีมีความล่าช้า ซึ่งนายตำรวจยศ พล.ต.ท. รายนี้เป็นนายตำรวจที่กำลังมีข่าวอยู่ในขณะนี้ซึ่งส่วนตัวไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้เพราะหน่วยงานที่ทำอยู่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการทะเลาะวิวาทแต่อย่างใดจึงอยากให้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้


พล.ต.ต.อนุวัตร สุวรรณภูมิ ผู้บังคับการอำนวยการกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตัวแทน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ลงมารับหนังสือร้องทุกข์พร้อมระบุว่า ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทางผู้เสียหายโดยจะมีการสั่งการให้พื้นที่ที่ดำเนินการรับแจ้ง ความไว้แล้ว ให้เร่งรัดดำเนินการคดีที่รับผิดชอบให้เร็วที่สุด รวมถึงจะมีการควบคุมดูแลคดีเป็นอย่างดีขอให้ทางผู้เสียหายสบายใจ.

ขอบคุณที่มา ข่าวเดลินิวส์

โพสต์โดย : ปลายน้ำ