Social :



ใจไม่ถึงอย่าอ่าน!! 10 ตำนานเรื่องเล่าสยองขวัญที่เกิดขึ้นจริงในเอเชีย ของไทยติดอันดับ 1 เชียวล่ะ

21 ต.ค. 59 22:10
ใจไม่ถึงอย่าอ่าน!! 10 ตำนานเรื่องเล่าสยองขวัญที่เกิดขึ้นจริงในเอเชีย ของไทยติดอันดับ 1 เชียวล่ะ

ใจไม่ถึงอย่าอ่าน!! 10 ตำนานเรื่องเล่าสยองขวัญที่เกิดขึ้นจริงในเอเชีย ของไทยติดอันดับ 1 เชียวล่ะ

ตำนานเรื่องเล่า เกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์ลี้ลับต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ในบ้านเราเพียงประเทศเดียวเท่านั้น หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียก็มีเรื่องชวนขนลุกมาเล่าให้ฟังเช่นกัน และนี่คือ 10 ตำนานสุดสยองขวัญที่ทุกคนเตรียมผวาได้เลย จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยจ้า


1. แม่นาคพระโขนง ของประเทศไทย

แม่ นาคพระโขนงถือว่าเป็นผีที่ดังที่สุดในประเทศไทย ตามตำนานเล่าว่าเกิดขึ้นในสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (1851-1868) โดยเป็นเรื่องของหญิงสาวสวยที่ชื่อว่า “นาค” ที่อาศัยกับสามีของชื่อ “มาก” ในพระโขนง หากแต่ความรักของทั้งคู่ไม่ได้ยั่งยืน เมื่อชะตากรรมของมากถูกเรียกตัวเข้ากองทัพเพื่อทำสงคราม ทำให้เขาต้องจากภรรยาในขณะที่เธอตั้งท้อง และต่อมานางนาคก็ประสบภาวะแทรกซ้อนขณะกำเนิดบุตร แม้ว่านางนาคจะตายในขณะคลอดทำให้เธอเสียชีวิตพร้อมกับบุตร แต่เนื่องจากความรักที่นาคมีให้กับสามีของเธอทำให้เธอไม่สู่ปรภพ จนกลายเป็นผีอยู่ในบ้านรอการกลับมาของนายมากอยู่ทุกวัน

เมื่อ มากกลับมาบ้าน เขาก็พบนางนาคและลูกมาต้อนรับเขา โดยที่มากไม่รู้ว่านาคและลูกตายแล้ว ซึ่งนางนาคไม่อยากให้สามีของตนรู้เรื่องนี้ เธอจึงจัดการฆ่าทุกคนที่พยายามเตือนสามีของเธอว่าเขาอยู่กินกับผี จนกลายเป็นที่หวาดกลัวต่อชาวบ้าน

แต่อย่างไร ก็ตาม ความลับก็เก็บไว้ไม่ได้นาน วันหนึ่งขณะนาคกำลังเตรียมอาหารกลางวันแก่สามี เธอตั้งใจจะเก็บมะนาวที่ตกลงข้างล่างระเบียงบ้าน ด้วยความขี้เกียจลงไปเก็บ เธอเลยยืดมือยาวลงไปจับลูกมะนาว และพอดีเวลานั้นนายมากมาเห็นเข้าพอดี ทำให้เขารู้ว่านาคเป็นผี เขาเลยวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ขณะที่นางนาคไล่ตามหลังเขา

นางนาคเมื่อเห็น สามีหนี เธอเลยโศกเศร้า และกลายเป็นความโกรธแค้น เธออาละวาดฆ่าชาวบ้าน จนชาวบ้านทนไม่ไหวจึงจ้างหมอผี มาปราบโดยการจับวิญญาณลงในโถดินแล้วโยนมันลงในคลอง

เรื่อง ราวไม่จบ หลายปีต่อมามีคนตกปลาเห็นโถดินเผาจมในคลอง และพยายามเปิดออก และนั้นเองทำให้นางนาคออกมาอาละวาดอีกครั้ง แต่เธอก็สิ้นฤทธิ์เมื่อสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี

ได้ สะกดวิญญาณในกระดูกหน้าผากของเธอและทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอวเอาไว้ และมอบให้เชื้อพระวงศ์เพื่อแน่ใจว่าแม่นาคจะไม่ถูกปลดปล่อยอีก ซึ่งในเวลาต่อมากระดูกหน้าผากนี้ก็ได้หายไป เหลือไว้เพียงแค่ตำนานเท่านั้น

ใน ปัจจุบันยังคงมีศาลแม่นาคพระโขนง มีตั้งอยู่ที่วัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร และมีความเชื่อว่าใครได้บนช่วยไม่ให้ติดทหาร ก็จะเป็นไปตามนั้น ซึ่งมีชาวบ้านถวายเสื้อไทยแก่แม่นาคอยู่เสมอ


3. โทมิโนะ ของประเทศญี่ปุ่น

เป็น ตำนานเมืองญี่ปุ่น ที่เป็นบทกวี ที่ว่ากันว่าใครที่อ่านออกเสียงหรือท่องออกมาดังๆ ตั้งแต่ต้นจนจบจะรู้สึกเกิดอาการป่วย หรือทำร้ายตนเอง หรือประสบอุบัติเหตุ และที่เลวร้ายที่สุดคือตาย ที่มาของบทกวีนี้แต่งโดยโยโมตะ อินุฮิโกะที่แต่งเล่าเรื่องราวของโทมิโนะ ที่ตายเพราะโดดเดี่ยวและตกนรก นรกที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน และความโดดเดี่ยว มีข่าวลือจากคอมเม้นในยูทูปว่ามีชายคนหนึ่งอ่านออกเสียงบทกวีโทมิโนะ ปรากฏว่าเวลาต่อมาเขาอุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และนั้นทำให้เขาเชื่อว่าบทกวีโทมิโนะนั้นมีคำสาป


4. คดีฆาตกรรมฮัลโล คิตตี้ ของฮ่องกง

Hello Kitty murder หรือ 'คิตตี้สังหาร' เป็นคดีฆาตกรรมที่โด่งดังในฮ่องกง โดยคดีนี้เกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อหญิงสาวชื่อ ฟาน มัน ยี (อายุ 23 ปี) ถูกลักพาตัวโดยกลุ่มชาย 3 คน คือ ชาน มัน ลก (อายุ 34 ปี), เหลียง ชิง โช (อายุ 27 ปี) และ เหลียง ไหว หลัน (อายุ 21 ปี) โดยทั้งหมดมีอาชีพเป็นแมงดา และสาเหตุที่พวกเขาพาเธอไปยังอพาร์ทเมนต์ในแกรนวิล โลด เกิดมาจากเธอไม่สามารถใช้หนี้ได้ตามกำหนด และพาเธอไปทรมานในอพาร์ทเมนต์ในซึม ชา ซุย

เธอ ถูกทั้งสามกักขังและทำร้ายร่างกายทุกวันด้วยการตีหัวจนเลือดออก หนำซ้ำยังช่วยกันเตะตามลำตัว แล้วเอาน้ำมันและพริกมาราดบาดแผลและปากของเธอ จากนั้นก็บังคับให้เธอดื่มและกินปัสสาวะและอุจจาระ บางก็นำเอาพลาสติกที่ละลายด้วยความร้อนไปละเลงที่ตัวอันเปล่าเปลือยของเธอ เมื่อเหยื่อเธอหมดสติก็ผูกกับขื่อนานหลายชั่วโมง จากนั้นก็เฆี่ยนเธอ เอาไฟเผาเท้าเธอ สุดท้ายเธอก็ขาดใจตายจากการทรมานมานานถึงหนึ่งเดือน

และ หลังการตายของเธอ ผู้ชายพวกนั้นกำจัดศพเธอโดยชำแหละร่างกายของเธอออกเป็นท่อนๆ นำมาลวกให้สุก ก่อนจะถูกนำไปทิ้งในที่ต่าง แล้วจึงตัดหัวเธอออก นำตุ๊กตาคิตตี้ที่เอาผ้าฝ้ายออกแล้วยัดกระโหลกศีรษะของเธอเข้าไปแทน จึงกลายเป็นชื่อที่มาของคดี “คิตตี้สังหาร”

