มนุษย์เป็นผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าโลภมาก หาหนทางให้ได้มาซึ่งความต้องการของตน ด้วยการโกงบ้าง ทางลัดต่างๆ นานาแม้กระทั้งยอมขายวิญญาณของตัวเอง วันนี้เรานำเสนอบุคคลที่ทำสัญญากับเหล่าปีศาจมาดูกันว่าจุดจบของบุคคลเหล่านี้เป็นอย่างไร
10. สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 (Pope Sylvester II)
สมเด็จพระสันตะปาปา ซิลเวสเตอร์ที่ 2 (ราว ค.ศ.945 – 1003) เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความรู้กว้างขวาง มีความหลงใหลวิทยาศาสตร์ของโลกอาหรับ รอบรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ และท่านยังเป็นผู้ประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้ม ลูกโลกดารา (armillary sphere) และยังนำเลขอารบิกไปเผยแพร่ในยุโรปตะวันตก นอกจากนี้ท่านยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ดนตรี เทววิทยา และปรัชญา หลังจากการตายของท่านก็เริ่มมีข่าวลือแพร่กระจายว่า ท่านเป็นนักเวทมนต์ อีกทั้งเบื้องหลังอัจฉริยบุคคลและความสามารถในการประดิษฐ์ของท่านเป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากการทำข้อตกลงกับปีศาจ บางตำนานเล่าว่าท่านได้ทำสัญญากับปีศาจหญิงสาวที่ชื่อลาเมอริเดียนา (Meridiana) ที่ช่วยเหลือท่านให้ขึ้นครองบัลลังก์ของสมเด็จพระสันตะปาปา (อีกตำนานบอกว่าท่านได้รับเลือกเป็นสันตะปาปาจากการเล่นลูกเต๋ากับปีศาจ)
9. นิคโคโล ปากานินี (Nicolo Paganini)
นิคโคโล ปากานินี (ค.ศ.1782 - 1840) เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพรสวรรค์ไวโอลินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก ในช่วงที่เขามีชีวิต เขาสามารถเล่นแมนโดลินเมื่ออายุเพียง 5 ปี และเริ่มเล่นไวโอลินเมื่ออายุ 7 ปี ต่อมาก็เริ่มเล่นต่อหน้าสาธารณชนในขณะอายุ 12 ปีและเป็นที่รู้จักในฐานะนักไวโอลินวิโอลา แต่เมื่ออายุ 16 เขามีอาการเจ็บป่วยและโรคพิษสุราเรื้อรัง ก่อนที่จะกลับมาเล่นอีกครั้งจนมีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายไปทั่ว ด้วยเทคนิควิธีการเล่นไวโอลินแบบแปลกๆ ชนิดที่เรียกว่าไม่มีนักไวโอลินคนไหนเหนือกว่าเขาในเวลานั้นได้ ด้วยภาพลักษณ์ของปากานินีที่ผอมซีดและชอบใส่ชุดสีดำ ทำให้หลายคนเชื่อว่านิคโคโลทำสัญญากับปีศาจเพื่อแลกพรสวรรค์และความสามารถ ซึ่งผู้ชมบางคนได้อ้างว่าเห็นปีศาจช่วยเหลือเขาในระหว่างการแสดงของเขา ซึ่งข่าวลื่อดังกล่าวอาจเป็นเพราะเขาปฏิเสธพิธีรับศีลครั้งสุดท้ายของคริสตจักร ทำให้หลังเขาเสียชีวิตทางโบสถ์ได้ปฏิเสธทำพิธีฝังศพทางศาสนาในเจนัว ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 4 ปีในการอุทธรณ์โดยตรงต่อองค์พระสันตะปาปาเพื่อขอให้ขนส่งศพไปเจนัว แต่ยังไม่ได้รับการฝัง จนกระทั้งปี 1876 จึงมีพิธีฝังศพเขาที่โบสถ์แห่งหนึ่งในสุสานปาร์มา
8. กิลล์ เดอ เรยส์ (Gilles de Rais)
กิลล์ เดอ เรยส์ (ค.ศ.1404 – 1440) เป็นอัศวินที่กล้าหาญของประเทศฝรั่งเศส ที่มีจุดเด่นคือมีหนวดเคราสีดำค่อนไปทางสีน้ำเงิน (จนเป็นที่มาของเคราสีน้ำเงิน) เขาเกิดในครอบครัวที่มีชื่อเสียงในเบรเตญ เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตลง เขาก็มีฐานะมั่งคั่งและมีอำนาจ ต่อมาก็ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการในกองทัพและต่อสู้ร่วมกับโจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) ได้รับชัยชนะในการต่อสู้กับประเทศอังกฤษหลายครั้ง จนกลายเป็นวีรบุรุษของฝรั่งเศส หลังโจน ออฟ อาร์คเสียชีวิตลง กิลล์ก็ออกจากการเป็นทหาร และชีวิตของเขาก็เริ่มตกต่ำลง ในความสิ้นหวังเขาเริ่มหลงใหลไสยศาสตร์ภายใต้คำแนะนำของชายคนหนึ่งชื่อฟรานคอยส์ เปรลาติ (Francesco Prelati) ที่สัญญาจะช่วยกิลล์ในการชดใช้หนี้สิน โดยบอกเขาว่าให้สังเวยเด็กจำนวนมากเพื่อบูชาปีศาจที่ชื่อ “บารอน” (Baron) ส่งผลทำให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องข่มขืนทรมานและฆ่าเด็กจำนวนประมาณ 80 - 200 คน สุดท้ายเขาก็ถูกจับและตัดสินให้ประหารชีวิตโดยการแขวนคอและนำศพไปเผาไฟ
7. โจนาธาน มอลตัน (Jonathan Moulton)
โจนาธาน มอลตัน (ค.ศ.1726 – 1787) เป็นบุคคลในตำนานของนิวแฮมป์เชียร์ เขาเริ่มต้นเป็นเด็กฝึกงานทำตู้ แต่ในปี 1745 เขาก็ทิ้งงานและเริ่มต้นอาชีพเขาในกองทัพที่นิวอิงแลนด์ เข้าร่วมรบในสงครามพระเจ้าจอร์จ (King George's War ) และสงครามฝรั่งเศส-อเมริกันอินเดียน (French and Indian War) เขาแต่งงานในปี 1749 เป็นพ่อเด็ก 11 คน และกลายเป็นหนึ่งในชายที่ร่ำรวยที่สุดในนิวแฮมป์เชียร์ เนื่องจาก ความร่ำรวยของโจนาธาน ทำให้เกิดข่าวลือว่าเขาได้ทำสัญญากับปีศาจ ในคฤหาสน์ที่เขาสร้างขึ้นบนพื้นที่ของคนจนเมื่อปี 1769 มีความเชื่อว่าปีศาจจะปรากฏตัวเพื่อใส่เหรียญทองเต็มรองเท้าบู๊ตของเขาที่แขวนไว้หน้าเตาผิงในวันแรกของเดือนล่ะครั้ง แต่โจนาธานโลภมากเลยคิดอุบายหลอกปีศาจด้วยการตัดพื้นรองเท้าบูตให้เป็นรูใหญ่เพื่อให้ปีศาจใส่เหรียญยังไงก็ไม่เต็มเสียที และเมื่อปีศาจรู้ว่าโดนโจนาธานหลอก จึงแก้แค้นด้วยการเผาบ้านของเขาและทำให้เหรียญทองหายไป เล่ากันว่าเมื่อโจนาธานเสียชีวิตลง ศพของเขาก็หายไปจากโลงศพและถูกแทนที่ด้วยกล่องใส่เหรียญประทับตรามาร โลงของโจนาธานถูกฝังในหลุมฝังศพที่ไม่มีเครื่องหมายและที่ตั้งยังไม่มีใครทราบ
6. หลวงพ่อเออร์เบน กรานเดียร์ (Father Urbain Grandier)
