อภินิหารตาหลวงเดชที่ผู้เขียนเคยประสบ
ตัวผมเองก็ประสบกับอภินิหารตาหลวงท่านมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่จะขอนำมาเล่าเพียงครั้งสองครั้งพอ คือ ครั้งหนึ่งที่บ้านพี่สาว (ผมกับแม่อาศัยอยู่บ้านพี่สาว คือพี่เด็จหนูแป้นปัจจุบันอยู่หน้าวัดเขาพระทอง) จำไม่ได้เสียแล้วว่าวันนั้นที่บ้านเขามีงานรื่นเริงอะไรกัน แต่คงเป็นการเลี้ยงฉลองกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ในหมู่คนบ้านใกล้เรือนเคียง แม้ผมจะจำเรื่องงานเลี้ยงไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมจำได้จนวันตายคือ คืนนั้นผมมีอาการเจ็บท้องอย่างแรงชนิดไม่เคยเจ็บมาก่อน แม้จวบจนบัดนี้ก็ไม่เคยเจ็บแบบนั้นเป็นครั้งที่สอง นับได้ว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตก็ว่าได้ (เท่าที่ผ่านมาต่อไปไม่แน่) ทำเอาผู้คนที่มาสรวลเสเฮฮากันที่บ้านต้องตกใจ วิ่งหาหยูกยามาให้กินกันอย่างชุลมุน แต่อาการอันแปลกประหลาดนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง กลับยิ่งรุนแรงขึ้นอีก เพื่อนบ้านคนหนึ่งแนะนำให้พาไปหาหมอที่สุขศาลา แต่สมัยนั้นถนนหนทางลำบาก รถราก็ไม่ค่อยมีใช้ ถ้าจะไปกันจริงก็ต้องหามกลางดึกของคืนนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังนอนหลับกันอย่างเป็นสุข ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อม ๆ กัน เพราะเสียงเอะอะโวยวายของพี่นิคม พอตื่นขึ้นมาก็เห็นพี่ชายร้องขอความช่วยเหลือ พลางกระโดหนีลงไปในห้วยใกล้ ๆ นั้น เพื่อน ๆ ของพี่ชายหลายคนวิ่งตามลงไปจับแกกลับมา พากลับมาให้นั่งพักอยู่ที่ข้างกองไฟ สักพักพอเห็นได้สติคืนมาก็ได้ถามถึงสาเหตุที่ทำให้แก่ต้องลุกขึ้นร้องโวยวายกลางดึก พี่นิคมบอกพวกเราว่า ขณะที่นอนหลับเคลิ้มอยู่มีเสือตัวหนึ่งย่องเข้ามาจนถึงตัวแก พอมันอ้าปากทำท่าจะกัด แกลืมตาขึ้นเห็นพอดีจึงรีบกระโดดหนีพร้อมร้องขอความช่วยเหลือ พี่สุทินซึ่งอยู่ติดกับพี่นิคม บอกว่าขณะที่พี่นิคมลุกขึ้นร้องโวยวายว่าเสือจะกัด แกตื่นก่อนแล้ว และเห็นพี่นิคมนอนบิดตัวร้องอื้ออ้าเหมือนละเมออยู่นานแล้ว แกเห็นว่าไม่ร้ายแรงอะไรจึงไม่อยากปลุกให้ตื่น แต่พอแกพลิกตัวหันหลังให้ บังเอิญศอกไปโดนตัวพี่นิคมเข้าเท่านั้น พี่นิคมกลับสะดุ้งตื่นลุกขึ้นวิ่งหนีพร้อมร้องโวยวายว่าเสือจะกัด ทุกคนที่อยู่ในนั้นเมื่อได้รู้อย่างนั้นก็ปักใจเชื่อว่า เสือที่พี่ชายผมเห็นนั้นต้องเป็นเสือตาหลวงเดชแน่นอน เพราะพี่สุทินยืนยันว่าแกไม่เห็นเสือย่างกรายเข้ามาในบริเวณนั้นแน่นอน ประกอบกับว่าก่อนนอนทุกคนได้ยินพี่ชายผมพูดจาทำนองลบหลู่ดูหมิ่นจาหลวงเดช ผมเองก็ได้ยิน แต่ก็ไม่คิดอะไรมากตามประสาเด็ก ๆ คือจะบอกว่าเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้
เครื่องเซ่นไหว้ที่ตาหลวงเดชชอบ