หลัง จากผ่านไปสองเดือนแฟนสาวของหนึ่งในสามของฆาตกรที่ฆ่าหญิงผู้ตาย ได้กลายเป็นโรคประสาท โดยบอกว่าเธอถูกผีผู้ตายเข้าสิงเธอทำให้เธอฝันร้ายตลอดคืน หลังจากเธอพูดคุยกับนักสังคมสงเคราะห์ และก็ได้แจ้งความในวันที่ 24 พฤษภาคม พร้อมทั้งได้เล่าความจริงทั้งหมดให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ


5. ริงโอรัง ของประเทศมาเลเซีย

ประเทศ มาเลเซีย มีตำนานเมืองที่ดูแล้วประหลาดเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงลิงโอรัง หรือ มนุษย์น้ำมัน ตำนานนี้เป็นที่นิยมเมื่อปี 1956 ช่วงนั้นมีการฉายภาพยนตร์ “Sumpah Orang Minyak” (คำสาปของมนุษย์น้ำมัน) ตัวละครพี รามลี (P. Ramlee) ในท้องเรื่อง เป็นผู้ต้องสาปจากการที่ต้องการสมหวังในรักด้วยเวทย์มนต์ สิ่งชั่วร้ายได้มอบพลังแก่เขา สุดท้ายเขาก็กลายเป็นผู้ใช้ไสยดำ และทำการข่มขืนหญิงพรหมจารีย์ร่วม 40 คน

หลัง จากภาพยนตร์ออกฉาย ก็เกิดตำนานเล่าขานว่ามีการพบเห็นมนุษย์เปลือยกาย ที่เนื้อตัวปกคุลมด้วยน้ำมันสีดำออกมา ที่แปลกคือมันไม่กระหายเลือดฆ่าคน หากแต่พวกมันมักทำร้ายและข่มขืนหญิงสาวและขโมยของมีค่า ในเวลากลางคืน จนเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้าน ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นแก๊งข่มขืนที่เชื่อว่าการทาตัวด้วยน้ำมันและทองอาคม จะสามารถรอดพ้นต่อการถูกจับ

อย่างไรก็ตาม รายงานการพบริงโอรังก็เริ่มมีน้อยลดลงเรื่อยๆ จนเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ ปี แต่เมื่อเร็วๆ นี้ในปี 2012
Lif
มีเหตุการณ์ริงโอรังออกอาละวาดในสองหมู่บ้านตลอดสามสัปดาห์


6. มาเรีย ลาโป ของประเทศฟิลิปปินส์

ตำนาน เรื่องเล่าเกี่ยวกับลาโบนั้น ว่ากันว่าเธอเป็นปีศาจกินคนในเกาะวิซายา ที่ออกหลอกหลอนคนในหมู่บ้านนานถึง 5 ปี เพราะคำสาปของชายชรา ให้เธอกลายเป็นอัสวัง (Aswang สิ่งเหนือธรรมชาติในฟิลิปปินส์ เป็นพวก ผีดูดเลือด, ผีปอบ, ยักษ์กินคน ครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือหมอผี)

ใน สมัยที่มาเรีย ลาโบยังเป็นคนนั้นเธอมีลูกสองคน และมีสามีเป็นตำรวจ แต่รายได้สามีของเธอนั้นน้อยไม่พอเลี้ยงครอบครัว เธอเลยต้องออกไปทำงานเสริมเป็นผู้ดูแลคนชราในเมือง และได้ดูแลชายชราคนหนึ่งโดยไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอัสวัง และอัสวังไม่สามารถตายได้ถ้าเขาไม่ทิ้งมรดกสาปแช่งให้ทายาทเป็นอัสวังต่อไป และนั้นเองทำให้เขาสาปมาเรีย

หลายเดือนหลัง จากชายชราคนนั้นเสียชีวิต มาเรียกตกงาน แต่เธอก็หวังมีชีวิตที่ดีขึ้น เธอเลยเดินทางไปยังแคนาดาในฐานะแรงงาน หลังจากนั้นสองสามปีเธอก็กลับมา และทันใดนั้นคำสาปก็ได้เกิดขึ้น เธอกลายคนกระหายเนื้อมนุษย์