หลวงพ่อเออร์เบน กรานเดียร์ (ราว ค.ศ.1590 – 1634) เป็นนักบวชคาทอลิกชาวฝรั่งเศสที่ถูกเผาทั้งเป็น หลังถูกตัดสินในข้อหาใช้เวทมนต์คาถา เขาทำหน้าที่เป็นนักบวชในโบสถ์ เซนต์ครอย (Saint Croix) ในลูดอง (Loudun) นิกายโรมันคาทอลิก ในสังฆมณฑลแห่งปัวตีเย (Roman Catholic Diocese of Poitiers) เขาเป็นนักบวชที่รู้จักในเรื่องละเมิดคำสาบานรักษาพรหมจรรย์ เป็นคนมักมากในกามมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงและมีชื่อเสียงในเรื่องเจ้าชู้ ในปี 1632 กลุ่มแม่ชีจากสำนักแม่ชีเออซูลิ (Ursuline) ได้กล่าวหาว่า เขามีเวทมนต์เรียกปีศาจอัสโมดาอี (Asmodai) หนึ่งในปีศาจเจ็ดบาปราคะเพื่อใช้ทำความชั่ว หลังจากเขาถูกจับและถูกนำตัวไปทรมาน ก็ได้พบหลักฐานใบสัญญาที่เขาทำไว้กับปีศาจหลายตัวเป็นภาษาลาติน รวมถึงลายเซ็นที่เชื่อว่าเป็นของซาตาน สัญญาระบุว่าเขาจะจงรักภักดีต่อปีศาจและสละความเชื่อต่อศาสนาเพื่อบรรลุข้อตกลงเพื่อให้ได้ผู้หญิงที่ตนต้องการ รวมไปถึงความมั่งคั่งและชื่อเสียง ปัจจุบันใบสัญญาของเขายังคงเก็บอยู่ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส (Bibliothèque nationale de France) จนถึงปัจจุบัน
5. จูเซปเป้ ตาร์ตินี่ (Giuseppe Tartini)
จูเซปเป้ ตาร์ตินี่ (ค.ศ.1692 –
1770) เป็นนักแต่งเพลงและนักไวโอลินชาวอิตาเลียน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในนักประพันธุ์เพลงดนตรีบรรเลงที่มีผลงานมากกว่า 400 ผลงาน ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ใช้ในโบสถ์ไม่ก็โอเปร่า และผลงานที่โดดเด่นมีชื่อเสียงที่สุดคือ เพลงที่ชื่อ “เดวิด ทริล โซนาต้า” (Devil's Trill Sonata) ที่ใช้เดี่ยวไวโอลินด้วยท่วงทำนองอันร้อนแรง จุดเริ่มต้นของเพลงดังกล่าว จูเซปเป้ได้เล่าให้เฌโรม ลาล็องด์ (Jérôme Lalande) นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสฟังว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากปิศาจที่ปรากฏตัวต่อเขาในความฝันบนเตียงนอน จากนั้นก็ปีศาจก็บรรเลงไวโอลินโซนาต้าที่มีความไพเราะมากบทหนึ่ง ซึ่งเมื่อเขาฟังแทบหมดเรี่ยวแรงจนลืมหายใจ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเขากลับไม่สามารถจดจำบทเพลงนั้นได้เลย เขาจึงลองแต่งโซนาต้าเพื่อเลียนแบบเพลงในฝัน แม้ว่าเพลงจะสร้างประทับใจแก่ผู้ชมมากเท่าใดก็ตาม แต่จูเซปเป้ยังคงผิดหวังที่ผลงานเพลงยังห่างไกลจากเพลงที่เขาได้ยินในความฝันของเขา ถึงกับกล่าวภายหลังว่า “ผมยอมพังไวโอลินทิ้งและเลิกเล่นดนตรีตลอดไปถ้าผมได้เป็นเจ้าของบทเพลงนั้น”
4. คอร์นีเลียส อะกริปป้า (Cornelius Agrippa)
คอร์นีเลียส อะกริปป้า (ค.ศ.1486 - 1535) เป็นนักเขียนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เขาศึกษากฎหมายและยารักษาโรค ที่ไม่เคยได้รับปริญญา อีกทั้งเขายังเป็นจอมเวทย์ นักเขียนลึกลับ นักบวช โหราจารย์และนักเล่นแร่แปรธาตุ เป็นผู้นำสิทธิสตรีที่มักจะปกป้องผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด อีกทั้งยังเขียนสามหนังสือแห่งปรัชญาลี้ลับ (Three Books of Occult