@วัดสระลงเรือ กาญจนบุรี
สถานที่ตั้ง ตั้งอยู่ใน ตำบลสระลงเรือ อำเภอห้วยกระเจา วัดนี้มีจุดเด่นและเริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อมีการสร้างเรือสุพรรณหงษ์จำลองที่ใหญ่ ที่สุดในโลกสร้างขึ้นในสระน้ำขนาดใหญ่ของวัดมีลักษณะ สวยงามวิวจิตรตระการตาซึ่งด้านในเรือซึ่งสามารถเข้าไปชมด้านในได้โดย บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้านบนเพื่อกราบไหว้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ภายในวัดสระลงเรือยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกมากมายได้แก่ หลวงพ่อใหญ่องค์ดำ รวมถึงอุโบสถของวัดซึ่งมี 2 ชั้นจำลองเมืองนรกในชั้นล่างรอบโบสถ์มีเรือสุพรณหงส์ขนาดเล็ก ขนาบ และทางด้านรอบอุโบสถ ยังมีพระเกจิชื่อดังทุกภาคของประเทศ, เทพเจ้าของจีน และของไทยอีกมากมาย และยังได้สร้างเมืองสวรรค์ และนรกไว้ใต้อุโบสถ เพื่อเตือนสติผู้คนให้ทำแต่ความดี และกำลังก่อสร้างรูปเหมือนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมฺรํงสี) องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขึ้นไว้อีกองค์หนึ่ง
ประวัติความเป็นมาวัดสระลงเรือ
วัดสระลงเรือ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง คือ น่าจะมีอายุประมาณ 400 - 450 ปี หรือมากกว่านั้นเล็กน้อยไม่ปรากฏ หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรใด ๆ เกี่ยวกับวัด ดังนั้น จึงไม่ทราบชื่อเดิมของวัด ปี และบุคคลที่ก่อสร้าง หลักฐานที่หลงเหลืออยู่ก็ได้แก่ โบราณวัตถุต่าง ๆ อันประกอบด้วย พระเจดีย์และพระปรางค์แบบก่ออิฐถือปูน สูงประมาณ 10 เมตร อย่างละ 1 องค์ ตั้งอยู่คู่กัน พระเจดีย์ด้านทิศใต้และพระปรางค์ด้านทิศเหนือ ซึ่งคาดว่าน่าจะจำลองมาจากวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้านหน้าของ พระเจดีย์และพระปรางค์ เดิมมีอาคารแบบก่ออิฐถือปูนขนาดประมาณ 6 X 12 เมตร อยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ (ยกเว้นหลังคาที่คงเสื่อม สภาพและอันตรธานไปตามกาลเวลา) อาคารนี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นพระวิหารและน่าจะเป็นประธานวัตถุของวัด โดยหันหน้าไปทาง ทิศตะวันออกและภายในอาคารเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย และด้านหน้าของอาคารเยื้องไปทางทิศตะวันออก เฉียงเหนือเล็กน้อยเป็นที่ตั้งของสระน้ำรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาดประมาณ 60 X 60 เมตร (ปัจจุบันขยายเป็นเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ เป็นที่ตั้งของเรือสุพรรณหงส์จำลองใหญ่ที่สุดในโลก)ที่ตั้งของวัดอยู่บนที่ดอนสูง ซึ่งพาดยาวมาจากทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วล้อมรอบด้วยที่ราบลุ่มต่ำ ซึ่งในตอนหลังได้ใช้เป็นที่ทำนาของชาวบ้าน