วัน หนึ่งสามีของเธอกลับบ้าน และพบว่าบ้านของเขาเงียบผิดปกติอย่างน่าประหลาด เขาเดินเข้าไปในห้องครัว เห็นมาเรียปรุงอาหารมื้อค่ำ เขาถามว่าลูกๆอยู่ไหน มาเรียได้เพียงแค่ชี้ไปที่หม้อใบใหญ่บนเตา เมื่อสามีเปิดฝาหม้อดูก็พบลูกทั้งสองคนถูกสับและปรุงรสเคี่ยวในน้ำซุปอาหาร มื้อเย็น

ทำให้สามีของมาเรียที่เห็นภาพอันน่าสยดสยองนั้น บันดาลโทสะคว้ามืดขนาดใหญ่ฟันใส่ใบหน้าของมาเรียเป็นแผลขนาดใหญ่ และไล่เธอออกจากบ้าน

หลัง จากนั้น ช่วงต้นปี 2000 ตำนานเมืองก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อมีคนพบเห็นมาเรียในวิซายา และมินดาเนา ซึ่งเธอพยายามหาเนื้อและเครื่องในมนุษย์เพื่อประทังความหิว โดยทั่วไปเธอสามารถเปลี่ยนร่างเป็นอะไรก็ได้ เธออาจกลายเป็นสาวสวย หรือหญิงชรา หรือได้ยินได้เสียงคำรามของสัตว์

7. ทางหลวงคารัค ของประเทศมาเลเซีย

ทาง หลวงคารัค เป็นถนนทางภาคใต้ของรัฐปะหัง ของประเทศมาเลเซีย ถูกสร้างขึ้นในปี 1970 เพื่อตัดผ่านภูเขาติติวังซา เชื่อต่อทางทิศตะวันตกและตะวันออกของประเทศ และเป็นทางหลวงที่เกิดอุบัติเหตุน่ากลัวนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นตำนานเมืองว่าเป็นพื้นที่น่ากลัวสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์โดยเฉพาะรถ ยนต์

เล่ากันว่าทางหลวงถูกสร้างขึ้นทับสุสาน เก่าแก่ หรือที่ดินที่ถูกผีสิง จนเป็นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง พร้อมกับประสบการณ์ที่น่าขนลุกมากมาย เป็นต้นว่ารถสีเหลืองที่ขับอย่างช้าๆ ชิดเลนขวาและเปิดไฟท้ายให้แซง และเมื่อรถแซงก็เหลือบมาเห็นมารถสีเหลืองไม่มีคนขับอยู่เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ยังมีตำนานผีมากมาย เป็นต้นว่าผู้โดยสารที่เพิ่มเข้ามา เด็กน้อยที่เห็นยืนอยู่ข้างถนนกำลังมองหาอะไรบางอย่างและเมื่อเด็กเห็นรถ มันจะวิ่งตามมาด้วยความเร็วสูง และเมื่อมันวิ่งตามทัน มันจะถามคนขับรถว่า  “คุณอาจเห็นแม่ของผม” เชื่อว่าผีเด็กนั้นเป็นลูกที่เสียชีวิตพร้อมกับแม่ของเขาในอุบัติเหตุทาง หลวง

กล่าวกันว่าทุกวันนี้เด็กคนนั้นก็ยังคงตามหาแม่ของเขาอยู่ ไม่ได้หายไปไหนแต่อย่างใด



8. น้ำเกรวี่สะเต๊ะ ของประเทศสิงคโปร์

สิงค์ โปร์อาจเป็นประเทศเล็กๆ แต่มันก็มีตำนานเมืองที่น่าสนใจอยู่เยอะเช่นกัน หนึ่งในตำนานเมืองที่ดังก็คือ “มีอะไรอยู่ในน้ำเกรวี่สะเต๊ะ”รวมอยู่ด้วย