Philosophy) หนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์พิธีกรรมที่ยังใช้จนถึงทุกวันนี้ ในปี 1535 เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกรีตและพิพากษาประหารชีวิต เขาหนีออกมาและเขาก็ล้มป่วยจนเสียชีวิต หลังจากการตายของเขาก็มีข่าวลื่อไปทั่วว่าเขาได้อัญเชิญปีศาจ ตำนานที่ได้รับความนิยมที่สุดคือในขณะที่เขากำลังขวนเจียนตายเอาได้ปล่อยปีศาจสุนัขดำซึ่งเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งสุนัขดำดังกล่าวปรากฏในตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวกับเฟาสท์ (Faustus) และในวรรณกรรมของโยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ (Johann Wolfgang von Goethe) กลายเป็น “ชวาสเซอ พูเดิล” (Zschwarze Pudel) หัวหน้าปีศาจ
3. โรเบิร์ต จอห์นสัน (Robert Johnson)
โรเบิร์ต จอห์นสัน (ค.ศ.1911 – 1938) เป็นนักดนตรีบลูส์ที่ยิ่ง
ใหญ่ของอเมริกัน ติดอยู่ในอันดับ 5 จาก 100 รายการ ในนิตยสาร สโตนส์ โรลลิ่ง (Stones Rolling) มือกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล มีตำนานเล่าว่าเขาต้องการเป็นนักกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่และถูกแนะนำให้มุ่งหน้าไปที่สี่แยกที่อยู่ใกล้ด็อคเคอรี่ แพลนเทชัน (Dockery Plantation) เวลาเที่ยงคืน ที่นั่นเขาได้พบปีศาจที่มาปรับจูงกีตาร์ของเขา พร้อมกับสอนให้เขาเล่นสองสามเพลง โดยแลกเปลี่ยนชีวิตของจอห์นสันหากเขากลายเป็นคนชื่อเสียงในดนตรีเพลงบลุส์ ข่าวลือที่หลายคนเชื่อว่าเขาทำสัญญากับปีศาจนั้นมาจากการที่ช่วงแรกๆ นั้นโรเบิร์ตเป็นเพียงนักดนตรีธรรมดาที่ไม่ประสบผลสำเร็จอะไรเลย ต่อมาเขาก็ได้หายตัวไปและกลับมาพร้อมเทคนิคและการเล่นที่เหนือชั้นที่ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนมาจากที่ไหน อีกทั้งเนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับซาตานเป็นส่วนมาก
โรเบิร์ต จอห์นสันสร้างสรรค์ผลงานถึง 29 บทเพลงก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปีด้วยอาการป่วยลึกลับที่ยังเป็นที่ถกเถียงไม่เลิก หลายคนเชื่อว่าปีศาจได้เอาวิญญาณเขาไป แต่ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเขาถูกวางยาพิษในแก้ววิสกี้โดยภรรยาจับได้ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ เขาถูกฝังในหลุมฝังศพที่ไม่มีเครื่องหมายและที่ตั้งไม่มีใครทราบ
2. โจฮัน เกออร์ก เฟาสต์ (Johann Georg Faust)
