การทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำนับเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผิวของคุณสาวๆ สวยสุขภาพดีแม้ยังไม่แต่งหน้า และผิวที่ดียังช่วยให้เมคอัพติดทนนานอีกด้วย รู้แบบนี้แล้วรีบบำรุงผิวด่วนๆ เลยค่ะ แต่ว่าเอ๊ะ ! ทำไมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในท้องตลาดถึงได้เยอะจัง ไม่ต้อง งง เพราะทั้งหมดก็คือ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่นกับผิวนั้นเองแต่อาจมีรูปแบบ เนื้อสัมผัส ความเข้มข้น ฯลฯ ที่แตกต่างกัน สุดแล้วแต่ผู้ผลิตจะคิดค้นกันออกมา เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลย Let’s go
1) Toner/ Essence
โทนเนอร์และเอสเซนต์ สองตัวนี้ สาวๆ หลายคนมักสับสนว่ามันต่างกันตรงไหน เพราะทั้งคู่มักมาในรูปแบบ ‘ ของเหลว ’ เหมือนกัน และมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลผิวคล้ายกัน บางยี่ห้อก็เคลมว่าใช้แทนกันได้เลย เอ๊ะ ยังไง งง ?
Toner: โทนเนอร์
โทนเนอร์คือตัวช่วยปรับสมดุลผิว เช่น ความชุ่มชื่น ค่า pH ฯลฯ ทำให้ครีมซึมซาบลงสู่ผิวง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างจากการล้างหน้า มีทั้งเนื้อเหลวและเนื้อแบบหนืดๆ
เนื้อสัมผัส : บางเบามาก / ลำดับการใช้ : หลังล้างหน้า / เหมาะกับ : ทุกสภาพผิว
Essence: เอสเซนส์
เอสเซนส์ลักษณะจะคล้ายกันโทนเนอร์ แต่เน้นการบำรุงที่ล้ำลึกเข้าไปถึงชั้นผิวเพื่อฟื้นฟูให้ผิวสุขภาพดีออกมากจากภายใน มักเป็น Water-Base ทำให้เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่เหนอะหนะ เหมาะอย่างมากกับผู้ที่แพ้สารตระกูล
เนื้อสัมผัส : บางเบามาก / ลำดับการใช้ : หลังโทนเนอร์หรือใช้แทนโทนเนอร์ / เหมาะกับ : ทุกสภาพผิว
2) Serum/ Ampoule
เป็นอีกคู่หนึ่งที่หลายคนสงสัยว่ามันต่างกันอย่างไร จริงๆ สองตัวนี้แทบจะไม่ต่างกันเลย แนะนำให้เลือกใช้เพียงตัวใดตัวหนึ่งก็ได้ เอาตามสภาพผิวของเราดีกว่า
Serum: เซรั่ม
เซรั่มมักมีเนื้อสัมผัสหลากหลาย เช่น น้ำ , น้ำมัน หรือเจลใส เน้นให้ซึมซาบเร็ว แต่เห็นนางใสๆ แบบเนี้ยสารบำรุงอัดแน่นนะจ๊ะ เพราะเซรั่มถูกออกแบบมาเพื่อการดูแลปัญหาผิวแบบเฉพาะเจาะจง เช่น
เนื้อสัมผัส : บางเบา / ลำดับการใช้ : หลังโทนเนอร์หรือหลังเอสเซนส์ / เหมาะกับ : ทุกสภาพผิว ผิวมัน
Ampoule: แอมเพิล
แอมเพิลก็คือเซรั่มนั่นแล่ะคู๊ณ มักมาในรูปแบบขวดแก้ว และอัดสารบำรุงให้เข้มข้นเข้าไปอีกกก ว่าง่ายๆ ก็คือเข้มข้นมากกว่าเซรั่ม ! ทั้งยังมีเนื้อสัมผัสบางเบาที่สุด และซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็วที่สุด นี้คือเหตุผลว่าทำไมแอมเพิลถึงราคาแรง !
เนื้อสัมผัส : บางเบา / ลำดับการใช้ : หลังโทนเนอร์ / เหมาะกับ : ทุกสภาพผิว
3) Emulsion/ Lotion/ Cream
ทั้งสามตัวนี้เป็นตัวบำรุงที่ช่วยเคลือบผิวชั้นนอกด้วย คือช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื่นในผิวนั่นเอง แตกต่างกันก็คือความเข้มข้นของน้ำมัน ควรเลือกใช้ให้ถูกต้องตามสภาพผิว สภาพอากาศ และปัจจัยอื่นๆ เช่น เป็นคนผิวมันควรใช้อีมัลชั่นแต่พออากาศหนาวขึ้นเกิดผิวแห้งลอกอันนี้ก็ควรเปลี่ยนมาใช้โลชั่น หรือถ้ายังชุ่มชื่นไม่พอก็ใช้ครีม เป็นต้น
Emulsion: อีมัลชั่น
เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ค่อนข้างบางเบา เนื้อคล้ายกับโลชั่นผสมเจล คือไม่เหลวและไม่ข้นจนเกินไป มีคุณสมบัติช่วยบำรุงและเคลือบผิวชั้นนอกให้ชุ่มชื่น สำหรับผู้ที่มีผิวผสมและผิวมันอีมัลชั่นนี่แล่ะคือคำตอบของคุณ !
เนื้อสัมผัส : เข้มข้น / ลำดับการใช้ : หลังเซรั่ม / เหมาะกับ : ผิวผสมและผิวมัน
Lotion: โลชั่น
โลชั่นมีคุณสมบัติคล้ายอีมัลชั่น ตรงที่โลชั่นมีส่วนผสมที่เป็นน้ำมันมากกว่า จึงช่วยเติมความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้ดีกว่า นอกจากนี้ส่วนผสมจากน้ำมันยังช่วยเคลือบบนผิวชั้นนอก ลดการสูญเสียน้ำน้อยลง เหมาะกับผู้ที่มีผิวธรรมดาหรือผิวผสม
เนื้อสัมผัส : เข้มข้นปานกลาง / ลำดับการใช้ : หลังอีมัลชั่น / เหมาะกับ : ผิวธรรมดาหรือผิวผสม
Cream: ครีม
ขึ้นชื่อว่า ‘ ครีม ’ ขอให้ทุกคนเดาไว้ก่อนเลยว่าเนื้อเขาต้องเข้มข้น ! เพราะครีมมีส่วนผสมจากน้ำมันเยอะที่สุด อุดมไปด้วยสารบำรุงที่เข้มข้นและความชุ่มชื่นเต็มพิกัด มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวชั้นนอกชุ่มชื่นอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งหรือเอาไว้ใช้เวลาที่อากาศหนาวๆ เพราะน้ำมันในครีมช่วยเคลือบผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำได้ดี
เนื้อสัมผัส : เข้มข้นมาก / ลำดับการใช้ : ขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุง / เหมาะกับ : ผิวแห้งถึงแห้งมาก
ขอบคุณข้อมูล : Karmart