Social :



แสนล้าน! ‘รองต่อ’ สรุปคดีทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์อินเดียตุ๋นชาวมะกัน

22 มี.ค. 66 15:03
แสนล้าน! ‘รองต่อ’ สรุปคดีทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์อินเดียตุ๋นชาวมะกัน

แสนล้าน! ‘รองต่อ’ สรุปคดีทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์อินเดียตุ๋นชาวมะกัน

กรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผบก.ตม.3 พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.บุญฤทธิ์ ศรีวิจิตร รอง ผบก.ปฏิบัติการพิเศษ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ และยูเอสซีเคร็ท เซอร์วิส สนธิกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษคอมมานโด ตำรวจชลบุรี และ ปปง. เปิดปฏิบัติการทลายรังคอลเซ็นเตอร์ อ้างเอฟบีไอ ตุ๋นเหยื่อมะกันสูญ 3 พันล้าน โดยปิดล้อมตรวจค้น 36 เป้าหมาย หลายจังหวัดทั่วประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ปูพรม 36 จุดใน 4 จว. ทลายรังคอลเซ็นเตอร์ อ้างเอฟบีไอตุ๋นเหยื่อมะกันสูญ 3 พันล้าน 

เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 22 มี.ค. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.,พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท.,พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท. 1, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. นายคริสโตเฟอร์ โรดี้ (Mr.Christopher Rohde) ผู้ช่วยทูต US Secret Service, นายคริสโตเฟอร์ แคนเทล (Mr.Christopher Cantrell) ผู้ช่วยทูตเอฟบีไอ ร่วมกันแถลงสรุปผลปฏิบัติการทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามยุทธการ Shell game ปิดล้อมค้น 36 เป้าหมาย จับกุมได้ 20 ราย ใน จ.ชลบุรี, จ.ระยอง, จ.ร้อยเอ็ด และ จ.สุราษฎร์ธานี


พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากปลายปี 2565 ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการประสานข้อมูลสืบสวนจากตำรวจลับสหรัฐ (US Secret Service),สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา (FBI) และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา กรณีมีกลุ่มองค์กรอาชญากรรมทางไซเบอร์ชาวอินเดียร่วมกับชาวไทย ตั้งตัวเป็นกลุ่มคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงผู้สูงอายุในสหรัฐอมริกา โดยออกอุบายข่มขู่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทำให้เกิดความกลัวโดยให้เหยื่อโอนเงินไปตรวจสอบ รวมทั้งใช้วิธีการส่งไวรัสไปยังคอมพิวเตอร์ของเหยื่อและหลอกให้โอนเงิน ซึ่งในปี 2563-2564 พบสถิติ 72,000 คดี


พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เผยอีกว่า มูลค่าความเสียหายกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงมอบหมายให้ทาง บช.สอท.จัดชุดทำงานสืบสวน ประกอบไปด้วย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชาผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รองผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท. 1, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.คัมภีร์ พรหมสนธิ รอง ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.สุวัฒน์ เกิดแก้ว รอง ผบก.ตอท., พ.ต.ท.ณัฐพล รัตนมงคลศักดิ์ รองผกก.บก.สอท.3, พ.ต.ท.วัชรินทร์ อ่วมฟุ้ง รอง ผกก., พ.ต.ท.วินัย ชมพุฒ,พ.ต.ต.ศุภวัฒน์ ประจิตร สว.กก.บก.สอท.3 ร่วมคลี่คลายคดีภายหลังรัฐบาลสหรัฐได้ส่งคำร้องขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา 365 คดี