สะเต๊ะ เป็นอาหารที่ชาวสิงค์โปร์ชื่นชอบมาก และสถานที่ในตำนานที่พวกเขาต้องนึกถึงเมื่ออยากทานสะเต๊ะก็คือคลับเก่าเอส พลานาด ที่นั่นเต็มไปด้วยแผงลอยสะเต๊ะหลายแบบถนนริมชายหาดหลายแบบให้เลือกชิม ซึ่งเป็นที่นิยมของนักชิมในยามคำคืนในช่วงปี 1970-1980 แต่อย่างไรก็ตาม มีข่าวเล่าลือว่าแผงลอยสะเต๊ะบางเจ้าอยากให้ลูกค้าติดใจกลับมาเป็นลูกค้าของ ตนเอง พวกเขาเลยใส่ส่วนผสมพิเศษลงในน้ำเกรวี่ ว่ากันเป็นพิธีกรรมมนต์ดำ นั้นคือใส่ “ชุดชั้นในที่ใส่แล้ว” และ “ผ้าอนามัย” ที่ใช้แล้วลงไป ทำให้สะเต๊ะมีรสชาติดีกว่าที่อื่นๆ

ไม่ว่า เรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงก็ตาม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พบว่าแผงลอยหลายร้านไม่ถูกสุขอนามัน ในที่สุดก็ถูกปิดกิจการ และให้ย้ายไปขายที่อื่นแทน ทุกวันนี้สะเต๊ะยังคงเป็นอาหารที่ชื่นชอบของชาวสิงค์โปร์ และส่วนผสมเกรวี่พิเศษก็ยังคงลึกลับต่อไป


9. เครื่องสำอาง ของประเทศเกาหลีใต้

ที่ เกาหลีใต้มีเรื่องเล่ากันว่า มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งค่อนข้างห่วงรูปลักษณ์ของเธอมาก อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นหาเคล็ดลับความงามตลอดเวลา จนวันหนึ่งเธอได้ยินวิธีการรักษาความงามแบบใหม่ จากคนใกล้ชิดว่าหากผสมงาในน้ำแล้วลงไปแช่สองสามชั่วโมงจะทำให้ผิวมันเรียบ และอ่อนนุ่ม

หญิงสาวได้ยินก็รีบกลับบ้านแล้ว ทำตามทันที โดยลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำผสมน้ำมันงา หากแต่เธอลงแช่นานหลายชั่วโมง ไม่ยอมออกจากห้องน้ำ จนแม่ของเธอเริ่มรู้สึกกังวล แต่ทุกครั้งที่แม่ของเธอถาม ก็มักได้คำตอบกลับมาว่า รอสักครู่

ในที่สุด แม่ทนไม่ไหว จึงบังคับให้ลูกสาวตนเองเปิดประตูห้องน้ำ หากแต่เมื่อห้องเปิดออก เธอก็ตกใจในสิ่งที่เห็น ลูกสาวของเธออยู่ในสภาพที่น่าขนหัวลุก เมล็ดงาจำนวนมากได้แทรกเข้าไปในระหว่างรูขมขนในชั้นผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย ของเธอ ผลคือหญิงสาวคนนั้นได้กลายเป็นบ้า และต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยการพยายามเอาเมล็ดงาออกจากรูขุมขนด้วยไม้จิ้ม ฟัน

10 . สาวงามแห่งสะพานอัลคอน ของประเทศอินโดนีเซีย

ตำนาน ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 1800 มีเรื่องเล่ากันว่า หญิงสาวชื่อ มัรยัม เป็นสาวใช้ของพ่อค้าชราที่ร่ำรวย  เมื่อเธออายุได้ 16 ปี ความงามของเธอทำให้พ่อค้าหลงรัก และอยากให้เธอเป็นเมียน้อยของเขา แต่เธอไม่ได้รักพ่อค้า จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านแทน

ใน ขณะที่มัธยัมกำลังหาที่อยู่ใหม่ เธอถูกกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาหยอกล้อ และขอเป็นแฟน แต่เธอตอบปฏิเสธไป ทำให้พวกมันโกรธและใช้กำลังข่มขืนและทำร้ายเธอจนเสียชีวิต ก่อนจะนำศพมาทิ้งที่ทุ่งนาใกล้สะพานอัลคอน ทำให้กลายเป็นวิญญาณอาฆาตคอยทำให้เกิดอุบัติเหตุบนถนนดังกล่าว โดยเฉพาะกับผู้ขับขี่รถที่เป็นผู้ชาย

โพสต์โดย : fork3026