วัดตูม ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพระ-นครศรีอยุธยา ริมถนนสายประตูชัย- แยกป่าโมก ทางทิศเหนือของเกาะเมือง ริมคลองวัดตูม ถนนอยุธยา-อ่างทอง ห่างจากตัวเมืองอยุธยา ประมาณ 6-7 กิโลเมตร เลยทุ่งลุมพลีไปหน่อยเดียว ในท้องที่ตำบลวัดตูม มีเนื้อที่วิสุงคามสีมาประมาณ 15 ไร่เศษ เป็นวัดหนึ่งในหลายวัดของอยุธยา ที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยใด ได้แต่สันนิษ-ฐานกันว่า น่าจะเป็นวัดที่สร้างมาตั้งแต่สมัยเมืองอโยธยา ก่อนที่จะตั้งกรุงศรี-อยุธยา วัดนี้เคยร้างมาครั้งหนึ่งนานนับสิบๆ ปี ช่วงสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2310
พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้ ผู้รั้งเมืองร่วมกับประชาชนปฏิสังขรณ์ วัดตูมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และโปรดให้มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษามาจนถึงปัจจุบัน
วัดตูม มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือเป็น วัดที่มีอายุมานาน ไม่น้อยกว่า 1,000 ปี และเป็น สถานที่สำหรับลงเครื่องพิชัยสงคราม มีพระ-พุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ชื่อ หลวงพ่อสุข ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะพิเศษคือ พระเศียร ตอนเหนือพระนลาฏ(หน้าผาก) เปิดออกได้ และพระเกศมาลาถอดออกได้ ภายในพระเศียรเป็นบ่อกว้างลึกลงไปเกือบถึง พระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลาเหมือนหยาดเหงื่อ แต่เป็นน้ำใส เย็นชุ่ม บริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน และสามารถดื่มกินได้โดยปราศจากอันตราย ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาโรคทุกอย่างได้
วัด ตูม เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทางการทหาร ด้วยในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จ-พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้าง ธงพระกระบี่ธุชซึ่งเป็นธงประจำตำแหน่ง จอมทัพ โดยโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระ-บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศ-รานุวัดติวงศ์ จัดทำขึ้น โดยมีพระครูธรรมเสมาจารย์ (พระวิสุทธาจารย์เถร-เลื่อง) รองเจ้าคณะเมืองกรุงเก่าแห่งวัดประดู่ทรงธรรม พระนครศรีอยุธยา ได้ทำพิธีลงยันต์และอักขระที่วัดตูมนี้
ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาท-สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาถวายผ้าพระกฐินที่วัดนี้อยู่ หลายครั้ง จึงถือเป็นวัดหลวงมาแต่สมัยรัชกาลนี้ ภายในวัดนั้นจะมีสระน้ำสำคัญอยู่ข้างพระอุโบสถ ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดฯให้นำน้ำในสระนี้ไปใช้ในพิธีลงเครื่องพิชัย-สงคราม ชุบพระแสง
มี บันทึกไว้ในหนังสือพระราช- หัตถเลขา เรื่อง เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า เมื่อปี พ.ศ. 2451 ในรัชกาล ที่ 5 ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก 127 มีเรื่องราวเกี่ยวกับวัดตูมปรากฏว่า
“...วัดตูม นี้ ลานวัดมีต้นไม้ร่มชิด เป็นวัดอย่างสมถะแท้ พระอุโบสถใหญ่ แต่มีหน้าต่างข้างละช่อง จั่นหับหน้าหลัง หน้าบันเทพนมก้านขดโตๆ ปั้นลมเป็นรูปตุ๊กตา... แต่พระเจดีย์เป็น 2 องค์ องค์หนึ่งตรงหลังโบสถ์ องค์หนึ่งไม่ตรงพระพุทธรูปในนั้นมีแถวหน้า 3 แถว แถวหน้ามีพระทรงเครื่องที่มีน้ำในพระ-เศียรองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งว่าเชิญลงไปวัดเบญจมบพิตร แท่นว่างจะให้หาพระขึ้นมาตั้งเปลี่ยน พระ 3 องค์แถวใน ปิดทองแต่เฉพาะที่พระองค์ ผ้าทาชาด...”
สภาพของวัดตูมยุค 50 ปีล่วงมาแล้วครั้ง หลวงปู่ถนอม เป็นเจ้าอาวาส สภาพพื้นที่วัดยังมีความรกร้างอยู่มาก และด้วยเหตุที่เป็นวัดเก่าโบราณอายุ นับพันปีมาก่อน จึงมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่จนรกทึบ แลดูน่ากลัว แม้ในเวลากลางวันก็ยังหาสิ่งที่มีชีวิตผ่านไปได้ยาก ยิ่งตกเวลาเย็นค่ำด้วยแล้ว จะหาผู้คน เดินผ่านวัดไปมาสักคนยังยาก แม้กระทั่งพระในวัดที่มีจำพรรษาอยู่ไม่เกิน 5 องค์ ค่ำลงก็เข้ากุฏิ ไม่ยอมโผล่ออกมาจนกว่า จะเช้าออกมาบิณฑบาต
ด้วยความรกทึบของต้นไม้ ใหญ่ ในบริเวณวัดที่มีทั้งต้นรัง ต้นโพ ต้นไทร ต้นกร่างต้นไม้เต็ง ไม้รัง ฯลฯ นานาชนิด จึงเกิดคำร่ำลือกันว่า วัดตูมนี้ผีดุ ขนาดที่กลางวันยังกล้าออกมาหลอกผู้คน