Social :



แอ่วดอยสะโง้

27 พ.ค. 60 16:05
แอ่วดอยสะโง้

แอ่วดอยสะโง้

     ดอยสะโง้ ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ดอยแห่งนี้แต่ก่อนนั้นเป็นพื้นที่กันดารที่การเดินทางยากที่จะเข้าถึง  ขาวบ้านยากจน จนกระทั่งเมื่อปี 2521 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่และทรงมีพระราชดำรัสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลช่วยเหลือ โดยจัดตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยสะโง๊ะ ขึ้น  ประชากรส่วนใหญ่ คือ ชาวเขาเชื้อสายอาข่าและไทลื้อ  มีวัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะชนเผ่าที่มาสัมผัสและเรียนรู้   ปัจจุบันดอยสะโง้ ได้ถูกพัฒนาโดยชุมชนและชาวบ้านในพื้นที่เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้วิถีชุมชนของชาวอ่าขา    ดอยสะโง้ กับโครงการหลวงสะโง๊ะ เขียนไม่เหมือนกัน ถามคนในพื้นที่บอกว่า คือ คำเดียวกัน ความหมายเหมือนกัน  เพียงแต่เขียนไม่เหมือนกันตามการออกเสียงของชนเผ่า บนดอยสะโง้ สูงจากน้ำทะเลประมาณ 709 เมตร มี จุดชมวิวทิวทัศน์ที่มีพื้นที่กว้างและตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของหมู่บ้าน  จุดชมวิวแห่งนี้มองเห็นวิวทิวทัศน์ของดินแดนสามประเทศ ทั้งดินแดนไทย ลาว และพม่า พร้อมสายน้ำโขงอย่างชัดเจน และมองเห็นถึงชุมชนของ 3 อำเภอ เชียงแสน แม่จัน และแม่สาย  สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ในช่วงฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น ในยามเช้าสามารถชมทะเลหมอกและรอชมพระอาทิตย์ขึ้น ยามค่ำคืนชมดาวเต็มท้องฟ้า หากมาเที่ยวในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. จะได้เห็นทุ่งดอกเก๊กฮวยแบ่งบานอีกด้วย

 

1-cover1

 

ดอยสะโง้ ห่างจากตัวเมืองเชียงราย ประมาณ 54 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1  ชั่วโมง  การเดินทาง ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปโครงการหลวงสะโง๊ะ จากตัวเมืองเชียงรายไปทาง อ.แม่จัน (ถ.ทางหลวงหมายเลข 1 เส้นเดียวกับไปแม่สาย) จะมีทางแยก ไป อ.เชียงแสน คือ ทางหลวงหมายเลข 101 ขับตรงไปทางสามเหลี่ยมทองคำ ถึงกิโลเมตรที่ 18  มีป้ายบอกทางไปโรงเรียนบ้านดอยสะโง้และโครงหลวง ทางขึ้นดอยสะโง้จะเป็นแยกก่อนถึงโครงการหลวง  รถทุกชนิดสามารถขึ้นไปถึงได้ ยกเว้นจุดสุดท้าย 500 เมตร ถนนเป็นดินแดงและทางลูกรัง รถที่ขึ้นได้เฉพาะรถกระบะและมอเตอร์ไซต์เท่านั้น สำหรับรถตู้หรือรถเก๋งต้องจอดไว้ข้างล่างแล้วใช้บริการรถท้องถิ่นของชุมชน คิดราคาคนละ 20 บาท/เที่ยว  โดยรถที่จอดไว้บริเวณด้านล่างจะเสียค่าจอดอีก 30  บาท

 

 

บนจุดชมวิวเป็นลานโล่งๆ กว้าง จัดสรรพื้นที่แยกกันมีลานจอดรถและพื้นที่กางเต็นท์หลายจุดแยกเจ้าของกัน  ด้วยชื่อเสียงที่เริ่มมีคนรู้จักทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาเที่ยวมากขึ้น ในช่วงฤดูหนาววันหยุด หากขึ้นมาถึงยอดดอยจะรู้สึกตกใจเล็กน้อย เพราะคนเยอะมาก  บ้างก็เปิดเพลงเสียงดังลั่น มองดูคล้ายกับชุมชนอะไรซักอย่าง แอบผิดหวังเล็กน้อย เพราะตั้งใจจะมาพักผ่อนมองหาความสงบและดื่มด่ำไปกับธรรมชาติ

 

5-dsc_5938

 