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านาชอบเครื่องเซ่นสรวงไม่เหมือนกัน เช่น หลวงปู่ทวด ชอบมาลัยดอกมะลิ เจ้าของจีนชอบหัวหมู ไข่ต้ม เป็นต้น ตาหลวงเดชก็เช่นกัน ท่านชอบเครื่องเซ่นไหว้ที่แตกต่างจากเจ้าอื่น ๆ ออกไปคือ ชอบไก่ปากทอง (บางครั้งก็ไก่คาบทอง) เหล้าและหมากพลูบุหรี่ ฉะนั้นเมื่อใครจะบนบานศาลกล่าวถึงตาหลวงเดชก็มักจะต้องบอกว่า เมื่อสำเร็จได้ดังที่ร้องขอไว้แล้ว ก็จะนำไก่ปากทอง ไก่คาบทอง เหล้า และหมากพลูบุหรี่มาเป็นเครื่องเซ่นสรวง หลายท่านคงสงสัยว่า ไก่ปากทอง ไก่คาบทองที่ตาหลวงเดชท่านชอบ มันเป็นอะไรกันแน่ ไก่ปากทองไม่ได้เป็นไก่ที่มีปากสีทอง หรือเอาไก่เป็น ๆ ไปเลี่ยมทองที่ปาก (ทำแบบคนเลี่ยมฟัน) แต่เป็นไก่ธรรมดานี่เอง เอาจัดการต้มทั้งตัว พอสุกแล้วนำไปใส่ถาด เอาทองคำเปลวไปปิดปากมันให้ดูเหลืองอร่าม เพื่อเป็นการแก้เคล็ด และเหมือนว่าตาหลวงเดชท่านก็จะถูกใจเสียด้วยเพราะยอมรับเครื่องเซ่นสรวงนั้นด้วยความเต็มใจดี ไม่แสดงปาฏิหาริย์ออกมาในทางให้เห็นท่านโกรธเคือง ส่วนไก่คาบทองก็ทำแบบเดียวกันกับไก่ปากทอง แปลกกันแต่แต่เพียงแทนที่จะเอาทองคำเปลวไปปิดปากไก่ แต่กลับเอาขมิ้นมาขูดเปลือกออกให้หมด จนสีทองของมันสุกปลั่งแล้วนำไปสอดไว้ในปากไก่ ก็นับว่าเป็นวิธีหลอกเจ้าได้อย่างดีเยี่ยมอีกวิธีหนึ่งของชาวบ้าน และทุกครั้งที่มีการแก้บนตาหลวงเดช สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้อีกสองสามอย่าง ก็คือ เหล้า และหมากพลูบุหรี่ ตอนมีชีวิตอยู่ตาหลวงเดชคงชอบของพวกนี้มาก คงจะไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไรใช่ไหม ถ้าเจ้าที่ไปจากปุถุชนอย่างตาหลวงเดชจะชอบสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะผู้ที่นิยมไสยศาสตร์เวท คงจะหลีกหนีเรื่องนี้ไม่พ้น
ศาลตาหลวงเดช
ตามที่ได้ทราบมาเกี่ยวกับเรื่องศาลตาหลวงเดช ปรากฏว่าหลังแรกสร้างขึ้นบนที่ดินของท่านใกล้ ๆ กับขนำน้อยกลางป่าที่ท่านเคยอาศัยอยู่ โดยมีลักษณะคล้าย ๆ กับขนำน้อยหลังนั้น แต่ต่อมาศาลหลังนั้นโดดแดดโดนฝน ถูกมดปลวกกัดกินจนต้องผุพัง ลงตามกาลเวลา จึงมีผู้ไปสร้างขึ้นใหม่ ที่บ้านหน้าควนหรั่ง (ควนหรั่งอยู่ห่างจากบ้านมาลัย และควนตาหลวงเดชไปประมาณ ๓ กิโลเมตร) โดยสร้างแบบลักษณะเดิมและตั้งไว้เคียงคู่กับศาลของตาหลวงรอง ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถให้เห็นได้ วันนั้นรีบร้อนเกินไปเพราะมีธุระจำเป็น ดังที่จะบอกให้ทราบข้างหลัง) แต่ต่อมามีผู้สร้างศาลตาหลวงเดชขึ้นใหม่บนที่ดินของท่าน (คือที่ควนตาหลวงเดชที่ศาลหลังแรกเคยตั้งอยู่) อีกครั้ง สร้างแล้วก็พังไป เมื่อพังไปก็สร้างขึ้นมาใหม่อีก ชาวบ้านทำอยู่อย่างนี้จนกระทั่งเป็นหลังเล็ก ๆ(ดังในภาพ) ศาลหลังนี้ทราบข่าวว่าสร้างขึ้นเพราะทีผู้บนตาหลวงเดชว่า ขอให้ถูกหวยสักครั้งจะสร้างศาลใหม่ให้ ปรากฏว่าเมื่อหวยออก เขาคนนั้นถูกจริง ๆจึงได้มาสร้างศาลใหม่ให้เป็นการแก้บน และเรียกชื่อศาลนั้นว่า “ศาลตาหลวงเดช ๔๘๐ (เลขสี่ข้างหน้าดูไม่ชัด ไม่ทราบว่าเป็นสี่หรือหกกันแน่ แต่ผมดูเป็นเลขสี่มากว่าจึงเอาเป็น ๔๘๐ ไม่ทราบว่าออกในงวดไหน ในปีไหน ขอท่านผู้สันทัดตรวจดูเอาเอง แต่คิดว่าคงจะเลยสามปีมาแล้วแน่ เพราะสังเกตจากสภาพศาลก็เก่าพอดูแล้ว) แต่แม้ว่าศาลใหม่นี้จะเป็นเพียงศาลเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นแทนของเก่า (ไม่ทราบว่าลักษณะเพี้ยนไปจากของเก่าบ้างหรือเปล่า ผมไม่ได้เห็นศาลเก่า แต่ดูแล้วศาลหลังนี้ไม่มีส่วนคล้ายขนำเลย) และเป็นศาลเล็ก ๆ ที่ดูแล้วไม่น่าขลังอหังกาเท่าไหร่นก แต่ชาวบ้านก็ให้การเคารพนับถือไม่แพ้ศาลก่อน ๆ ศาลนี้ (ในภาพ) ตั้งอยู่บนควนตาหลวงเดช (ควนตาหลวงเดชอยู่ติดกับบ้านลาไม ซึ่งจะเรียกว่า ควนตาหลวงเดช เป็นส่วนหนึ่งของบ้านลาไมก็ได้) รอบ ๆ ข้างเป็นสวนยางอันร่มรื่น อยู่ข้างถนนสายตัดไปยังควนมีชัย ซึ่งเป็นถนนชอบที่แยกจาก ถนนเอเชียสายสี่ ลึกเข้าไปทาด้านทิศตะวันตกประมาณ ๒ กิโลเมตรเศษ ๆ ก็จะถึงบ้านลาไม และเลยจากบ้านลาไมไปประมาณเพียงครึ่งกิโลเมตร จะถึงควนตาหลวงเดช ตรงมุมหัวเลี้ยวนั่นแหละเป็นหัวเลี้ยงบนควนตาหลวงเดช ชาวบ้านละแวกนั้น หรือผู้คนถิ่นใกล้เคียงเวลาเดินผ่านหน้าศาลตาหลวงเดช ก็จะต้องหยุดหันไปทำความเคารพศาลตาหลวงเดชท่านเสียก่อน จึงจะเดินผ่านไป พวกชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำอย่างนั้น จะมีอาเพศร้ายเกิดขึ้น แม้กระทั่งผู้ขับขี่ยวดยานผ่านไปทางนั้น เมื่อถึงหน้าศาลตาหลวงเดชก็ต้องบีบแตรเป็นทางการเคารพท่านก่อนจะผ่านไป ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ ๆนั่น เล่าให้ฟังว่า “ครั้งหนึ่งมีรถคนต่างถิ่นวิ่งผ่านมาบนถนนสายนั้น เมื่อผ่านหน้าศาลตาหลวงเดชก็ไม่ได้บีบแตร จะเป็นเพราะเขาไม่รู้หรือรู้แล้วไม่เชื่อก็ไม่อาจทราบได้ แต่พอรถคันนั้นวิ่งผ่านไปได้ไม่ถึง ๓๐ เมตรก็เกิดชนกับรถอีกคันหนึ่งที่วิ่งสวนมาอย่างจังอันเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บหลายคน (ไม่ทราบว่ามีตายบ้างหรือเปล่าเพราะพอส่งโรงพยาบาลไปแล้ว ผู้เเล่าบอกว่าเขาไม่ได้ติดตามข่าวอีกเลย) และปกติที่ศาลตาหลวงเดชนั้นจะมีขวดเหล้าวางอยู่ข้างหน้าเสมอเพราะผู้คนที่เคารพศรัทธาท่าน ถึงคราวที่ผ่านไปทางนั้นก็มักจะซื้อติดไม้ติดมือไปบวงสรวง แต่วันที่ผมไปถึงที่ศาลไม่มีขวดเหล้าปรากฏอยู่ข้างหน้าอย่างวันก่อน ๆ พบแต่ขวดเปล่าวางระเกะระกะอยู่ข้างเสาศาลสี่ห้าลูก ไม่ทราบว่าศิษย์คนไหนมาขอเดนขอชานไปจัดการเสียก่อนแล้ว แต่ก็ยังรอบเหล้าหกบนแผ่นกระดาษหน้าศาล และกลิ่นเหล้ายังคงโชยเข้าจมูกอยู่เพราะส่วนมากแล้ว เมื่อมีผู้นำเหล้าไปวางเซ่นไหว้ตาหลวงเดชแล้วก็จากไป ใครเดินผ่านมาเห็นเข้าก็สามารถนำไปกินต่อได้ แต่ต้องทำพิธีขออนุญาตตาหลวงเดชเสียก่อน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “พิธีขอเดนขอชาน”
ความจริงแล้วผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยเป็นคนที่เคารพในเหตุผล ชอบพุดชอบทำอะไรอย่างมีหลักฐาน จึงพยายามรอโอกาสหาข้อมูลอยู่ อันที่จริงข้อมูลเหล่านี้ผมได้ทราบมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง มาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะเรื่องเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในหมู่บ้านอย่างไม่รู้จบ เด็กจึงมีโอกาสรู้เท่าผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่มักจะเล่าให้เด็ก ๆ ฟังเสมออยู่มาครั้งหนึ่งผมตัดสินใจจะเขียนเรื่องนี้เพื่อจะเผยแพร่ให้ชาวบ้านในท้องถิ่นอื่นทั้งไกลใกล้ได้รับทราบบ้าง ผมจึงได้เขียนจดหมายไปให้ญาติคนหนึ่งซึ่งเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนที่ใกล้กับควนตาหลวงเดช (โรงเรียนหนองนนทรี) แต่บัดนี้เขาย้ายไปสอนที่อื่นเสียแล้ว เพื่อจะให้ครูคนนั้นช่วยไปถ่ายรูปและหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติตาหลวงเดชให้ โดยที่ผมเสียค่าใช้จ่ายให้และได้ส่งฟิล์มม้วนหนึ่งใช้ถ่ายหลายสิบรูป จะถ่ายเฉพาะศาลตาหลวงเดชอย่างเดียวก็เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ก่อนไปถ่ายรูปศาลตาหลวงเดชเขาจึงลองถ่ายรูปลูกๆ ของเขาบ้าง รูปนักเรียนบ้าง รูปญาติในบ้านเขาบ้าง จนเหลือฟิล์มอยู่ประมาณสิบกว่ารูป จึงนำไปถ่ายศาลตาลหลวงเดชต่อ ถ่ายไปทั้งหมด ๑๐ รูป แต่เห็นฟิล์มยังเหลืออยู่อีก ๕ รูป จึงนำมาถ่ายรูปคนที่บ้านของเขาต่อจนหมด แล้วถอดฟิล์มส่งมาให้ผมที่กรุงเทพฯ ผมพอได้รับฟิล์มม้วนนั้นแล้วก็ดีใจมาก ด้วยรอคอยมาหลายวันแล้ว จึงรีบนำไปล้างและอัดเป็นรูปทันที สิ่งที่ปรากฏต่อมาทำให้ผมผิดหวังมาก คือในฟิล์มม้วนนั้นไม่มีภาพศาลตาหลวงเดชติดมาเลยสักภาพ จะว่ากล้องเสีย ฟิล์มเสียก็ไม่ใช่ เพราะภาพที่ครูถ่ายลูกเมีย และสิ่งอื่น ๆ ทั้งข้างหน้าข้างหลังติดชัดเจนทุกภาพ เหลือแต่ช่วงกลางประมาณ ๑๐ รูปเท่านั้นที่ไม่ติดอะไรเลยกลับยังนึกเคืองครูคันนั้น เพราะคิดว่าหลอกลวงเรา หลอกให้เรานำภาพาของเขา ภาพลูกภาพเมีย แม่ยาย พ่อตา น้องเมีย สารพัดเครือญาติของเขาไปล้าง แต่สิ่งที่ผมสั่งกลับไม่ได้ตามต้องการ ผมจึงรู้สึกเคืองอยู่นานเพิ่งหายเมื่อไม่นานมานี้เอง
ครั้งที่สอง ผมได้เขียนจดหมายไปขอร้องพระที่ควรเคารพนับถือกันรูปหนึ่ง ซึ่งท่านจะพรรษาอยู่ที่วัดรักขิตวัน (โคกรัก) วัดนี้อยู่ในตลาดเพื่อขอร้องให้ท่านช่วยไปถ่ายภาพศาลตาหลวงเดชให้ ท่านก็เมตตาไปจัดการให้ตามที่ผมต้องการ และได้ทำแบบที่ครูคนนั้นทำ คือ เมื่อเห็นว่ามีฟิล์มเหลือ ก็เลยใช้ถ่ายรูปพระเณรในวัดจนหมดม้วนแล้วถอดส่งมาให้ผม พอได้รับผมก็รีบนำไปล้างและอัดเป็นรูปตามเคย และสิ่งที่ปรากฏต่อมาก็เหมือนเก่าไม่มีผิด คือในฟิล์มม้วนนั้นไม่มีภาพของศาลตาหลวงเดชติดอยู่เลยสักภาพเดียว มีแต่ภาพพระเณรแดงพรืดไปหมด ผมมารู้สึกแปลกใจในครั้งนี้เองจึงไม่ได้คิดโกรธพระครูรูปนั้นอย่างเมื่อครั้งครูช่วยจัดการให้ พอดีหลังจากนั้นสองสามวันผมได้ยินคนข้าง ๆ เขาคุยกันถึงเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาคุยกันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเขาไปเที่ยวทัศนาจรกันแล้วก็เลยแวะเข้าไปกราบนมัสการ พระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อองค์หนึ่ง ทางภาคเหนือ เมื่อกราบท่านเสร็จแล้วก็ได้ถ่ายรูปไว้เพื่อจะเอามาล้างแล้วเก็บไว้บูชา แต่การถ่ายครั้งนั้นไม่ได้บอกให้ท่านทราบ ในฟิล์มม้วนนั้นจึงไม่มีภาพนนของท่านติดอยู่ พวกเขาเชื่อกันว่าท่านคงไม่ให้รูปจึงไม่ติด ผมได้ยินดังนั้นก็นึกเรื่องของตัวเองขึ้นได้ และคิดว่าเรื่องที่เขาพูดกันนั้นคงจะมีส่วนจริง เลยคลายความเคืองครูคนนั้นลงตั้งแต่นั้นมา