ด็อกเตอร์โจฮัน เกออร์ก เฟาสต์ (ราว ค.ศ.1480 - 1540) เป็นนักเล่นแร่ธาตุพเนจร โหราจารย์และจอมเวทย์จากเยอรมัน ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (หรือยุคเรอเนสซองซ์) ในขณะที่เขาเรียนอยู่มหาลัยคราคูฟ (Krakow) สองเพื่อนสนิทของเขามาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) และ ฟิลิป เมลแอชตัน(Philip Melachton) ได้เป็นพยานในพิธีสัญญาผูกพันเฟาสท์กับปีศาจ จนเป็นทำให้เขาถูกประณามจากคริสตจักรว่าเขาดูหมิ่นศาสนาและทำสัญญาปีศาจ ชีวิตของเขากลายเป็นตำนานที่ได้รับความนิยมในเรื่อง “เฟาสต์” (Faust) จากหนังสือ “ประวัติโศกเศร้าของด็อกเตอร์เฟาสต์” (The Tragical History of Doctor Faustus : 1604) และ “ห้องละครชีวิตของฟาสต์” (closet drama Faust : 1808) ตำนานมีอยู่ว่าเฟาสท์อยากมีชีวิตสุขสบายจึงเรียนรู้ไสยศาสตร์เรียกปีศาจ และมีการกระทำข้อตกลงกับซาตานเพื่อทำให้เขากลับมาหนุ่ม 24 ปีอีกครั้ง หากแต่น่าเสียดายต่อมาเขาก็ไม่รู้สึกพอใจชีวิตที่เป็นอยู่และพยายามที่จะยกเลิกข้อตกลง ปีศาจจึงได้ฆ่าเขาอย่างทารุณ ส่วนการตายของเฟาสต์ในชีวิตจริงคือเขาเสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดในขณะทำการทดลองเล่นแปรธาตุ
1. ทีโอฟิลุสแห่งเอดานา (St. Theophilus of Adana)
นักบุญทีโอฟิลุสผู้สำนึกผิดหรือทีโอฟิลุสแห่งเอดานา (เสียชีวิตราว 538) เป็นบาทหลวงในศริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่มีการกล่าวถึงว่าได้ทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อให้ได้รับตำแหน่งของนักบวช อีกทั้งเรื่องราวของท่านยังเป็นเรื่องที่เก่าเก่าที่สุดของการทำสัญญากับปีศาจ ทีโอฟิลุส เป็นบาทหลวงแห่งอาดานา, คิลีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตุรกีในปัจจุบัน ท่านได้รับเลือกเป็นเอกฉันท์ที่จะเป็นบิชอป แต่เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนท่านจึงสละลงออกจากตำแหน่ง จนชายคนหนึ่งถูกรับเลือกแทนเขา แต่แล้วบิชอปคนใหม่กลับตัดสินใจถอนตำแหน่งรองบิชอปของเขาออกอย่างไม่ยุติธรรม เป็นเหตุทำให้ท่านเสียใจกับความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก จึงได้ทำการติดต่อหมอผีช่วยให้เขาได้ติดต่อกับซาตาน เพื่อทำสัญญาปีศาจ ลงนามด้วยเลือดของตนเอง โดยแลกกับการละทิ้งพระเยซูคริสต์ (Christ) และพระแม่มารี (Virgin Mary) และต่อมาปีศาจก็ช่วยทำให้เขาดำรงตำแหน่งเป็นบิชอป ปีต่อมา ทีโอฟิลุสเริ่มหวาดกลัวว่าปีศาจจะเอาดวงวิญญาณไป ท่านจึงสำนึกผิดและได้อธิษฐานต่อพระแม่มารีเพื่อขอให้อภัย หลังจากที่ 40 วันนับจากวันอดอาหาร พระแม่มารีก็ได้ปรากฏตัวและกล่าวตำหนิ ที โอฟิลุสขอร้องให้อภัยและพระแม่มารีสัญญาว่าจะไกล่เกลี่ยกับพระเจ้าให้ จากนั้นเขาก็อดอาหารต่อไปอีก 30 วันพระแม่มารีก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งและเขาก็ได้รับการอภัยโทษ อย่างไรก็ตาม ซาตานไม่เต็มใจที่จะปลดปล่อยทีโอฟิลุสเป็นอิสระ สามวันต่อมาทีโอฟิลุสตื่นขึ้นมาพบคำสาปแช่งบนหน้าอกของเขา จากนั้นเขาก็เอาสัญญาไปให้บิชอปและสารภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ บิชอปจึงทำลายเอกสารและเมื่อทีโอฟิลุสหมดอายุไขลง ท่านก็ถูกปลดปล่อยจากภาระข้อสัญญาทั้งหมด