จุดที่น่าสนใจที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว โซนบ้านพักโฮมสเตย์  ซึ่งเป็นที่พักแบบบ้านเพียงแห่งเดียวบนดอยแห่งนี้ โดยสร้างเป็นกระท่อมแบบชนเผ่าอาข่าซึ่งเป็นชนเผ่าหลักที่อาศัยอยู่บนยอดดอยแห่งนี้   มีสะพานไม้เดินเชื่อมต่อกันทุกหลัง  พื้นที่ตรงนี้บรรยากาศเริ่มสงบขึ้นมาซักหน่อยค่ะ เพราะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลเข้าได้เฉพาะแขกที่มาพัก แต่สำหรับแขกที่ไม่ได้มาพักและต้องการมาชมวิวถ่ายภาพจะเสียค่าบริการคนละ 10  บาท  ซึ่งคืนนี้เราจองบ้านพักที่นี่ไว้ หากใครชอบนอนเต็นท์ ทางโฮมสเตย์ก็มีลานกางเต็นท์ให้เช่นกันค่ะ

 

6-dsc_5797

 

มีร้านขายของชำเล็กๆ ชายเครื่องดื่ม ขนม

 

 

ส่วนร้านนี้คือ ร้านขายเบียร์วุ้นค่ะ แอบมีความตกใจอีกอย่างหนึ่ง

 

8-dsc_6012

 

หากมาเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมจะได้ชมดอกเก๊กฮวยที่เบ่งบานอยู่รอบที่พัก แต่ในช่วงปลายธ.ค. บางส่วนเริ่มเหี่ยวไปเยอะแล้ว

 

 

จุดชมวิวสามแผ่นดินของโฮมสเตย์  สามารถทะเลหมอกในยามเช้า เรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวยอดฮิตที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของขุนเขา 3 แผ่นดินที่เชื่อมต่อกัน สามารถมองเห็นทะเลหมอกในยามเช้า  น่าเสียดายวันที่เราเดินทางอากาศไม่โปร่งใสเท่าใดนักวิวที่ถ่ายมาเลยอาจไม่สวยได้แบบเต็มที่ในแบบที่มันควรจะเป็น  จุดชมวิวมีนักท่องเที่ยวเดินไปมาถ่ายภาพแบบไม่ขาดสาย กว่าจะหาจังหวะไม่มีคนได้ค่อนข้างยากมาก

 

 

บ้านพักโฮมสเตย์แบ่งออกเป็น 2 ขนาด แบบแรกบ้านหลังใหญ่พักได้หลังละ 6-8 คน มีห้องน้ำในตัว ซึ่งห้องน้ำที่ว่าคือ อยู่ด้านล่างติดกับบ้าน  ราคาหลังละ 4000 บาท (พร้อมอาหารเช้า) ห้องพักไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ นอกจากที่นอนและปลั๊กไฟสำหรับชาร์ตไฟอุปกรณ์ต่างๆ  ไฟฟ้ามีให้ใช้ตลอดทั้งวัน

 

 

บ้านหลังเล็กพักได้ 2-3 คน ราคาหลังละ 1500 บาท(พร้อมอาหารเช้า) ภายในห้องพักมีแค่ที่นอนเช่นกันค่ะ ส่วนห้องน้ำไม่มี ต้องใช้บริการห้องน้ำรวมซึ่งมีอยู่ประมาณ 3 ห้อง ที่ตั้งอยู่ใต้สะพาน

 

 

บริเวณนี้เป็นลานกางเต็นท์

 

 

หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็เดินถ่ายภาพกับดอกเก๊กฮวยวนไป

 

21-dsc_5815

 

เล่นม้าโยกสไตล์ชนเผ่าหน้าที่พัก

 

 

เดินออกไปอีกนิด คือ ป้ายจุดชมวิวดอยสะโง้ ข้างป้ายมีชิงช้าให้โล้ด้วย

 

 

อาหารมื้อค่ำแบบอาหารพื้นเมืองแบบขันโตก คิดราคาหัวละ 250 บาท ให้ใครอยากทานอาหารในรูปแบบชนเผ่าให้แจ้งทางโฮมสเตย์ไว้ล่วงหน้าค่ะ  โตกนี้ทานได้ประมาณ 5-6  ตามความเข้าใจขันโตก คือ อาหารแบบชาวเหนือ มี แคมป์หมู น้ำพริกหนุ่ม ผักสด  แต่ขันโตกแบบอาข่า จะรองด้วยใบตอง อาหารในโตก  คือ หมูหัน  ที่หั่นแยกส่วนของเนื้อ หนัง เครื่องในต่างๆ กินแกล้มผักสด น้ำพริกและผักดองแบบอาข่า มีต้มจืดไก่ให้ซดน้ำซุป  ทานกับข้าวห่อใบตอง  รสชาติอาหารถึงไม่คุ้นลิ้นแต่อร่อยมาก  ทานไปก็ชมการแสดงวัฒนธรรมของชนเผ่าอาข่าไปด้วย

MulticollaC

 

 

