Social :



ตำนานสฟิงค์ (Spinx)

14 ก.ค. 59 20:02
ตำนานสฟิงค์ (Spinx)

ตำนานสฟิงค์ (Spinx)

 "สฟิงค์ (Spinx)"  เป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัวเดียวกันตามความเชื่อของคนแถวอียิปต์ จะว่าเฉพาะอียิปต์ซะทีเดียวก็จะรวบรัดไป เพราะสฟิงซ์มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ต่างไปตามการแต่งเติมสีสันให้น่ากลัวมากขึ้นเท่าไร อย่างของชาวกรีกสฟิงซ์จะมีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโตและมีปีกแบบนกอินทรี ส่วนของอียิปต์หรือพันธุ์ที่เราเรียกว่า  "แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx)"  ก็มีรูปร่างเหมือนชาวกรีกนั่นแหละเพียงแต่ว่าไม่มีปีกเท่านั้นเอง และของพวกอียิปต์อีกเช่นกันที่สฟิงซ์แตกเผ่าเป็น  "ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx)"  ที่มีหัวเป็นแกะบ้างหรือเป็นนกเหยี่ยวบ้าง ในเปอร์เซีย (Persia), แอสซีเรีย (Assyria), และฟีเนียเซีย (Phoenicia) มีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ ตัวผู้จะมีหนวดและผมหยักศก ส่วนของโรมโบราณเป็นผู้หญิงและอาจจะเป็นแบบที่ส่งผ่านมาให้กับอียิปต์ก็ได้เพราะว่าตัวนี้สวม "งูแอสพ์ (Asp)" คาดอยู่ที่หน้าผากด้วย 


     สฟิงซ์ของตะวันออกกลางเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่า "ฉลาด" ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะมันจะเปิดเผยสิ่งที่มันรู้ยากมาก มันพอใจที่จะนอนผึ่งแดดอย่างเป็นสุข ท่ามกลางการเคารพบูชาของผู้ที่เทิดทูนมัน ส่วนสฟิงซ์ของพวกกรีกกลับมีลักษณะที่ตรงกันข้าม มันทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรงและกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคนเป็นอาหารเสียด้วยลักษณะที่เด่นชัดของสฟิงซ์กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคล้ายแมวหรือจะว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย นั่นคือมันจะพูดคุยหยอกเหยื่อของมันก่อนที่จะสวาปามเข้าไป แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเกิดเหยื่อหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่างด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเองก็บ่อย






สฟริงซ์ของชาวกรีก




      เรื่องราวเกี่ยวกับสฟิงซ์ของกรีกที่โด่งดัง  เรื่องหนึ่งเห็นจะไม่พ้นเรื่องของ "เจ้าแม่เฮรา (Hera)" ซึ่งมอบหมายหน้าที่ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ "ไดโอนิซุส" เทพแห่งเมรัยได้มาสอนการทำไวน์ให้แก่ชาวเมืองนี้ ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหาที่เรียกกันว่า  "ปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx)"  ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระหากตอบปัญหาของนางได้ แน่ล่ะตามท้องเรื่องที่จะกล่าวถึงพระเอกคนหนึ่งนี้ต้องมีเรื่องให้ไม่มีใครตอบได้ จนกว่าพระเอกของเรื่องคือ "เอดิปุส (Oedipus)" แห่งโครินท์ผ่านมาในเมืองธีบีสพอดิบพอดี สฟิงซ์กระโดดออกมาจากหลังพุ่มไม้แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อมานพน้อยรูปงาม ก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหายเข้าใส่เอดิปุสและถามปัญหา "อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสอง ตีน ในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….? " ซึ่งคำตอบก็คือมนุษย์นั่นเองย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่า เมื่อยังเป็นเด็กยืนด้วยขาสองข้าง เมื่อโตเต็มที่และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต เอดิปุสตอบอย่างไม่ลังเล 


