Social :



ตำนานสยอง! Dancing Plague กว่า 400 คนถูกสาปให้เต้นรำจนตาย

27 ก.ค. 59 18:07
ตำนานสยอง! Dancing Plague กว่า 400 คนถูกสาปให้เต้นรำจนตาย

ตำนานสยอง! Dancing Plague กว่า 400 คนถูกสาปให้เต้นรำจนตาย

“Dancing Plague”  เรื่องราวนี้เป็นตำนานที่โด่งดังและเล่าขานกันมานานมาก เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1518 ที่สตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเกิดเรื่องราวแปลกๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทำให้คนในหมู่บ้านกว่า 400 คนเต้นรำจนตายภายในเวลาเพียงไม่นาน ..  ตำนานสยอง! Dancing Plague กว่า 400 คนถูกสาปให้เต้นรำจนตาย

ในประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสได้มีบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกๆ  “Dancing Plague”  ที่เกิดในเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 1518 เมื่อจู่ๆ ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งชือว่า Troffea เธอเริ่มออกมาเต้นบนถนนสตราสบูร์ก โดยไม่พักเป็นระยะเวลากว่า 6 วัน  6 คืน เพียง 1 สัปดาห์ก็มีผู้คนในหมู่บ้านอีก 34 คน ออกมาเต้นกัน หลังจากนั้นก็เพิ่มจากสิบเป็นร้อย และสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ตั้งแต่วันที่เธอเริ่มเต้นจนครบหนึ่งเดือนต่อมา ได้มีคนกว่า 400 คนออกมาเต้นโดยไม่หยุดพัก และในที่สุดก็มีคนจำนวนมากเสียชีวิตจากการเต้นไม่หยุดครั้งนี้ เนื่องจากการที่หัวใจเต้นผิดปกติ อ่อนเพลีย เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้กิน ไม่ได้นอนร่วมเดือน

Lif

ตำนานสยอง! Dancing Plague กว่า 400 คนถูกสาปให้เต้นรำจนตาย

แต่  “Dancing Plague”  การเต้นรำจนตายที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสนี้ไม่ใช่ครั้งแรก! เพราะเคยเกิดขึ้นในเมืองอาเค่น (แถบตะวันตกของประเทศเยอรมนี) มาก่อน เริ่มในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1374 คนที่เดินตามถนนนั้นก็กรีดร้องเหมือนคนประสาทหลอน อีกทั้งยังเต้นรำท่าแปลกๆ ดิ้นและบิดตัวไปมาจนกระทั่งหมดแรงไป ซึ่งโรคประหลาดนี้ยังแพร่กระจายไปถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ ตามเส้นทางแสวงบุญต่างๆ อีกด้วย

ซึ่งเรื่องนี้ก็มีผู้เชียวชาญทางประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี หลายคนออกมาให้ความคิดเห็นเช่น อาจเป็นความเชื่อในเรื่องพ่อมด แม่มด ซาตาน คิดว่าทุกคนออกมาเต้นเพื่อแก้อาถรรพ์, อาจจะเป็นเพราะคนทั้งหมู่บ้านถูกสาป เลยต้องเต้นจนตัวตาย รวมถึงเกิดข้อสันนิษฐานต่างๆ เช่น อาจะเป็นโรคประสาทประเภทโรคอุปทานหมู่ เชื่อมโยงไปความบ้าคลั่งศาสนาของคนยุโรป หรือในสมัยก่อนมีอาชีพทำฟาร์ม ปลูกข้าว อาจจะเกิดจากการกินข้าวไรที่มีเชื้อคลาวิเซพส์ เพอร์พูเรีย (Claviceps purpurea) ที่เป็นเชื้อราขนาดเล็กที่มีพิษ นั่นเป็นยาหลอนประสาทชนิดรุนแรง (อันนี้น่าเชื่อถือสุด รึเปล่า?) ซึ่งเรื่องราวแปลกประหลาดนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด >,<

โพสต์โดย : nampuengeiei9760