ตาหลวงเดชช่วยชีวิตผู้เขียน
หลังจากที่ผิดหวังมาสองครั้งแล้ว ผมก็ได้แต่รอโอกาสกลับบ้านเพื่อจะได้เลยไปถ่ายภาพและหา ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติตาหลวงเดชเพิ่มเติมด้วยตัวเอง ความจริงแล้วเวลาว่างพอมีที่จะฉวยโอกาสไปหลายครั้ง แต่เห็นว่าถ้ายอมเสียค่ารถและยอมเสียเวลานั่งรถข้ามวันข้ามคืนเพื่อธุระเพียงแค่นี้ก็ดูไม่คุ้ม จึงได้แต่คอยโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านตามฤดูกาลประจำปี คือจะกลับไปในเดือนห้าของทุกปี เพื่อจะไปอาบน้ำ (สรงน้ำ) ผู้เฒ่าผู้แก่ตามประเพณี แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั่นผมมีเรื่องด่วนที่จะต้องกลับบ้านอย่างกะทันหัน คือเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ของปีนี้ขณะที่ผมนั่งเขียนหนังสืออยู่ ก็ได้มีคนโทรศัพท์ทางไกลมาหา พอรับสายทราบเรื่องราว ผมแทบลมใส่เพราะข่าวร้ายที่เล็ดลอดมาตามสาย คือคุณพ่อของผมเสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลนคร
เรื่องมันเป็นอยู่อย่างนี้ครับ
ผมกลับไปถึงกลับก็ได้ร่วมกันจัดการงานศพพ่อ ตามที่ได้ตกลงร่วมกันกำหนดวันขึ้น คือ สวด ๗ คืน แต่ก่อนที่ผมจะกลับไปถึงสวดไปก่อนแล้วหนึ่งคืน ผมจึงไปทันเพียง ๖ คืนเท่านั้น และได้ทำการประชุมเพลิงในวันที่ ๓๐ สิงหาคม หลังจากประชุมเพลิงแล้วผมจะกลับเลยทันทีก็ไม่ได้ เพราะต้องรอเก็บอัฐิจัดการใส่โกฏใส่บัวให้เรียบร้อยเสียก่อน และตามธรรมเนียมลูก ๆ มักจะเอาติดตัวไปคนละนิดคนละหน่อย เพื่อจะเอาไปไว้กับตัวให้อุ่นใจว่าพ่อยังอยู่กับเรา ผมก็มีความคิดเห็นเหมือนพี่ ๆ จึงได้รอจนถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม วันนั้นหลังจากเก็บอัฐิและแบ่งกระดูกกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกพี่ ๆ ต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตน แต่พี่สาวคนหนึ่งคือคนที่มาจากกรุงเทพฯ ด้วยกัน ต้องเดินทางไปหาดใหญ่ในวันที่เผาเสร็จ (๓๐ สิงหาคม) เพื่อจะไปเอาเงินมาชำระค่าใช้จ่ายในงานให้หมดก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อม ๆ กัน ผมก็จึงต้องรอพบพี่สาวก่อน เพื่อจะได้สะสางรายรับรายจ่ายกันให้เสร็จก่อนที่แยกย้ายกันไป วันนั้น ขณะที่นั่งทานข้าวกันอยู่มีใครคนหนึ่งพูดถึงเรื่องตาหลวงเดชขึ้นมา ทำให้ผมนึกได้ว่าต้องการจะถ่ายรูปศาลของท่านอยู่พอดี ความเสียใจและวุ่น ๆ อยู่กับการจัดงานศพพ่อทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ แต่เมื่อมีผู้พูดขึ้นก็นึกได้ทันที และเห็นว่าตัวเองมีกล้อง และฟิล์มในกล้องก็เหลืออยู่สามสี่รูป จึงชวนผู้รู้จักทางไปควนตาหลวงเดชไปเป็นเพื่อน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครว่างเพราะยู่งอยู่กับการคืนของที่ยืมมาใช้ในงานทุกคน ผมจึงตัดสินใจเข้าไปในวัดขอร้องพระรูปหนึ่งซึ่งรู้จักกันมาก่อน คือ พระลิขิตแพ่งยา ขอร้องให้ท่านไปเป็นเพื่อน ที่เลือกท่านก็เพราะเห็นว่าท่านมีบ้านอยู่ที่นั้น คงจะรู้จักหนทางดี ท่านก็ให้ความเมตตาโดยเต็มใจที่จะนำไป