      สฟิงซ์เมื่อได้ฟังคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้นบนฟ้าแล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเลนี่ดูเหมือนหล่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ ทั้งๆ ที่ถ้าจะนับแล้วสฟิงซ์ต่างหากที่เป็นฝ่ายชนะ เพราะหลังจากที่สฟิงซ์ซึ่งเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุดของปวงชาวธีบีสได้ตายไป ผู้รักษาการณ์เมืองธีบีสถึงกับเชิญเอดิปุสขึ้นเป็นราชา และให้แต่งงานกับราชินีม่าย "โจคัสต้า (Jocasta)" ของกษัตริย์องค์ก่อน และกว่าจะรู้ความจริงว่าโจคัสต้านี่เองคือมารดาผู้ให้กำเนิดเอดิปุส ก็เมื่อนางได้ตกเป็นราชินีอย่างแท้จริงของเอดิปุสไปเสียแล้ว โชคชะตาย่อมเล่นกลต่อชีวิตของเขามากกว่าที่จะถูกสฟิงซ์กินตายไปรู้แล้วรู้รอด…







สฟริงซ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าพีระมิดกีซ่า




     นอกจากสฟิงซ์ในตำนานแล้วก็ยังมีสฟิงซ์ที่รู้จักกันดีก็คือ  สฟิงซ์ของอียิปต์  อาศัยอยู่บนทรายสีเหลืองนุ่มของที่ราบสูงแห่งกิซา เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาซึ่งเรารู้จักกันดี... สฟิงซ์ สัตว์ลูกครึ่งที่ทอดร่างหันหน้าสู่ทิศตะวันออกและหมอบเฝ้ามหาพีระมิดมานับพันปี!! เจ้าสัตว์ที่เกิดจากการรวมตัวอันแปลกประหลาดระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ องฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย และมีเครื่องประดับรัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ ความกว้างของใบหน้านั้นประมาณ

Lif
14 ฟุต ส่วนลำตัวที่เป็นสิงโตมีความยาวเกินกว่า 240 ฟุต (วัดจากหัวถึงหาง) ขนาดของมันมโหฬารจนคนที่เดินผ่านเหลือตัวนิดเดียว ว่ากันว่าสฟิงซ์ คือ รูปเหมือนขนาดใหญ่กว่าร่างจริงสองเท่าของ  "ฮาร์มาชิส"  เทพแห่งรุ่งอรุณ เมื่อตอนที่แปลงร่างเป็นสิงโตมีเศียรเป็นฟาโรห์อียิปต์หรือ "sphingein แปลว่า การบีบรัด เพราะสฟิงซ์ของชาวกรีกเป็นสฟิงซ์ที่นิสัยไม่ดี ชอบหยอกเล่นกับเหยื่อ พอมีเหยื่อหลงเข้ามาก็จะถามคำถามและถ้าตอบไม่ถูกจะฆ่าทิ้ง ส่วนหน้าที่ของสฟิงซ์แห่งกิซานอกจากเฝ้าพีระมิดแล้ว เบื้องหลังและทุกด้านของรูปปั้นอมนุษย์นี้ ยังมีพื้นที่ที่ เรียกว่า  "นครมรณะ"  รายรอบอยู่ นครมรณะกินอาณาบริเวณคลอบคลุมผืนทรายทางใต้ ทางตะวันตกและเหนือของสฟิงซ์หลุมแล้วหลุมเล่าต่างถูกขุดเจาะเป็นโพรง เพื่อใส่โลงหินที่บรรจุร่างของพระราชวงศ์ ขุนนาง และนักบวชชั้นสูงซึ่งผ่านกรรมวิธีการทำมัมมี่มาแล้ว โดยที่สฟิงซ์จะคอยขจัดวิญญาณชั่วร้ายให้พ้นจากหลุมศพเหล่านั้น...







