Social :



ฉาวโฉ่ไม่มีแผ่ว! ลุงวัย63ร้องโดนตำรวจหลอกวิ่งเต้นคดีลูกชาย สูญ 3 แสนบาท

11 มี.ค. 66 08:03
ฉาวโฉ่ไม่มีแผ่ว! ลุงวัย63ร้องโดนตำรวจหลอกวิ่งเต้นคดีลูกชาย สูญ 3 แสนบาท

ฉาวโฉ่ไม่มีแผ่ว! ลุงวัย63ร้องโดนตำรวจหลอกวิ่งเต้นคดีลูกชาย สูญ 3 แสนบาท

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมพร (สงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี ชาวบ้าน ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง ยื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรมผ่านเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.ตรัง ร้องเรียนไปถึงสำนักนายกรัฐมนตรี โดยผ่าน กอ.รมน.ส่วนหน้า ก่อนนำเอกสารหลักฐานต่างๆ อาทิ แชตสนทนา สลิปโอนเงิน เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว อ้างว่าถูกตำรวจนายหนึ่ง ในพื้นที่ จ.ตรัง ตบทรัพย์โดยเรียกรับเงิน 3 แสนบาท แลกกับวิ่งเต้นคดีไม่ให้ลูกชายติดคุก แต่ปรากฏว่าถึงวันนี้ ลูกชายถูกศาลตัดสินจำคุก 4 ปีครึ่ง และหนำซ้ำภรรยา อายุ 57 ปี ถูกจับกุมฐานสมคบคิด ซึ่งอยู่ระหว่างรอศาลพิจารณาคดีอีกด้วย

โดยเหตุการณ์เริ่มต้นจาก เมื่อวันที่ 15 เม.ย.​ 65 ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองตรัง พร้อมด้วยตำรวจ บก.สส.ภ.9 (สืบสวนภาค 9) ร่วมกันทำการจับกุมลูกชายที่บ้านพักพื้นที่หมู่ 4 ต.น้ำผุด อ.เมืองตรัง จ.ตรัง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดตรัง ฐานความผิดมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง, สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า


โดยนายสมพร ระบุว่า ภายหลังลูกชายถูกจับกุมผ่านไปได้ประมาณ 2-3 วัน ได้มีชายรายหนึ่งเข้ามาหาถึงที่บ้าน พร้อมถามว่ามีคนวิ่งเต้นช่วยเหลือคดีลูกชายแล้วหรือยัง ก่อนชายรายนั้น จะเสนอมาว่ามีตำรวจรายหนึ่งสามารถช่วยเหลือคดีไม่ให้ลูกชายติดคุกได้ ก่อนนัดหมายให้ตนไปพบที่เต็นท์รถมือสองแห่งหนึ่ง ใน อ.เมืองตรัง และพบกับตำรวจนายนั้น โดยพูดเสนอมาว่าให้ตนนำเงิน 5 แสนบาทมาให้เพื่อแลกกับการวิ่งเต้นคดี พร้อมทั้งยืนยันว่า “หากว่าลูกชายลุงติดคุก จะคืนเงินให้กลับทุกบาททุกสตางค์” ก่อนที่ลูกสะใภ้ตนได้พูดตกลงในข้อเสนอ ก่อนนำเงินสด 1 แสนบาท ยื่นให้กับตำรวจนายดังกล่าว เป็นยอดแรก ถัดมาวันที่ 22 เม.ย. 65 ได้โอนเข้าบัญชีตำรวจดังกล่าวอีก 1 แสนบาท ต่อมาวันที่ 7 มิ.ย. 65 ได้โอนเข้าไปให้อีก 1 แสนบาท เป็นยอดที่ 3
MulticollaC
รวมเป็นเงินทั้งหมด 3 แสนบาท

นายสมพร กล่าวต่อว่า แต่ปรากฏว่าในเวลาต่อมา ประมาณเดือน 3-4 เดือน ทางตำรวจได้เข้ามาจับกุมภรรยาตนฐานความผิดสมคบคิด เนื่องจากมีเงินที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดของลูกชายผ่านบัญชีภรรยาตนด้วยประมาณ 5 หมื่นบาท โดยที่ภรรยาตน ไม่ทราบว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และได้ให้การปฏิเสธ ก่อนถูกนำตัวไปฝากขังเพิ่มอีก 1 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสืบพยานครั้งสุดท้าย และอยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดีของศาล ต่อมาหลังจากที่ภรรยาจับกุมปรากฏว่า ในส่วนของคดีลูกชาย ศาลได้สั่งตัดสินจำคุก 4 ปีครึ่ง


หลังจากที่ศาลตัดสินลูกชายจำคุกแล้ว จึงได้ไปบอกกับชายที่เป็นตัวกลางประสานกับตำรวจนายว่า ขอหยุดการจ่ายเงินที่เหลืออีก 2 แสนบาท ที่ยังค้างจ่ายในยอด 5 แสนบาทไปก่อน และขอเงิน 3 แสนบาทที่จ่ายไปคืน เพราะว่าลูกชายถูกศาลตัดสินจำคุก ไม่เป็นไปตามตำรวจอ้าง และเคยพูดว่าหากลูกติดคุก ยินดีให้เงินคืนทุกบาท แต่จนจวบถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อหรือพูดคุยใดๆ จากนายตำรวจและชายคนดังกล่าว เงียบหายไปเลย ซึ่งเงินที่นำไปจ่ายให้ตำรวจได้จากการนำเล่มทะเบียนรถยนต์ไปจำนำได้เงินมา 2 แสนบาท และไปกู้เงินจากธนาคาร ธ.ก.ส. อีก 1.5 แสนบาท เพื่อนำมาจ่าย ส่วนที่เหลือ 5 หมื่นบาท เอามาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินคดี

นายสมพร กล่าวปิดท้ายว่า วันนี้ที่ตนได้ไปเรียกร้องถึงหน่วยงานต่างๆ และสื่อมวลชน เพราะอยากได้เงิน 3 แสนบาทกลับคืน และหากได้เงินกลับคืนแล้ว เรื่องของการตรวจสอบเกี่ยวกับนายตำรวจคนดังกล่าวก็ยังยืนยันให้เป็นไปตามกระบวนการต่อไป และยืนยันว่า มาถึงขั้นนี้แล้วจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมใดๆ แล้ว หากจะมีใครมาพูดคุยก็ขอให้มีคนกลาง เพราะตนรอมาถึง 7-8 เดือนแล้วว่า ให้ตำรวจนายนั้นเอาเงินกลับมาคืนให้ จนถึงตอนนี้ตนมีเงินติดกระเป๋าอยู่แค่เพียง 90 บาท วันนี้ก็ต้องแบกรับหนี้สินและดอกเบี้ยจากการทำอาชีพกรีดยางพารา รายได้วันละไม่เกิน 300 บาท แต่ต้องมาถูกตำรวจหลอกลวงแบบนี้

ขอบคุณที่มา   ข่าวเดลินิวส์

โพสต์โดย : ปลายน้ำ