ข้ายื่นหนังสือ “ศรีสุวรรณ” ชงสอบหมอเอื้อทักษิณนอนรพ.เกิน60วัน
นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดินเข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการแพทยสภา ให้ตรวจสอบแพทย์ รพ.ตำรวจ เอื้อประโยชน์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอนรักษาตัว ที่ รพ.นานเกิน 60 วัน
โดย นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน กล่าวว่า วันนี้ได้นำพยานหลักฐานมายื่นต่อแพทยสภา เนื่องจาก นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดตามคำพิากษามามอบตัวที่เมื่อวันที่ 22 ส.ค. แต่ยังไม่ทันได้จำคุกตามคำพิพากษาก็มีกระบวนการเอื้อประโยชน์หรือช่วยเหลือนายทักษิณ ให้ไปนอน รพ.ตำรวจ เบื้องต้นคือการวินิจฉัยของแพทย์รพ.ราชทัณฑ์ อ้างว่าเครื่องไม้เครื่องมือไม่เพียงพอรักษาอาการป่วยได้ จึงส่งต่อไป รพ.ตร.ซึ่งเป็นประเด็นที่องค์การรักชาติรักแผ่นดินฯอยากให้เแพทยสภาตรวจสอบว่าการวินิจฉัยของแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์นั้นเป็นไปถูกต้องตามหลัก พรบ.วิชาชีพเวชกรรมหรือไม่ สามารถยืนยันและเชื่อถือได้อย่างไรว่าเอกสารการรักษาตัวที่ต่างประเทศเป็นเอกสารที่เป็นของจริงหรือเป็นเอกสารที่ทำขึ้นมาเพื่อตบต่อหรือไม่ เพราะกลับเข้ามารายงานตัวเห็นเอกสารแล้วก็อนุมัติเลย การกระทำดังกล่าวผิดปกติหรือไม่ แต่หลังจากที่ส่งเข้ารพ.ตำรวจ แล้วก็มีข้อพิรุธมากมาย เช่น เมื่อครบ30วัน ก็บอกว่าต้องทำการผ่าตัด แต่ไม่บอกว่าผ่าตัดอะไรบอกเพียงว่าเป็นข้อมูลของผู้เจ็บป่วยต้องรักษาตาม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ ซึ่งก็เข้าใจดีว่ากฎหมายข้อมูลของผู้ป่วยเป็นสิ่งต้องห้าม แต่เมื่อวานมีการเอาตัวนายทักษิณเข้าผ่าตัดโรคเกี่ยวกับกระดูก
แต่ก่อนหน้านั้นอ้างว่าเปิดเผยอะไรไม่ได้ แต่หลังจากมีภาคประชาชนออกมาทักท้วงกลับออกมาบอกว่านายทักษิณต้องผ่าตัดโรคกระดูก แสดงให้เห็นความผิดปกติหลายประการ และก่อนหน้านี้จะครบ 60วัน ตามกฎกระทรวงก็โชว์ภาพนายทักษิณ มีแพทย์และพยาบาลร่วมในเฟรมถือว่ามีส่วนร่วมในการเอื้อประโยชน์ โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่านายทักษิณป่วยจริงเพราะตอนอยู่ต่างประเทศโชว์ว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่พอกลับมาประเทศไทยและเหยียบเท้าเข้า
รพ.ราชทัณฑ์กลายเป็นคนแก่อมโรค เป็นสิ่งที่สังคมไม่เชื่อถือศรัทธา
ดังนั้นกระบวนของแพทย์ที่ร่วมกระบวนการต้องได้รับการตรวจสอบจากแพทยสภาที่เป็นองค์กรวิชาชีพตามกฎหมาย ซึ่งมีคณะอนุกรรมการตรวจสอบจริยธรรมวิชาชีพเวชกรรมต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจังตั้งแต่ รพ.ราชทัณฑ์จนถึงรพ.ตำรวจ ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ หากพบว่าเข้าข่ายก็ต้องดำเนินการตาม พรบ.วิชาชีพเวชกรรม ซึ่งมีบทลงโทษเป็นขั้นเป็นตอนอยู่แล้ว
ทั้งนี้ตนคิดว่าแพทยสภาคงไม่เสี่ยงถูกตนเองฟ้องหากไม่ดำเนินการใดๆเพราะตนเองถือว่ามีส่วนได้เสียและนำเอกสารมายื่นไว้แล้ว หากหน่วยงานรัฐไม่ดำเนินการผู้ร้องก็มีสิทธิ์ฟ้องต่อศาลได้
ด้าน นพ.ต่อพล วัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภากล่าวว่าหลังจากรับเรื่องแล้งจากนี้ก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนคือพิจารณาว่าเข้าข่ายผิดจริยธรรมวิชาชีพหรือไม่ หากพบว่าผิดจริยธรรมวิชาชีพจริงก็จะเข้าสู่คณะอนุกรรมการพิจารณา ซึ่งจะมีบทลงโทษตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์พักใช้ใบอนุญาตเป็นโทษตาม พรบ.วิชาชีพเวชกรรม
ขอบขอบคุณข้อมูลจาก:innnews
โพสต์โดย : monnyboy