สฟิงค์ด้านหน้าของวิหารลักซอค์




      แล้วเจ้าสฟิงซ์นี้มีอายุเท่าไร?  ถ้านับตามลำดับญาติแบบเรา ๆ ก็คงเป็นปู่ทวดของปู่ทวด ของปู่ทวดของปู่ทวดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ .... เป็นแน่ เพราะจากการคำนวณายุหินที่ใช้สร้าง โดยใช้คาร์บอน14 ปรากฏว่า สฟิงซ์มีอายุเกือบหมื่นปี แต่ว่าประวัติศาสตร์ชนชาติอียิปต์เพิ่งเริ่มเมื่อสี่พันกว่าปีก่อนเอง แล้วสฟิงซ์จะอายุเป็นหมื่นได้อย่างไร บรรดานักวิชาการจึงออกมาโต้คารมกันยกใหญ่ บางกลุ่มก็บอกว่าสฟิงซ์ต้องสร้างในสมัย "ฟาโรห์คาฟเร" (เจ้าของพีระมิดองค์กลาง) เพราะใบหน้าของสฟิงซ์นั้นเหมือนพระพักตร์ของฟาโรห์คาฟเรมาก และสาเหตุที่มีการแกะสลักให้คล้ายกับพระพักตร์ของฟาโรห์คาฟเร อาจเป็นเพราะพระองค์ได้สมมติตัวเอง โดยแสดงเจตนาว่าตัวสฟิงซ์นั้นแทนพระองค์ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งดวงอาทิตย์ แต่ฝ่ายวิเคราะห์การผุกร่อนของหินก็โต้ว่า การผุกร่อนนั้นเกิดจากน้ำมากกว่าที่จะเป็นลมและทรายตามที่เข้าใจ เป็นไปได้ว่าก่อนที่ทรายจะเข้าปกคลุมบริเวณนี้ เคยเป็นดินแดนที่ฝนตกชุกมาก่อน เลยตั้งสมมติฐานว่าพอมีความชุ่มชื่น คนโบราณจึงเข้ามาอาศัยแล้วสร้างอนุสรณ์แห่งความรุ่งเรืองเอาไว้ก่อนที่จะล่มสลายไป จากนั้นบรรพบุรุษของชาวอียิปต์ก็เข้ามาอาศัยแทนที่และครอบครองซากอารยธรรมอันนี้ไว้แบบเดียวกับชาวเผ่าอินคา ท้ายสุดต่างก็ยอมยุติลงด้วยสาเหตุ เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนก็หาหลักฐานมายืนยัน ความคิดของตนเองไม่ได้ เนื่องจากคนโบราณไม่ได้จารึกถึงวิธีและเวลาในการสร้างสฟิงซ์เอาไว้เลย แล้วความลับในเรื่องอายุของสฟิงซ์ก็ยังคงเป็นความลับต่อไป







สฟิงซ์หน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์




      แล้วรู้ไหม... ทำไมสฟิงซ์จมูกถึงบี้?  สาเหตุที่จมูกของสฟิงซ์แหว่งหายไป เป็นเพราะถูกเอาเป็นเป้าไว้ซ้อมยิงปืนของชาวอาหรับ ก็สมัยนั้นเขากำลังเห่อปืน... อาวุธรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมา แต่พอซื้อมาแล้วก็หาที่ซ้อมเจ๋ง ๆ ไม่ได้ เลยหันมาเอาสฟิงซ์เป็นที่ฝึกซ้อม เพราะนอกจากจะเป็นเป้านิ่งแล้ว ขนาดที่ใหญ่ยังเหมาะกับมือสมัครเล่นเป็นที่สุด จวบจนทุกวันนี้สฟิงซ์ก็ยังคงทำหน้าที่เฝ้านครแห่งความตายและเหล่ามหาพีระมิดทั้ง 3 องค์ โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนแม้แต่น้อย ดวงตาหินของมันทอดมองสรรพสิ่งที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยไม่ปริปากเล่าถึงความลับในอดีตให้ผู้ใดล่วงรู้... ทิ้งไว้เพียงปริศนาและความลี้ลับ รอให้เหล่ามนุษย์ผู้มากด้วยความสามารถมาไข...





เครดิตข้อมูลและรูปภาพสวย ๆ จาก


  • www.cupid.is.in.th
  • wikipedia.org

โพสต์โดย : nampuengeiei9760