ในยามค่ำคืน  อากาศเริ่มเย็นลง ลมหนาวจากขุนเขาเริ่มพัดเข้ามาสัมผัสใบหน้า ดวงดาวเริ่มส่องแสง เต็มท้องฟ้า

 

29-dew_5664

 

ในยามเช้ามีหมอกมาทักทายถึงหน้าบ้านพัก  ถึงแม้จะมาปรากฏให้เราเห็นไม่มากนักตามสภาพอากาศที่ค่อนข้างปิด แต่ก็ถือว่าเป็นความสุขใจอย่างหนึ่งที่ได้ตื่นมาแล้วพบกับภาพนี้

 

32-dew_5699

 

เดินไปชมบรรยากาศยังจุดชมวิวบริเวณอื่น ทีตั้งอยู่ข้างนอกโฮมสเตย์กันบ้าง ต้องบอกว่าคึกคักจริงๆ ค่ะเช้านี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก ทั้งขึ้นมาใหม่เพื่อมาขมวิวตอนเช้า และนักท่องเที่ยวที่กางเต็นท์อยู่บนดอยเมื่อคืน  แต่เราก็พยายามหลบฝูงชนเพื่อตามหามุมสงบของเราได้บ้าง ได้มีโอกาสคุยกับคุณทวีพงศ์เจ้าของโฮมสเตย์ ที่ขึ้นมาบุกเบิกจุดชมวิวแห่งนี้เป็นกลุ่มแรก บอกว่า เขาดีใจที่มีคนรู้จักดอยสะโง้เพิ่มมากขึ้น นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเยอะ ทำให้ชุมชนมีรายได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เสียใจเพาะพอคนเยอะบรรยากาศของความเป็นธรรมชาติก็เสียไป ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่เที่ยวแบบไม่เข้าใจและไม่อนุรักษ์ ทิ้งขยะ ตั้งใจแค่เพียงมากินเมา เปิดเพลงเสียงดัง จนทำลายบรรยากาศการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นไปหมดสิ้น  ซึ่งเห็นว่ากำลังหารือกันในชุมบนเพื่อหามาตรการจัดการร่วมกัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะจัดการได้มากน้อยแค่ไหน

 

36-dsc_5944

 

หลังจากเดินชมวิวและรับประทานอาหารเช้าแล้ว เราก็มาแปลงกายเป็นชาวอาข่าซักหน่อย ที่โฮมสเตย์มีให้เช่าชุดละ 150 บาท  ชุดชนเผ่าอาข่านั้นเมื่อแต่งตัวครบเครื่องอลังการจนน่าตะลึงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โดยเฉพาะหมวกแหลมที่ประดับด้วย เหรียญตรา กระดุมเงิน และลูกปัด แต่งไปแต่งมารู้สึกกลมกลืนกับคนในพื้นที่มากกกกก เนียนกันไปเลยทีเดียว

 

41-dsc_6037

42-dsc_6042

 

หลังจากนั้นประมาณ 9 โมง กว่า เราก็ลงจากยอดดอยเพื่อไปเที่ยวต่อยังโครงการหลวงสะโง๊ะ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกัน ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 5 นาที

 

 

โครงการหลวงสะโง๊ะ ก่อตั้งขึ้นจากการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเยือนราษฎรและได้พัฒนาพื้นที่ในอดีตที่ค่อนข้างกันดาร และการเดินทางสัญจรลำบาก ซึ่งต่อมาหน่วยงานต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้เข้ามาพัฒนา  มีการส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร สำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวภายในศูนย์ฯ คือ ชมแปลงสาธิตพืชผัก ไม้ดอก ไม้ผล และสมุนไพรและแปลงของเกษตรกรในพื้นที่  โดยเฉพาะแปลงดอกเก๊กฮวยไม้ดอกขึ้นชื่อให้ผลผลิตในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.  โครงการหลวงดอยสะโง๊ะ ได้ส่งเสริมให้เกษตรปลูกดอกเก๊กฮวยเหลืองแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งสามารถนำมาทำน้ำเก๊กฮวยให้ออกมาเป็นสีเหลืองสดได้โดยไม่ต้องใส่เมล็ด ต่างจากเก๊กฮวยขาวในท้องตลาดทั่วไป

 

 

แปลงองุ่นสาธิตขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ด้านหน้าศูนย์ฯ จะเริ่มให้ผลผลิตในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค  เช่นกัน

 

 

จากนั้นเราเดินไปยังโรงผลิตชาเพื่อชมขั้นตอนการผลิตชาเก๊กฮวย  เริ่มตั้งแต่เก็บผลผลิตและรับซื้อผลผลิตจากชาวบ้าน

 

 

นำดอกสดๆมาใส่หม้อนึ่งแบบโบราณแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน หลังจากนึ่งจนได้ที่จากนั้นนำมาเทใส่ตะแกรงแล้วค่อยๆ ใช้ไม้เกลี่ยเพื่อไม่ให้ดอกไม้ติดกัน