บริเวณใกล้เคียงก็เป็นที่ดอนและที่ราบลุ่มต่ำสลับกันไปเป็นระยะ ๆ และทางทิศตะวันออกของวัดเป็นลำห้วย ซึ่งในช่วงน้ำหลากจะมีน้ำไหลลงลำน้ำจรเข้สามพัน กอรปกับวัดและชุมชนแห่งนี้ห่างจาก เมืองโบราณอู่ทองเพียงประมาณ 12 - 13 กิโลเมตรเท่านั้น บริเวณนี้จึงเหมาะที่จะตั้งเป็นชุมชน และด้วยเหตุนี้ บริเวณนี้จึงมีชุมชนตั้งมา แต่โบราณ อย่างน้อยตั้งแต่สมัยในสมัยอยุธยา ดังเห็นได้จากหลักฐานประเภทเครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับสมัยโบราณที่เมื่อ ประมาณ 30 - 50 ปีก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้พบเสมอ ๆ เวลาไถไร่ไถนาของตนในบริเวณรอบ ๆ วัด และห่างจากวัดไปทางด้านตะวันออก เฉียงเหนือประมาณ1 - 2 กิโลเมตร เคยมีซากเจดีย์และอาคารก่อด้วยอิฐอย่างน้อยอีก 2 จุด ซึ่งตอนหลังได้ถูกชาวบ้านรื้อถอนและ ไถกลบไปสันนิษฐานว่า เช่นเดียวกับวัดและชุมชนร่วมสมัยในพื้นที่ใกล้เคียง วัดและชุมชนเหล่านี้คงจะสูญหายไปในคราวที่พม่ายกทัพ เข้าตีกรุงศรีอยุธยา เพราะพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นเส้นทางเดินทัพของพม่าก่อนที่จะเคลื่อนทัพผ่านจังหวัดสุพรรณบุรีไปยัง พระนครศรีอยุธยา ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่คงจะหลบหนีการรุกรานของกองทัพพม่า และกระจัดกระจายหรือเคลื่อนย้ายไปอยู่ในที่อื่น วัดสระลงเรือจึงถูกทิ้งร้างไป วัดสระลงเรือน่าจะถูกทิ้งร้างไปประมาณ150 - 160 ปี จนกระทั่งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2470 ชาวบ้านจากถิ่น ใกล้เคียงได้อพยพเข้ามาทำไร่นาและหาของป่าในบริเวณดังกล่าว ได้มาพบซากโบราณวัตถุ ชาวบ้านเห็นที่ตั้งของวัดมีความเหมาะสม ที่จะเป็นชุมชน โดยเฉพาะการมีสระน้ำ จึงได้เข้ามาตั้งชุมชนบริเวณนี้อีกครั้ง และได้ช่วยกันหักร้างถางพงบริเวณซากโบราณสถาน ดังกล่าว เล่ากันว่าในตอนนั้น ตัวอาคารมีต้นไม้ปกคลุมหนาทึบ และต่อมาก็ได้ช่วยกันสร้างวัด นิมนต์พระมาจำพรรษา รวมทั้งได้มีการ ทำหลังคาใหม่ให้กับพระอุโบสถ และได้ตั้งชื่อวัดขึ้นว่า"วัดสระลองเรือ"เพราะสมัยนั้นบริเวณนี้มีต้นไม้ขนาดอยู่มากจึงมีคนมาตัดต้นไม้ ขุดเรือแล้วนำไปทดลองในสระน้ำชาวบ้านจึงเรียกว่าสระลองเรือ แต่ด้วยสำเนียงการพูดที่เหน่อและห้วนสั้นทำให้เพี้ยนเป็น "สระลงเรือ"อย่างในปัจจุบัน
ต่อมา นายจำเนียร ใคร่ครวญ ซึ่งเป็นชาวบ้านสระลงเรือโดยกำเนิดแต่ได้ไปทำธุรกิจในต่างถิ่น ได้เข้ามากราบขอพรจาก หลวงพ่อใหญ่องค์ดำ (พระพุทธอนันตภูมิสุคคุตโต) ซึ่งในปัจจุบันประทับอยู่ในวิหารแก้ว หน้าพระอุโบสถวัดสระลงเรือ หลังจากนั้น ชีวิตของนายจำเนียร ใคร่ครวญ ก็ได้ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งใจไว้ทุกประการ ต่อมานายจำเนียรจึงได้สร้างและบูรณะ วัดสระลงเรือ ให้เป็นแหล่งวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี โดยเฉพาะการสร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ อนุสรณ์สถาน ลานเจดีย์ วิหารแก้ว เรือสุพรรณหงส์จำลองใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังก่อสร้างรูปเหมือของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมฺรํงสี) องค์ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นไว้อีกองค์หนึ่ง โดยให้เหตุผลว่าตนได้รับพรจากหลวงพ่อใหญ่องค์ดำ จึงได้ตั้งใจสร้างถาวรวัตถุเหล่านี้เพื่อ ทดแทน แผ่นดินบ้านเกิดและทดแทนบุญคุณหลวงพ่อใหญ่องค์ดำ (พระพุทธอนันตภูมิสุคคุตโต) ที่ประทานมาให้แก่ตัวของนายจำเนียร ใคร่ครวญและครอบครัว
- จากกรุงเทพ ใช้เส้นทาง ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านจังหวัดนครปฐม โดยใช้เส้นทางไปจังหวัดสุพรรณบุรี เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 321 (ถนนมาลัยแมน) วิ่งตามเส้นทางจนถึงสามแยกจรเข้สามพันไปทางขวา และเมื่อถึงสามแยกบ่อพลอย (ประมาณ กม.ที่ 67 ) ให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เพื่อเข้าทางหลวงหมายเลข 3342 (บ่อพลอย - อู่ทอง) วิ่งรถตรงไปประมาณ 11 กม. ถึงสี่แยกไผ่สี เลี้ยวขวา เข้าทางหลวงหมายเลข 3443 (ตลุงเหนือ) ตรงไปประมาณ 1.5 กม. ผ่าน โรงเรียนห้วยกระเจาพิทยาคม และโรงพยาบาลส่งเสริมคุณภาพตำบลสระลงเรือ วัดสระลงเรือจะอยู่ฝั่งตรงข้าม
- จากกาญจนบุรีใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 324 (ถนนอู่ทอง) วิ่งตรงไปจนถึงสามแยก จุดบรรจบกับทางหลวง หมายเลข 321 (ถนนมาลัยแมน) เลี้ยวซ้าย ผ่านสามแยกจรเข้สามพันไปทางขวา และเมื่อถึงสามแยกบ่อพลอยให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง หมายเลข 3342 (บ่อพลอย - อู่ทอง) วิ่งรถตรงไปประมาณ 11 กม. ถึงสี่แยกไผ่สี เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3443 (ตลุงเหนือ) ตรงไปประมาณ 1.5 กม. ผ่าน โรงเรียน ห้วยกระเจาพิทยาคม และโรงพยาบาลส่งเสริมคุณภาพตำบลสระลงเรือ วัดสระลงเรือ จะอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยจะมองเห็น เรือสุพรรณหงส์ลำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนถึงวัดสระลงเรือ
- จากนครปฐมใช้ทางหลวงหมายเลข 321 (ถนนมาลัยแมน) มุ่งตรงไปจังหวัดนครปฐม ผ่านสามแยกอำเภออู่ทองเมื่อถึงสามแยก บ่อพลอย ให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3342 (บ่อพลอย - อู่ทอง) วิ่งรถตรงไปประมาณ 11 กม. ถึงสี่แยกไผ่สี เลี้ยวขวาเข้าทางหลวง หมายเลข 3443 (ตลุงเหนือ) ตรงไปประมาณ 1.5 กม. ผ่าน โรงเรียนห้วยกระเจาพิทยาคม และโรงพยาบาลส่งเสริมคุณภาพ ตำบลสระลงเรือ วัดสระลงเรือ จะอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยจะมองเห็นเรือสุพรรณหงส์ ลำที่ใหญ่ที่สุดในโลกก่อนถึงวัดสระลงเรือ
ขอบคุณข้อมูลจาก
paiduaykan.com
โพสต์โดย : ต้นน้ำ