ผมจึงนิมนต์ท่านให้นำทางไปทันที ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาพระทอง ซึ่งอยู่ห่างจากควนตาหลวงเดชไม่ไกลเท่าไหร่นักแต่ถ้าเดินไปก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรเหมือนกัน ผมไม่อยากสร้างบาปโดยการทรมานพระ จึงได้ว่าจ้างมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งให้ไปส่ง ผู้ที่เป็นคนขับมอเตอร์ไซค์คันนี้คือคุณอรุณ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลายชายผมเอง คุณอรุณพาเราไปถึงที่หมาย (ควนตาหลวงเดช)ในเวลาถัดมาไม่นานนัก เมื่อไปถึงคุณอรุณก็จอดลงหน้าศาลตาหลวงเดช แล้วเดินนำหน้าพวกเราไปที่ศาลตาหลวงเดช ซึ่งอยู่ห่างจากถนนไม่ถึงยี่สิบเมตร พอไปถึงผมได้จุดธูปเทียนทำการขอขมาลาโทษและขออนุญาตถ่ายรูปศาลของตาหลวงท่าน เพราะคิดว่าที่ให้ครูและพระที่วัดรักขิตวันมาถ่ายให้ ท่านทั้งสองไม่ได้ทำการขออนุญาต ตาหลวงเดชจึงไม่ให้ ภาพเลยไม่ติด นอกจากขออนุญาตถ่ายรูปแล้ว ผมยังขอพรให้ท่านคุ้มครอง ปกป้องรักษาให้ปลอดภัยในการขึ้นรถลงเรือไปไหนมาไหน พร้อมทั้งขออะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง (แต่รับรองได้ว่าวันนั้นไม่มีการขอหวย) จากนั้นผมจัดการยกกล้องส่องตั้งเลนส์หาศูนย์ ถ่ายภาพศาลตาหลวงเดชไว้ ๓ ภาพ เพราะฟิล์มเหลืออยู่แค่นั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ภาพที่ใกล้ที่สุดไม่ติด เพราะผมลืมเปิดหน้ากล้อง หลังจากทำการถ่ายภาพเสร็จ พวกเรา (ผม พระลิขิต และคุณอรุณ) ก็พากันเดินกลับมาที่มอเตอร์ไซค์จอดอยู่ จะรีบเพราะผมต้องรีบไปหาดใหญ่ให้ทันเครื่องบินขึ้น คือเวลา ๑๕.๐๕ น. แต่เมื่อกลับมาถึงที่จอดรถอยู่ สิ่งที่ปรากฏต่อมาทำให้อารมณ์ของผมเริมหงุดหงิด ก็เพราะล้อรถคันนั้นเกิดรั่วจนแบบแต๊ดแต๋ ทั้งที่ก่อนจะไปยังศาลตาหลวงผมยังหันมามองเห็นมันยังกลมอยู่เหมือนล้อหน้า และผมจากไปเพียงสิบกว่านาที ไม่น่าจะเปลี่ยนไปเร็วถึงขนาดนี้ แต่จะอย่างไรก็ตามตอนนั้นเราทั้งสามไม่สามารถจะลงจากควนพร้อมกัน โดยอาศัยมอเตอร์ไซค์คันนั้นได้ คุณอรุณจึงบอกให้ผมกับหลวงพี่ลิขิตเดินตามมา ส่วนเขาจะนำรถไปสูบลมใหม่ที่บ้านหน้าควนหรั่ง ซึ่งอยู่ห่างจากที่นั้นไปประมาณ ๓ กิโลเมตรกว่า ๆ ผมหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู เห็นว่าถ้าคุณอรุณรีบสักนิดก็คงจะมารับผมทัน และผมก็คงไปหาดใหญ่ทันเครื่องบินขึ้นแน่ อีกทังไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ผมจึงบอกให้คุณอรุณไปก่อนได้ ส่วนตัวผมเองกับหลวงพี่ลิขิตเดินลงมาปกติแล้วถนนสายนั้นมีรถรับจ้างวิ่งผ่านอยู่ประจำ แต่วันนั้นมันช่างบังเอิญที่ตลอดระยะทางที่ผมกับหลวงพี่เดินมา ไม่มีรถอะไรวิ่งผ่านมาเลยสักคัน ผมกับหลวงพี่จึงเดินกันมาพลางคุยกันมาพราง เรื่องที่ยกคุยก็ไม่พ้นเรื่องตาหลวงเดชนั่นแหละ หลวงลิขิตแนะนำให้ผมไปสอบถามหาข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เฒ่าผู้แก่ในละแวกบ้านนั้น เพราะว่ามีผู้เฒ่าบางคนที่เป็นลูกหลานสืบเชื้อสายมาจากตาหลวงเดช ผมเห็นว่าไหน ๆ ก็ต้องรอคุณอรุณอยู่แล้วก็เลยตกลงไปตามที่หลวงพี่ท่านแนะนำ แต่พอหลวงพี่พาไปถึงบ้านผู้เม่าเหล่านั้น ก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญซ้ำสองที่ไม่มีผู้เฒ่าคนไทยอยู่บ้านเลย ไปอยู่บ้านลูกต่างถิ่นเสียบ้าง ไปวัดเสียบ้าง เป็นอันว่าผมต้องผิดหวังอีกครั้ง แต่ก็ไม่ละความพยายามยังสืบหาบ้านเฒ่าคนอื่นต่อไปแต่ขณะที่ตามหลังหลวงพี่ลิขิตไปนั้น หลวงพี่ท่านได้พูดถึงน้องชายของท่านคนหนึ่งว่า มามีครอบครัวตั้งรกรากอยู่ที่นี่ พอผมถามชื่อเขาดูปรากฏว่าเป็น คุณบุญโชติ แพ่งโยธา เป็นเพื่อนคนหนึ่งของผมซึ่งรักกันมากตั้งแต่สมัยที่เรียนชั้นประถมมาด้วยกัน แต่หลังจากผมจบจากโรงเรียนนั้นแล้ว เราก็แยกจากกันและไม่ได้พบกันอีกเลยตราบเท่าวันนี้ พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักมามีครอบครัวตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นั่น ทำให้ผมดีใจจนลืมเรื่องสืบหาผู้เฒ่าเสีย ได้ขอให้หลวงพี่ลิขิตช่วยนำทางไปที่บ้านเพื่อนรัก แต่หลวงพี่บอกท่านไม่มั่นใจว่าบุญโชติจะอยู่บ้านหรือเปล่า เพราะปกติเวลานี้เขายังไม่กลับจากสวนยาง ผมคะยั้นคะยอว่าลองเสี่ยง ๆ ไปดู เผื่อโชคมีก็จะได้พบกัน หลวงพี่จึงตามใจผมนำไปที่บ้านคุณบุญโชติ ซึ่งใกล้กับควนตาหลวงเดชนั่นเอง พอไปถึงที่บ้านครบุญโชติก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอีกนั่นแหละ ที่คุณบุญโชติกลับมาถุงพอดี เทราเลยได้พบกัน
เมื่อเห็นผมไปเยี่ยมเยือนถึงบ้าน คุณบุญโชติก็ดีใจมากรีบออกมาต้อนรับขับสู้ด้วยความยินดีปรีดา เชื้อเชิญให้เข้านั่งในบ้าน แนะนำให้รู้จักลูกเมีย ผมเองก็ดีใจจนลืมเรื่องคุณอรุณเสียสนิท จึงเข้าไปนั่งบ้านเพื่อนรัก จากานั้นเราทั้งสองก็ได้พูดคุยกันถึงเรื่องใหม่และเรื่องเก่าที่มีมาแต่หนหลัง เรานั่งคุยกันเสียเพลินจนถึงเรื่องใหม่และเรื่องเก่าที่มีมาแต่หนหลัง พอดีได้ยินเสียงรถดังขึ้น ทำให้ผมนึกได้ว่านัดให้คุณอรุณมารับ ป่านนี้คุณอรุณคงเที่ยวหากันวุ่นแล้ว เพราะผมไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะแวะเข้าบ้านไหน เพียงแต่บอกว่าจะเดินไปเรื่อย ๆ บนถนนสายนั้น สักพักคุณอรุณก็ขับรถมาจอดลงหน้าบ้าน แล้วเดินเหงื่อแตกซิก ๆ เข้ามาบอกว่า เขาเที่ยวตามหาผมหลายแห่งแล้ว แต่ชาวบ้านก็บอกว่าไปบ้านโน้นไปบ้านนี้ เขาก็ยังตามที่ชาวบ้านบอก แต่ก็ไม่เจอผมในที่นั้นเพราะผมไม่ได้แวะนั่งบ้านไหนเลยนอกจากบ้านคุณบุญโชติ เมื่อคุณอรุณพูดขึ้นผมก็นึกขึ้นได้ว่าต้องต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินที่หาดใหญ่จึงบอกาเพื่อนรักและลูกเมียเขารีบกลับทันที เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ปรากฏว่าพี่สาวกลับมาจากหาดใหญ่กำลังรอปมอยู่ และได้จัดการเรื่องรายรับรายจ่ายเสร็จไปเรียบร้อย ยังรอแต่ผมคนเดียวพอกลับมาพร้อมหน้ากันทั้งสามคน คือ ผม พี่สาว และพี่ชายคนที่ไปด้วยกัน ก็พร้อมเดินทางออกจากบ้านหน้าวัดเขาพระทอง โดยจะไปแยกกันที่ตลาดชะอวด พี่ทั้งสองจะแวะขึ้นรถไฟที่นั้น ส่วนผมต้องขึ้นรถต่อไปพัทลุง เพื่อจะไปต่อรถไปหาดใหญ่ที่นั้น