 

 

ยกไปอบแห้งในตู้อบ

 

 

แล้วจึงนำมาบรรจุใส่ห่อเพื่อส่งจำหน่ายผ่านโครงการหลวงดอยคำ และร้านค้าโครงหลวง

 

 

มีร้านขายเครื่องดื่มตั้งอยู่ข้างหน้าศูนย์ ฯ เป็นจุดชิมทดลองชาเก๊กฮวย  หากถูกใจในรสชาติซื้อหากลับบ้านในราคาย่อมเยาแค่ถุงละ 100 บาทเท่านั้น  ชาเก๊กฮวยของโครงการหลวงสะโง๊ะ  เป็นชาที่หอมได้กลิ่นของดอกเก๊กฮวยแบบเต็มๆ เหมือนกำลังดื่มน้ำเก๊กฮวยแต่ไม่ใส่น้ำตาล ให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย เก๊กฮวยนั้น ถือว่า เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายมหาศาล ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพมาก ลองไปหาอ่านสรรพคุณในอินเทอร์เน็ตได้ค่ะ ชาเก๊กฮวยที่ชงเองจะมีสีเหลืองอ่อนๆเท่านั้น แต่ที่เรามักเห็น น้ำเก๊กฮวยเป็นสีเหลืองจัดนั้น เกิดจากการแต่งสีด้วยผลพุดซ้อน ซึ่งก็ไม่เป็นอันตรายอะไร ดอกเก๊กฮวยแห้งนี้สามารถชงได้ 2 ครั้ง

 

 

ดอยสะโง้ เป็นอีกหนึ่งดอยที่มีทัศนียภาพสวยงาม และมีเอกลักษณ์ด้วยภาพบ้านพักโฮมสเตย์ของชนเผ่าอาข่าที่ตั้งอยู่ริมดอยเห็นวิวภูเขาน้อยใหญ่เบื้องหน้า  เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนที่ตั้งใจมาเที่ยวเพื่อสัมผัสธรรมชาติในแบบดั้งเดิมที่สังคมในเมืองนั้นไม่สามารถให้ได้ จงช่วยกันเที่ยวแบบอนุรักษ์และให้เกียรติสถานที่  เก็บขยะกลับไปด้วย อย่ามาเที่ยวเพื่อความหมายเดียว คือ เปลี่ยนที่นอน หรือที่กินเหล้าเสียงดังเลยค่ะ  ถ้าจะมาแบบนั้นขอให้นอนอยู่บ้าน อย่าออกมาทำลายความสวยงามและชื่อเสียงของสถานที่  และความรู้สึกของนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ตั้งใจเดินทางมาไกลเพื่อมาสัมผัสความสวยงามและความสงบของธรรมชาติอย่างแท้จริงเลยค่ะ

 

รายละเอียดเพิ่มเติม

ที่พักบนดอยสะโง้ 
บ้านพักโฮมสเตย์ให้บริการหลายหลัง หลังเล็กพักได้ 2-3 ท่าน (ห้องน้ำรวม)  ราคาหลังละ 1500 บาท (พร้อมอาหารเช้า)   หลังใหญ่พักได้ 6-8 คน  ราคาหลังละ 4,000 บาท(รวมอาหารเช้า) มีห้องในบริเวณด้านล่างของตัวบ้าน บ้านพักทั้ง 2 แบบ ไม่มีสิ่ง อำนวยความสะดวกใดๆ นอกจากเครื่องนอนและปลั๊กไฟสำหรับชาร์ตไฟ ไฟฟ้ามีใช้ตลอดทั้งวัน  สำหรับอาหารมีบริการ ขันโตกแบบชนเผ่าคิดราคาคนละ 250 บาทพร้อมการแสดงชนเผ่า มีร้านขายของชำเล็กๆจำหน่ายขนมและเครื่องดื่มต่างๆ  บริการเช่าชุดชนเผ่าถ่ายภาพคนละ 150 บาท

นอกจากนี้ยังมีเต็นท์ให้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ คุณทวีพงษ์ โทร 092 263 6394 ,  082 195 0138 (หากโทรแล้วไม่รับต้องพยายามโทรบ่อยๆ )  หากท่านใดไม่ได้พักที่นี่และต้องการเข้าไปชมวิวถ่ายภาพ คิดค่าเข้าชมคนละ 10 บาท
นอกจากนี้ยังมีลานกางเต็นท์เอกชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน สามารถไปติดต่อกางเต็นท์ได้โดยตรงแต่ต้องเตรียมเต็นท์ไปเอง


ขอบคุณข้อมูลจาก

paiduaykan.com

โพสต์โดย : ต้นน้ำ