Lif

จากการสืบสวนพบว่า ขบวนการมีลักษณะเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายแบ่งหน้าที่กันทำงาน เพื่อยักย้ายถ่ายเทปกปิดซ่อนเร้นทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด โดยใช้ประเทศไทย กัมพูชา สิงคโปร์ มาเลเชีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปรู และโปแลนด์ เป็นแหล่งรับเงินที่ได้จากการหลอกลวง มีมูลค่าความเสียหาย 3 พันล้านบาท ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนสูงวัย มีทั้งอาชีพหมอ อาจารย์มหาวิทยาลัย ทันตแพทย์ ทหารและเจ้าของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่ามีเงินหมุนเวียนในเครือข่ายกว่า 1 พันล้านบาท โดยพบบัญชีธนาคาร นิติบุคคลในเครือข่าย ร้านทองและกิจการร้านอาหาร สถานบันเทิงในพื้นที่ จ.ชลบุรี หลายแห่งที่ใช้ในการฟอกเงินให้กับเครือข่ายขบวนการ โดยใช้ในการโอนรับโอนผลประโยชน์ที่ได้จากการหลอกลวงเหยื่อ ซึ่งพบว่ามียอดเงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาททุกเดือนในแต่ละบัญชี จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา และขอหมายค้นเพื่อทำการตรวจยีดพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการ SHELL GAME โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาเป็นชาวอินเดีย 5 ราย นอกจากนี้มีผู้ต้องหาชาวไทย 15 ราย เป็นหญิง 11 คน ชาย 4 คน พร้อมด้วยของกลาง สมุดบัญชีธนาคาร 162 บัญชี, โทรศัพท์มือถือ 61 เครื่อง, รถยนต์ 2 คัน, อาวุธปืน 1 กระบอก รวมทั้งทรัพย์สินอื่น ๆ อาทิ โฉนดที่ดิน อสังหาริมทรัพย์หลายรายการ


พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ที่ทางเจ้าหน้าที่ US Secret Service ทำหนังสือขอความร่วมมือมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังมีผู้เสียหายเป็นชาวอเมริกันถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก โดยมีการส่งหนังสือให้เจ้าหน้าที่ทางการไทย 2 ครั้ง โดยครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2564 เพื่อขอหลักฐานเอาไปออกหมายจับที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นจะให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน จึงได้ส่งหลักฐานเป็นเส้นทางการเงินและ การตรวจค้นเป้าหมายให้ จนกระทั่งมีการส่งหนังสือฉบับที่สองมาให้เนื่องจากพบว่าเป็นเครือข่ายใหญ่ มีผู้เกี่ยวข้องหลายราย และต้องการให้ดำเนินคดีในประเทศไทย อีกทั้ง จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของชาวอเมริกันพบเกี่ยวพันถึง 41 ราย ความเสียหายจากเงินหมุนเวียนในประเทศไทย 1,000 ล้านบาท ในนี้มีเหยื่อที่เป็นคนไทย 1 คน มูลค่าความเสียหาย 1.8 ล้านบาท


พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับแผนประทุษกรรมในครั้งนี้ จะคล้ายกับแก๊งคลอเซ็นเตอร์ในประเทศไทย คือการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และบอกเหยื่อว่ามีความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน โดยคนร้ายชาวอินเดียที่ถูกจับได้ จะมีการใช้ชื่อคนไทยในการเปิดบัญชีม้า และใช้สำหรับร่วมกันเปิดบริษัท โดยเงินจะผ่านเข้าทั้งในส่วนบุคคลธรรมดา และในนามบริษัท จากนั้นให้คนไทยกดเงินสดออกมาให้ผู้ต้องหาชาวอินเดียรวบรวมไว้ ก่อนที่จะมีเพื่อนชาวอินเดียมารับเงินอีกทอดหนึ่ง ซึ่งตำรวจจะต้องสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม


พล.ต.ท.วรวัฒน์ เผยว่า สำหรับข้อมูลเหยื่อที่คนร้ายได้ไปนั้น มาจากการที่มีคนอเมริกันขายข้อมูลให้คนร้าย และคนต่างชาติที่เข้าไปทำงาน และขโมยข้อมูลออกมาขายให้แก๊งดังกล่าว ซึ่งทราบข้อมูลส่วนตัวนี้มีความละเอียดเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม คนร้ายกลุ่มนี้จะนำเงินที่ได้มาส่วนหนึ่งไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และอีกส่วนหนึ่งส่งกลับไปประเทศของผู้ก่อเหตุเอง


พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวอีกว่า หลังจากที่มีกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการเปิดบัญชีม้า และประชาชนได้เดินทางไปที่ธนาคารเพื่อปิดบัญชี ทาง พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนที่หลงผิด ทั้งการเปิดบัญชีม้า และ ซิมโทรศัพท์ให้ไประงับ รวมถึงปิดบัญชี เพราะผิดตามข้อกฎหมายใหม่ที่มีผลบังคับใช้แล้ว เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”

ขอบคุณที่มา  ข่าวเดลินิวส์

โพสต์โดย : ปลายน้ำ