แต่พอไปถึงพัทลุงผมหยิกนาฬิกาขึ้นดูอีกทีก็ใจหายวาบเพราะตอนนั้นมันเป็นเวลา ๑๕.๐๐ น.แล้ว ยังเหลือเวลาอีก ๕ นาทีเท่านั้นที่เครื่องบินจะได้เวลาขึ้น เพียง ๕ นาทีจะให้ทันเดินทางจากพัทลุงไปถึงหาดใหญ่ทานได้อย่างไร ไม่ว่านั่งเครื่องบินไปหรือจะเหาะไปก็คงไม่ทันแล้ว ผมเสียใจก็เสียใจเสียดายเงินก็เสียดายแต่จะโทษใคร เรื่องทั้งหมดตัวเองเป็นคนก่อขึ้นเองทั้งนั้น ไม่มีใครขอให้ช่วยหรือบังคับให้ทำ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจแวะพักที่พัทลุง เพื่อโดยสารรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ ในเย็นนั้น
พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น พบข่าวเครื่องบินตกที่ภูเก็ตบนหน้าหนังสือพิมพ์ก็รีบอ่านดุทันที พอพบเที่ยวบินที่ปรากฏเป็นข่าวก็ยังไม่แน่ใจ นำตั๋วออกมาดูอีกครั้ง เห็นว่ามันตรงกันแน่แล้ว ก็ล้มตึงลงนอนด้วยความโล่งอก สักพักก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลานชายเป็นคนไปรับสาย ปรากฏว่าเป็นพี่สาวโทรมถามว่าได้อ่านข่าวเครื่องบินตกแล้วหรือยัง เสียงพูดของพี่สาวมีเสียงร้องไห้ปนมาด้วย เพราะพี่มั่นใจว่า ผมต้องจบชีวิตลงพร้อมหับโบอิ้ง ๗๓๗ ลำนั้นแนะแล้ว แต่พอหลานชายบอกว่าผมกลับมาถึงแล้ว โดยมารถทัวร์ พี่สาวกลับยิ่งร้องไห้เพราะเสียใจแต่ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกก็เลยได้แต่ร้องไห้ ด้วยความตื้นตันใจที่เห็นผมรอดตายมาอย่างหวุดหวิด วันนั้นหลังจากวางสายแล้วพี่สาวก็รีบจับแท็กซี่บึ่งมาหาผมทันที พอผมถึงป้อนคำถามเรื่องสาเหตุที่ทำให้ไปไม่ทันเครื่องบินขึ้นทันทีเช่นนั้น พอทราบความก็คะยั้นคะยอเชิงบังคับให้ผมรีบไปทำบุญเลี้ยงพระ สะเดาะเคราะห์เสีย และยังบังคับให้รีบกลับไปขอบคุณตาหลวงเดชที่ศาลท่านด้วย
การที่ผมรอดตายมาครั้งนี้ หลายท่านอาจจะคิดว่า เป็นเรื่องบังเอิญที่รถเกิดเสียขึ้นมา หรือเป็นเพราะดวงของผมยังแข็ง หรือว่าเป็นเพราะยมพบาลไม่ค่อยชอบหน้าผม จึงไม่เอาไปในตอนนี้ แต่ท่านคิดอย่างไรก็แล้วแต่เรื่องนี้ผมเป็นคนรู้ดีที่สุด ผมรู้ดีว่าถ้าไม่มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นขัดขวางเสียก่อน ผมต้องทันเครื่องบินขึ้นแน่ และผมต้องกลายเป็นศพที่ ๘๔ เป็นแน่เหมือนกัน เพราะผมเสียดายค่าเครื่องบินที่ต้องเสียไปฟรี ๆ เป็นพัน ๆ ที่ผมรอดตายมาได้ครั้งนี้ จึงมั่นใจเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของตาหลวงเดชเป็นแน่ เป็นเพราะตาหลวงเดชท่านยังเมตตาลูกหลายนอกคอกคนนี้อยู่ และด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้ นำไปประกอบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผมเคยประสบมา ทำให้ผมเปลี่ยนเป็นผู้เชื่อว่า ในโลกนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่จริง ถ้าหากตาหลวงเดชท่านสามารถจะรับรู้ด้วยเถิดว่าลูกหลานหัวดื้อรั้นคนนี้กลับใจแล้ว และขอให้ตาหลวงท่านโปรดให้อภัยกับสิ่งต่าง ๆ ที่ลูกหลานกระทำขึ้นซึ่งส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นด้วย จะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็แล้วแต่ ขอได้โปรดอภัยให้ผมด้วยเถิด.