Social :



ได้เสียงไม่น้อยกว่าเดิม “นฤมล” เชื่อเลือกตั้งกทม.เดือดกว่าปี62 ขอโอกาสให้พปชร.

07 เม.ย. 66 07:04
ได้เสียงไม่น้อยกว่าเดิม “นฤมล” เชื่อเลือกตั้งกทม.เดือดกว่าปี62 ขอโอกาสให้พปชร.

ได้เสียงไม่น้อยกว่าเดิม “นฤมล” เชื่อเลือกตั้งกทม.เดือดกว่าปี62 ขอโอกาสให้พปชร.

“นฤมล” เชื่อสนามเลือกตั้งกทม.แข่งขันเดือดกว่าปี 62 โค้งสุดท้ายเป็นตัวตัดสิน หวังคนกรุง ให้โอกาส พปชร. ได้เสียงไม่น้อยกว่าเดิม
 

 
 

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกและกรรมการบริหาร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงมุมมองการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครว่า ส่วนตัวเองมองว่าหากให้ประเมินล่วงหน้าขณะนี้ความแม่นยำจะน้อย ต้องดูช่วงใกล้ๆ หรือโค้งสุดท้ายของเลือกตั้งว่าแต่ละพรรคจะมีอาวุธลับอะไรออกมา แต่หากถามเป้าหมายของพปชร.พยายามจะรักษาฐานคะแนนเสียงเดิมทีเคยทำไว้ในปี 2562 ที่ได้กว่า 7.9 แสนเสียงและหากเพิ่มได้
ก็คาดหวังจะไปสู่ระดับ 1 ล้านเสียง

 


 

ทั้งนี้ ในปี’ 62 พรรคได้ส.ส.มา 12 ที่นั่ง ก็พยายามรักษาไว้ แต่ยอมรับว่าเมื่อมีการแตกเป็น 2 พรรคไปแล้ว และยังมีผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นอื่นๆ อีก การแข่งขันสูงขึ้นกว่าเดิมในปี 66 นี้ จึงต้องพยายามคัดผู้สมัคร ส.ส.ไปลงพื้นที่แบบเข้มข้น ส่วนตัวมองว่าอะไรก็เป็นไปได้หมด คน กทม.เองมีลักษณะเป็นคนเปิดกว้าง และพร้อมเปิดโอกาสให้กับพรรคและคนที่เสนอตัวทำงาน การกาบัตรให้ไม่ได้ขึ้นอยู่นโยบายเพียงอย่างเดียว แต่เขาเลือกที่แคนดิเดตนายกฯ แล้วก็เลือกพรรคว่ามีจุดยืนอย่างไร ตรงกับ ที่ประชาชนรู้สึกว่าอยากให้ประเทศเดินไปแบบไหนในช่วงนั้นด้วย ถ้าประเมินวันนี้เลยตอบยาก ต้องดูช่วง2-3สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

 

 


สำหรับจุดยืนทางการเมือง พรรคพปชร. ได้ย้ำเสมอในหลายเวทีว่า ไม่ทะเลาะกับใครแน่ๆ ให้มันจบในสภาฯ
Lif
และไม่มีทางที่จะร่วมมือกับผู้ที่ทุจริต คอร์รัปชัน และไม่เห็นด้วยที่จะก่อรัฐประหารอีกครั้งและหากพปชร. ไม่สามารถรวบรวมเสียงสภาล่างได้เกินกึ่งหนึ่งก็จะไม่ฝืน แต่พรรคเองก็ยังคงเดินหน้าต่อไปผ่านคนรุ่นต่อๆ ไปที่จะมารับช่วงต่อในการเป็นสถาบันทางการเมือง

 

ส่วนนโยบายของ พปชร.ที่ชูแคมเปญก้าวข้าวความขัดแย้งนั้น หากมองย้อนไปเป็นจุดยืนเดิมตั้งแต่ปี 62 แล้วเพียงแต่ตอนนั้นช่วง1-2สัปดาห์สุดท้ายหาเสียงได้เกิดแคมเปญ ความสงบ จบที่ลุงตู่ ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนจุดยืนคือไม่ทะเลาะกับใครและไม่อยากให้ประชาชนลงถนนมาทะเลาะกันเอง อยากให้พรรคฯเป็นสถาบันทางการเมือง ที่เดินหน้า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยที่ให้ความเห็นต่างทั้งหลายจบในสภาฯ

 

 

ส่วนนโยบายของ พปชร.ที่ชูแคมเปญก้าวข้าวความขัดแย้งนั้น หากมองย้อนไปเป็นจุดยืนเดิมตั้งแต่ปี 62 แล้วเพียงแต่ตอนนั้นช่วง1-2สัปดาห์สุดท้ายหาเสียงได้เกิดแคมเปญ ความสงบ จบที่ลุงตู่ ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนจุดยืนคือไม่ทะเลาะกับใครและไม่อยากให้ประชาชนลงถนนมาทะเลาะกันเอง อยากให้พรรคฯเป็นสถาบันทางการเมือง ที่เดินหน้า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยที่ให้ความเห็นต่างทั้งหลายจบในสภาฯ



 

 

ส่วนว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่คุยกัน คือ ไม่อยากเห็นการนำเสนอนโยบายมา บลั๊ฟกันแล้วกลายเป็นภาระของคนไทยทั้งหมด การแจกเงินหรือประชานิยมจะทำให้ระยะยาวชาวบ้านเคยตัวและจะไม่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้เลย จะเห็นว่า พปชร. นโยบายไม่ได้มีเม็ดเงินที่จะให้อย่างเดียว เรามองครบทุกมิติแก้ไขที่ต้นเหตุ เช่น กรณีผู้พิการเขาไม่ได้อยากได้เงินอย่างเดียวนะ เขาอยากมีศักดิ์ศรีอยากมีงานทำ แก้ปัญหาต้นเหตุคือให้เขามีงานทำ วิชาชีพไหนที่จะรับเขาได้โดยใช้ธุรกิจเพื่อสังคม (SE) เข้าไปดำเนินการ ให้เขามีงานทำไม่ใช่มาพึ่งเบี้ยยังชีพผู้พิการอย่างเดียว นโยบายที่ดีต้องคำนึงถึงความยั่งยืนและคิดคำนึงถึงภาระการคลังหรือภาษีประชาชนด้วย

 



ขอบขอบคุณข้อมูลจาก:innnews

โพสต์โดย : monnyboy